ความขัดแย้งแห่งมหามรรค!
คำพูดนี้ของหลิงเสวียนจื่อดูโอหังหาใดเทียบ กระทั่งเรียกได้ว่าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง
ตอนนั้นเขามีฐานะเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่ง แต่กล้าโวยวายว่าเพราะตนขัดแย้งกับมหามรรคของอาจารย์
เหิมเกริมปานไหน!
แค่คำพูดนี้ก็ทำให้หลินสวินตัดสินใจได้ว่า ในช่วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดที่ถูกกำราบนี้ หลิงเสวียนจื่อไม่รู้สึกเสียใจอะไรสักนิด และไม่มีทางกลับเนื้อกลับตัวเด็ดขาด
หลินสวินเสียงเย็นชา “หลิงเสวียนจื่อ ข้าขอถามเจ้าเพียงว่า มรดกมหามรรคของศิษย์พี่รอง เป็นเจ้าแพร่งพรายให้จักรพรรดิสวรรค์ดำรงใช่หรือไม่”
หลิงเสวียนจื่อยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ามีอคติอยู่ เกรงว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องในอดีตสักนิด เจ้าไม่ถามล่ะว่าใครทำให้เจ้าเฒ่าอย่างลั่วอวิ๋นซื่อบาดเจ็บสาหัส”
หลินสวินนิ่วหน้า ลั่วอวิ๋นซื่อ คิดแล้วคงเป็นชื่อจริงของจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ว่ากันตามจริงเขาก็ไม่รู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรงได้รับบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไรจริงๆ
เห็นดังนี้หลิงเสวียนจื่อถอนใจยาวเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก พบกันครั้งแรก ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยวางอคติ ผู้ใดจริงผู้ใดเท็จ ผู้ใดผิดผู้ใดถูก อย่าลวงใจตนเพราะอคติเป็นอันขาด”
ดวงตาดำของหลินสวินไหววูบ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้ามาพูดเรื่องผิดถูก แบ่งขาวแบ่งดำหรือ”
“แต่อย่างน้อยเจ้าก็รู้เรื่องในอดีตน้อยนิดนัก”
หลิงเสวียนจื่อเอ่ย “และข้าเชื่อว่าในใจเจ้าก็ต้องมีความกังขามากมาย ต่อให้อยากฆ่าข้า ก็ไม่ต้องรีบฆ่าทันทีก็ได้”
หลินสวินพูด “เจ้าคิดจะทำอะไร”
หลิงเสวียนจื่อยิ้มเรียบๆ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงมรรคยิ่งใหญ่ออกมา
“วันนี้ข้าหลิงเสวียนจื่อจะถกมรรคกับศิษย์น้องที่นี่ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ก็จะให้พวกเจ้าได้เห็นสักหน่อย ว่ามหามรรคของใครแกร่งกล้ากว่ากัน”
ทุกคำทุกประโยคราวกับเสียงสัทครรลองมหามรรคดังก้องฟ้าดินรอบทิศ
“อะไรนะ!?”
ทั้งที่นั้นตกตะลึงเหมือนยากจะเชื่อ ต่างตื่นเต้นขึ้นมาพลัน
ในใจพวกเขา ท่านจอมมรรคประหนึ่งนายเหนือหัวผู้อยู่สูงสุด ทำได้เพียงเคารพยำเกรง
และก่อนหน้านี้หลินสวินได้พิสูจน์ความน่ากลัวในความสามารถของตนไปแล้ว กอปรกับ ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ที่ท่านจอมมรรคยอมรับกับปากตัวเองคำนี้ ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่า การได้สังเกตการถกมรรคอันเรียกได้ว่าหายากเช่นนี้ จะต้องได้รับการขนานนามว่าเป็นเรื่องดีและศุภโชคใหญ่เท่าฟ้าอย่างแน่นอน!
ส่วนจะได้ประโยชน์อะไรกลับไปหรือไม่ ถูกคนอื่นเมินไปนานแล้ว
ล้อเล่นอะไรกัน การประลองหายากที่ไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ สามารถประจักษ์กับสายตาตัวเอง ก็เป็นบุญที่ผู้ฝึกปราณในโลกไม่อาจวาดหวังได้แล้ว
จิตใจระดับจักรพรรดิเหล่านั้นต่างถาโถมไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เปี่ยมไปด้วยความตั้งตาคอย
พวกเมิ่งเหลียนชิง เหยียนจวิ้นต่างอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ จิตใจลอยล่อง ในเมื่อท่านจอมมรรคพูดเช่นนี้ ไม่ใช่เท่ากับเห็นว่าหลินสวินมีคุณสมบัติในการถกมรรคกับตนแล้วหรือ!
พอคิดว่าไม่ได้เจอกันไม่กี่สิบปี หลินสวินถึงกับบรรลุมรรควิถีมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาต่างตกตะลึงอย่างกับฝันไป
“ถกมรรคหรือ”
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็เลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิด ข้าได้รู้จากปากลั่วอวิ๋นซื่อมาก่อนว่าเจ้ามีพรสวรรค์เย้ยฟ้า ถูกมองว่าเป็น ‘หนึ่งรอดพ้น’ คนนั้นในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ขนาดอาจารย์ยังต้องรอมาหมื่นกาลกว่าจะได้ผู้สืบทอดอย่างเจ้ามา นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าในสายตาอาจารย์ มหามรรคของศิษย์น้องเล็กจึงจะเป็นมหามรรคที่เขาวาดหวังจะได้เห็นที่สุด”
หลิงเสวียนจื่อหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้ ตอนนั้นเรื่องเพราะความขัดแย้งในมหามรรค ทำให้ข้าถูกกำราบอยู่ที่นี่มาชั่วกาล และตอนนี้ ถ้าเอาชนะเจ้าในการถกมรรคได้ ก็จะพิสูจน์เรื่องหนึ่งได้”
“นั่นก็คือ อาจารย์ในตอนนั้น… ผิดไปแล้ว! และมรรคที่ข้าหลิงเสวียนจื่อเสาะหา จึงจะเป็นมรรคสูงสุดอย่างแท้จริง!”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย ถ้อยคำของเขาก็เผยให้เห็นความโอหัง เชื่อมั่นในตนเอง และอวดดีเป็นที่สุดอย่างหมดจด
นี่เป็นเสียงในใจเขา
ผ่านมาไม่รู้นานเท่าไรแล้ว แม้จะถูกกำราบ แต่เขาไม่เคยคิดวามรรคที่ตนเสาะหานั้นผิด ทั้งยังไม่คิดว่าตนเกิดมารในใจ หลงเดินทางผิด!
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความขัดแย้งแห่งมหามรรคเท่านั้น!
สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วเขาจะไปหาอาจารย์ด้วยตัวเอง ใช้มหามรรคของตนพิสูจน์ให้อาจารย์เห็น ทำให้อีกฝ่ายยอมรับด้วยตัวเองว่าความคิดของตนในตอนนั้นผิดพลาดปานไหน!
และตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องพิชิตเป็นอย่างแรกก็คือศิษย์น้องเล็กที่ ‘อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง’ คนนี้
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด
เมื่อหลิงเสวียนจื่อพูดเช่นนี้จบก็สะบัดแขนเสื้อ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงซากดวงกมล ไม่ว่าพลังปราณสูงต่ำต่างถูกเคลื่อนย้ายออกไปไกลลิบ
กลางฟ้าดินอันเวิ้งว้างเหลือเพียงหลินสวินที่ยังยืนอยู่หน้าภูเขา และหลิงเสวียนจื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นฟ้า
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเผชิญหน้ากันเช่นนี้
ฟ้าดินกดดัน
……
ในขณะเดียวกัน
ณ หุบเขาลึกลับที่ห่างจากซากดวงกมลไกลลิบแห่งหนึ่ง
เจ้าคางคกที่ชุดทองทั้งชุดกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด “เป็นพี่ใหญ่ ต้องเป็นพี่ใหญ่มาช่วยพวกเราแน่ๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”
“แม่งเอ๊ย ในที่สุดจะได้ออกจากที่ซังกะบ๊วยนี่แล้วหรือ” อาหลู่ก็ร้องลั่นขึ้นมา ฉีกยิ้มไม่หยุด
“ต้องเป็นนายท่านแน่!”
เสี่ยวอิ๋นกอดอก รอยยิ้มเจิดจ้า
ที่ไหล่เขา ผีเสื้อมารแยกฟ้ากระพือปีก เริงระบำเบิกบาน
“พวกเจ้าอย่าดีใจไวเกินไป ช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ท่านจอมมรรค’ นั่น ใช้การบรรยายมหามรรคพิสูจน์ว่ามรรควิถีของเขาน่าพรั่นพรึงเย้ยฟ้าปานไหน ต่อให้หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นจักรพรรดิ แต่คิดจะชนะการถกมรรคครั้งนี้… เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น…”
มีเพียงอาหูที่มีแววกังวลเจืออยู่ในดวงตางาม
ช่วงที่ผ่านมานี้แม้นางกับพวกอาหลู่และเจ้าคางคกจะออกจากหุบเขาไม่ได้ แต่กลับได้ยินเสียงที่ดังมาจากโลกภายนอก
ยามท่านจอมมรรคผู้นั้นเริ่มบรรยายมหามรรคครั้งแรก พวกเขาก็ได้ยินทันที จวบจนตอนนี้แม้แต่พวกเขายังได้ผลเก็บเกี่ยวไปมากนัก มักรู้สึกเหมือนเบิกเนตรแจ้งปัญญา ในใจรู้สึกเคารพ ‘ท่านจอมมรรค’ ผู้นั้นเช่นกัน
แต่พอหลินสวินปรากฏตัวขึ้น พวกเขาถึงสังเกตได้โดยพลัน ว่าแม้ ‘ท่านจอมมรรค’ ผู้นี้จะเป็นศิษย์พี่ของหลินสวิน แต่กลับมีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกันอย่างเห็นได้ชัด!
น่าเสียดายที่หุบเขานี้เต็มไปด้วยผนึกมหามรรคอันคลุมเครือ ทำให้พวกเขาไม่อาจส่งเสียงออกไปได้สักนิด ทำได้เพียงกระวนกระวายใจอย่างลับๆ
“ในเมื่อพี่ใหญ่กล้ามา จะต้องมั่นใจมากแน่ อาหูเจ้าไม่ต้องกังวลไป” เจ้าคางคกมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“แม้ว่าบางคราวนายท่านนกอย่างข้าจะไม่ถูกใจเจ้าหนูนี่นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหนูนี่ไม่เคยสู้โดยไม่แน่ใจว่าจะชนะ คราวนี้ก็ย่อมไม่แตกต่าง”
เจ้านกดำก้าวเดินมาจากไกลๆ ยังคงแบกหม้อสีดำใหญ่ใบหนึ่งไว้บนหลัง ดูลับๆ ล่อๆ มีความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกตามธรรมชาติ
อาหูกำลังจะพูดอะไร โลกภายนอกก็เกิดความเคลื่อนไหว ทันใดนั้นนาง เจ้าคางคก อาหลู่ เสี่ยวอิ๋นและเจ้านกดำต่างจิตใจจดจ่อ สงบใจรับฟัง
……
“เอาชนะข้าได้ ก็พิสูจน์ว่าอาจารย์ผิดได้แล้วหรือ”
หน้าซากดวงกมล หลินสวินยิ้มหยัน หลิงเสวียนจื่อคนนี้… ยึดติดจนบ้าคลั่ง ใจมีความแค้นใหญ่โตอย่างเห็นได้ชัด!
เขาเองก็คร้านจะพูดมากอีก เอ่ยตรงๆ ว่า “หลิงเสวียนจื่อ เจ้าต้องการจะถกมรรคอย่างไร”
“ศิษย์น้องรอไม่ได้แล้วกระมัง”
หลิงเสวียนจื่อยิ้ม ผ่อนคลายสบายอารมณ “ง่ายมาก ในเมื่อเป็นความขัดแย้งแห่งมหามรรค ย่อมต้องเป็นการใช้มรรควิถีของตนเองเข้าต่อต้าน ศิษย์พี่จะไม่รังแกเจ้า ก็แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันตั้งแต่ห้าระดับล่าง ระดับอมตะเคราะห์ ระดับอริยะ กึ่งจักรพรรดิ จนกระทั่งถึงระดับมกุฎจักรพรรดิ รวมทั้งสิ้นห้าระดับใหญ่”
“หรือก็คือถกมรรคห้ายก”
“ขอเพียงเจ้าชนะหนึ่งครั้ง ข้าก็จะตอบคำถามเจ้าหนึ่งข้อ”
“ถ้าในท้ายที่สุดถกมรรคห้ายก ข้าล้วนแพ้ทั้งหมด เช่นนั้นก็จะให้เจ้าศิษย์น้องเล็กจัดการตามใจ”
พูดถึงตรงนี้เพลิงเทพคับฟ้าก็ผุดขึ้นในดวงตาหลิงเสวียนจื่อ โอหังดุจทวยเทพ “ถ้าสุดท้ายเจ้าแพ้ ศิษย์พี่ก็จะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า ขอเพียงเจ้าทิ้งมรดกในตัวเจ้ามาสักชิ้นก็พอ”
กฎไม่ได้ซับซ้อน
ถกมรรคห้ายกย่อมตัดสินผลแพ้ชนะสุดท้ายได้
ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปได้ยินดังนี้ต่างใจสั่นอย่างอดไม่ได้ ท่านจอมมรรคเสนอวิธีถกมรรคอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าอยากกำราบหลินสวินผู้นั้นในระดับต่างๆ ของมหามรรคทั้งหมด ใช้สิ่งนี้มาพิสูจน์ว่ามรรคาของตนแกร่งกล้ายิ่งกว่าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง!
หลินสวินฟังจบก็เอ่ยว่า “อยากให้ข้าทิ้งมรดกไว้หรือ”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิงเสวียนจื่อจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้
“วางใจได้ ศิษย์พี่ไม่ได้โลภอยากได้มรดกของเจ้า”
หลิงเสวียนจื่อเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ต้องการรอเมื่อได้พบอาจารย์ในภายหน้า ใช้สิ่งนี้พิสูจน์ว่าหนึ่งบัวเบ่งบานดอกนั้นที่เขารอคอยมาหมื่นกาล… ก็ไม่เท่าไร!”
หลินสวินตระหนักได้ว่า ถึงที่สุดแล้วในใจหลิงเสวียนจื่อก็เต็มไปด้วยความคิดแค้นอันยึดติดต่ออาจารย์ เป็นความแค้นที่ไม่อาจสะสางได้แม้ว่าจะถูกกำราบมาไม่รู้นานเท่าไรแล้วก็ตาม!
หลินสวินคิดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะทำเช่นนี้หรือ”
ทุกคนงุนงงไปครู่หนึ่ง ในความเห็นพวกเขา น้ำเสียงนี้ของหลินสวินคล้ายกลัวท่านจอมมรรคจะผิดคำพูด นี่บ้าคลั่งเกินไปหน่อยแล้ว!
ควรรู้ว่ากฎของการถกมรรค เดิมก็เป็นสิ่งที่ท่านจอมมรรคกล่าวขึ้นมา จะกลัวได้อย่างไร
“แน่ใจ”
หลิงเสวียนจื่อสีหน้าราบเรียบ เยือกเย็นเป็นที่สุด
“ไม่ผิดคำพูดใช่ไหม” หลินสวินคล้ายยังไม่เชื่อ
หลิงเสวียนจื่อยิ้มอย่างอดไม่ได้ ชี้หลินสวินผ่านอากาศ “ศิษย์น้องเล็ก ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่เคยมีคนต่ำช้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสักคน และข้าหลิงเสวียนจื่อ ว่ากันด้านจิตใจ ความห้าวหาญ และความกล้าแล้ว… เกรงว่าในคีรีดวงกมลจะมีไม่กี่คนที่เหนือกว่าข้า ต่อให้อาจารย์หรือศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจกล่าวหา”
หวนนึกไปถึงตอนนั้น ในอดีตกาลยามที่เขาอายุสิบเก้ากำลังจะบรรลุมกุฎจักรพรรดิ เคยพูดต่อหน้าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอาจารย์ของตนว่า ตั้งแต่วันนี้ไปมหามรรคของข้าจะเหนือล้ำกว่าอาจารย์!
ตอนนั้นทั้งคีรีดวงกมล ใครจะมั่นใจและใจกล้าพูดเช่นนี้กับอาจารย์ได้
เขาหลิงเสวียนจื่อกล้า!
กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า ไม่ได้ละเมอเพ้อพก แต่มีรากฐานพลังอันเด็ดขาด!
แม้จ้งชิวจะมั่นใจและหยิ่งผยอง แต่เขาในตอนนั้น… จะเทียบตนได้อย่างไร
แต่ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรกคนนี้ กลับสงสัยว่าตนจะกลับคำในการถกมรรค…
นี่นอกจากทำให้หลิงเสวียนจื่อรู้สึกขบขัน ยังออกจะโกรธเคืองอย่างอดไม่ได้ แววตาลุ่มลึก “ดูออกว่าหลายปีนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกนั้นต้องไม่เคยพูดถึงข้าหลิงเสวียนจื่อในแง่ดีแน่”
กลับพบว่าหลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ “คราวนี้เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์พี่พวกนั้น… คร้านจะพูดถึงเจ้าแม้สักคำเดียว ถ้าไม่ใช่ว่าคราวนี้ศิษย์พี่รองพูดกับข้าขึ้นมา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าศิษย์พี่สี่ที่ว่า ที่แท้ถึงกับเป็นคนทรยศ”
หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป ก้มหน้าเงียบงัน
พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าก็มีแต่ความเรียบเฉย สุขุมและเรื่อยเฉื่อย เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก อคติต่อข้าในใจเจ้าหยั่งรากลึกนัก ไม่อาจเปลี่ยนได้ แต่ข้าเชื่อว่ารอเจ้าแพ้การถกมรรค ก็จะละอายที่เอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาเมื่อครู่”