หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่มีทางแพ้ เลิกพูดไร้สาระ เริ่มเถอะ”
ตูม!
กลิ่นอายทั้งตัวเขาลดลงฉับพลัน ถูกตนเองกดข่มไม่หยุด กระทั่งสำแดงปราณระดับกระบวนแปรจุติออกมา
เห็นดังนี้หลิงเสวียนจื่อที่นั่งอยู่กลางฟ้าเอ่ยว่า “ไม่ ในเมื่อต้องการให้เจ้าพ่ายแพ้แก่มหามรรคของข้าอย่างหมดจด ย่อมต้องเริ่มตั้งแต่ระดับกำลังภายในอันเป็นพื้นฐานที่สุด”
หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง กดระดับลงมาถึงระดับกำลังภายใน ขณะเดียวกันก็มองไปยังหลิงเสวียนจื่อ
เขาสงสัยนัก หลิงเสวียนจื่อที่ถูกกำราบ จะเอาอะไรมาสู้กับตน!
“ศิษย์น้องเล็ก ความขัดแย้งแห่งมหามรรค จะใช้ร่างต้นของข้าหรือไม่ก็ไม่จำเป็น แค่รูปจำลองร่างเดียวก็พอแล้ว”
ขณะพูดหลิงเสวียนจื่อลุกจากการนั่งขัดสมาธิ เมื่อเท้าเหยียบพื้นก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหลินสวินโดยห่างไปสิบจั้งอย่างรวดเร็วแล้ว
เขายิ้มน้อยๆ “นี่เป็นพลังเจตจำนงของข้า ทั้งยังเป็นที่ที่มรรควิถีของข้าอยู่ เจ้าลงมือเต็มที่ได้เลย ข้ารับรองว่านี่จะเป็นการประลองถกมรรคที่ยุติธรรมที่สุดครั้งหนึ่ง”
เสียงพูดเงียบลง
ปราณทั้งร่างเขาก็กดข่มลงไป สำแดงพลางนุภาพของระดับกำลังภายในออกมา
ขณะนี้ผู้ฝึกปราณที่มองเห็นภาพเหล่านั้นต่างตาเบิกกว้างอย่างอดไม่ได้
ระดับกำลังภายในก็คือระดับเริ่มต้นของการฝึกปราณ แบ่งออกเป็นเก้าขั้น ระดับนี้คือพื้นฐานมหามรรคที่ใช้ตั้งหลักให้กับผู้ฝึกปราณ
หอสูงเก้าชั้น เริ่มขึ้นจากกองดิน!
เพราะระดับนี้เป็นพื้นฐานเกินไป สำหรับผู้ที่พลังปราณสูงแล้วจึงมีน้อยนักที่จะสนใจการชิงชัยระดับนี้อีก
หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลิงเสวียนจื่อกับหลินสวิน พวกเขาคงไม่สนใจการถกมรรคที่พื้นฐานที่สุดนี้
“ศิษย์น้องเล็ก เชิญ”
หลิงเสวียนจื่อสุขุมเยือกเย็น เอ่ยปากเรื่อยเฉื่อย เขายืนตามสบาย แต่ทั้งตัวกลับสำแดงกลิ่นอายผสานฟ้าดิน ร่วมขับขานกับสรรพสิ่ง
เพียงท่วงท่าเช่นนี้ก็มีความรู้สึกไร้รอยรั่วไม่อาจทำลายได้แล้ว
หลินสวินมองเขาคราหนึ่ง แกว่งหมัดชกออกไปโดยไม่ลังเล เรียบง่าย ตรงไปตรงมา กระทั่งให้ความรู้สึกดิบเถื่อน
ถ้าบอกว่าสิ่งที่หลิงเสวียนจื่อสำแดงเป็นอานุภาพบริบูรณ์ดั่งมรรค เช่นนั้นหมัดนี้ของหลินสวินก็เหมือนไม่เห็นมหามรรคอยู่ในสายตา หมายจะใช้หมัดเดียวทลายกรงขัง ถล่มกระบวนท่าทั้งปวง
หลิงเสวียนจื่อดวงตาเป็นประกาย ยกสองแขนขึ้นประสานมือหยินหยาง ร่างกายผ่อนคลายว่างเปล่า ประหนึ่งต้นสนนกกระเรียนร่ายระบำ เมฆเคลื่อนควันโชย พร่าเลือนราบง่าย ดุจมรรคตามติด
ปึง!
หมัดเดียวของหลินสวินถูกสกัดขวาง
ผืนดินใต้เท้าทั้งสองพลันแตกเป็นรอยแยกเล็กละเอียดนับไม่ถ้วน ฝุ่นควันอบอวล
พลังหมัดของหลินสวินโคจร เรียบง่ายชัดแจ้ง หมัดแต่ละหมัดต่างคล้ายจะทำลายห้วงอากาศให้แหลกกระจุย ตีภูผาธาราให้จมลง พลังหมัดกร้าวแกร่งระเบิดออกส่งเสียงดังสนั่น
หลิงเสวียนจื่อโต้กลับทุกการโจมตี สำแดงวิชาลึกลับทั้งปวง เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน
ชั่วครู่สั้นๆ ทั้งสองก็ต่อสู้กันหลายร้อยครั้ง การเคลื่อนไหวไม่ใหญ่โตนัก แต่กลับมีอานุภาพสะท้านวิญญาณ ทำเอาผู้ฝึกปราณทุกคนที่จับตามองการต่อสู้นี้อยู่สีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งภายหลังเหงื่อผุดพรายที่หน้าผาก จิตวิญญาณสั่นไหว
ถ้าไม่ได้เห็นกับตา พวกเขาไม่กล้าเชื่อเด็ดขาดว่าระดับเริ่มต้นที่เป็นพื้นฐานที่สุดอย่างระดับกำลังภายในจะถึงกับก่อให้เกิดอานุภาพเย้ยฟ้าเช่นนี้
ไม่มีใครเป็นคนเขลา เทียบกับพลังที่พวกเขาเคยมีสมัยอยู่ระดับกำลังภายในแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่อาจเปรียบเทียบได้สักนิด!
ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิยังเหงื่อตกอย่างอดไม่ได้ รู้สึกละอายที่ตัวเองด้อยกว่า
ระดับกำลังภายใน ธรรมดาสามัญปานไหน
แต่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลทั้งสองกลับสำแดงระดับนี้ถึงขั้นไม่เคยมีมาก่อน ตระการตาทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก
“ศิษย์น้อง ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ไม่ปรารถนาให้ข้าออกไปท่องโลกภายนอก ด้วยพลังในระดับมกุฎกำลังภายในของข้าในตอนนั้น ก็สามารถอยู่สามอันดับแรกตั้งแต่หมื่นกาลได้แล้ว!”
หลิงเสวียนจื่อต่อสู้พลางเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ในคำพูดมีแต่ความโอหังและอวดดี
“เทียบกับศิษย์พี่ผู่เจินเป็นอย่างไร” หลินสวินถาม
หลิงเสวียนจื่อหรี่ตาลง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ศิษย์พี่ผู่เจินประสบความสำเร็จช้า แค่เส้นทางระดับกำลังภายในก็ใช้เวลาไปร้อยปี แต่ตอนข้าทะลวงระดับมกุฎกำลังภายใน ยังเป็นแค่เด็กเจ็ดขวบคนหนึ่งเท่านั้น”
“แต่เจ้าสู้ศิษย์พี่ผู่เจินไม่ได้”
ขณะพูดดวงตาดำของหลินสวินมีประกายเฉียบคมวาบผ่าน งอแขนแล้วเหยียดออก นิ้วทั้งห้ากดลงไปพลันเหมือนกรงบังฟ้า
ตูม!
ฟ้าดินสิบจั้งประหนึ่งถูกผนึกและกดข่มโดยสิ้นเชิง
หลิงเสวียนจื่อนัยน์ตาหดรัด พลิกมือตบลงไป แม้สกัดการโจมตีนี้ได้ แต่กลับถูกซัดถอยออกมาสองสามก้าว
เสียงอุทานระลอกหนึ่งดังขึ้นไกลๆ ใครก็คิดไม่ถึงว่า ‘ท่านจอมมรรค’ จะเผยให้เห็นแนวโน้มเสียเปรียบ!
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินเอ่ยเรียบๆ ว่า “และเจ้า ยิ่งสู้ข้าไม่ได้”
ตั้งแต่เขาอยู่ในโลกวัฏจักรของแดนปรินิพพาน เขาก็สู้จนได้อันดับหนึ่งทั่วหล้าในระดับมกุฎกำลังภายในตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว
และควรรู้ว่าก่อนหน้าหลินสวิน คนที่ครองอันดับหนึ่งมาตลอดก็คือผู่เจิน!
ก่อนหน้านี้หลิงเสวียนจื่อยังไม่กล้าคุยโวว่าจะชนะผู่เจิน แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้อย่างไร
“น่าสนใจ”
กลับพบว่าหลิงเสวียนจื่อยืนนิ่ง สายตาประเมินหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “สมเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าหลิงเสวียนจื่อ”
ครืน!
อานุภาพทั้งตัวเขาเปลี่ยนไป สำแดงพลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณออกมา อานุภาพของตัวเขาแปรเปลี่ยนเป็นดุดันดุจกระบี่ เฉียบคมสะดุดตา “มาอีก”
พอเขากรีดนิ้วมือปราณกระบี่สายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ละอองแสงสาดกระเซ็น ไพศาลดุจท้องฟ้า คล้ายจะกดข่มสรรพชีวิตทั้งปวงในโลก
หลินสวินยิ้มหยัน “ในระดับนี้เจ้าก็ยังไม่ไหวเหมือนกัน”
เขาผ่อนคลายร่างกาย สำแดงพลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณ ไม่ถอยไม่หนี เข้าไปประจันหน้า นิ้วมือกำหมัดโจมตีออกไป
ประกายหมัดกับปราณกระบี่ปะทะกัน ละอองแสงตระการตาลอยว่อนปะทุออกมาในชั่วพริบตา
“นั่นก็ไม่เสมอไป” ผมยาวของหลิงเสวียนจื่อปลิวสยาย เนตรดุจกระบี่ ตัวคนดุจกระบี่ เปล่งประกายดุดันถึงขีดสุด
แต่หลินสวินก็แข็งกร้าวหาใดเทียบ ไม่ยอมให้เช่นเดียวกัน เข้าไปปะทะ คนหนึ่งดุจดั่งนายแห่งโลก ควบคุมนัยเร้นลับสุดยอดแห่งมรรคกระบี่ อีกคนประหนึ่งจอมอหังการทลายฟ้า จู่โจมไร้เทียมทาน พลังทำลายล้างรุนแรง
ภาพเช่นนั้นผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปมองจนตาค้างไม่ว่างเว้น
ไม่ใช่เพราะอานุภาพของระดับจิตผสานวิญญาณน่าตื่นตะลึงมากมาย แต่เป็นเพราะใครก็คิดไม่ถึงว่าในระดับจิตผสานวิญญาณ ถึงกับมีคนสามารถสำแดงมรรควิถีได้น่ากลัวถึงขั้นนี้!
ตูม!
ไม่นานนักหลิงเสวียนจื่อก็ถูกหนึ่งหมัดซัดให้ล่าถอย แขนเสื้อโบกไสว ผมยาวแผ่สยาย แววกังขาฉายวาบในดวงตา
จากนั้นพลันคืนสู่ความสงบนิ่ง “มาอีก!”
ร่างเขาส่ายเบาๆ สำแดงพลังของระดับมหาสมุทรวิญญาณออกมาแล้ว ทะยานขึ้นฟ้า เงาร่างคดโค้ง สายฟ้าน่าหวั่นเป็นริ้วๆ โอบล้อมไปทั้งตัว
“ไม่ยินยอมแล้วอย่างไร ไม่ไหวก็คือไม่ไหว!”
หลินสวินยิ้มหยัน กระโจนตัวขึ้นไป ทั้งสองทะลวงเข้าสู่ชั้นเมฆในชั่วพริบตา ชั่วขณะหนึ่งสายฟ้าฟาดฟ้าร้องคำรน ลมเมฆปั่นป่วน กระแสพลังตระการตาม้วนตลบออกมา อานุภาพเหลือประมาณ
ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปต่างมองเหม่อไปแล้ว
ระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ จนมาถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลิงเสวียนจื่อหรือว่าหลินสวิน ต่างก็สำแดงอานุภาพเย้ยฟ้าที่สามารถสะท้านหมื่นกาลได้ เกินจินตนาการของผู้คนไปโดยสิ้นเชิง ความรู้ความเข้าใจในอดีตถูกพลิกคว่ำทั้งนั้น
แต่เทียบกันแล้ว ความสามารถของหลินสวินทำให้พวกเขาตื่นตะลึงได้มากกว่า
สาเหตุก็เพราะรูปลักษณ์ ‘ท่านจอมมรรค’ ที่สูงส่งหาใดเทียบของหลิงเสวียนจื่อหยั่งรากลงไปในใจพวกเขานานแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าหลินสวินจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงเสวียนจื่อได้
ต่อให้เป็นพวกเมิ่งเหลียนชิงก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินสักนิด
ทว่าตอนนี้อย่างน้อยในระดับกำลังภายในกับจิตผสานวิญญาณ พลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาก็เหนือกว่าหลิงเสวียนจื่ออยู่ช่วงหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด!
นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าเชื่อ
ตูม!
เหนือเวิ้งฟ้าสถานการณ์การต่อสู้ยิ่งดุเดือด ราวกับพยัคฆ์มังกรสู้กัน โจมตีจนฟ้าหมองดินหม่น สุริยันจันทราอับแสง
“มาอีก!” ก็พบว่าการต่อสู้แห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณคราวนี้ยังไม่ทันจบลง หลิงเสวียนจื่อก็ส่งเสียงคำรามยาว แล้วสำแดงพลังต่อสู้ของระดับหยั่งสัจจะ
“ดิ้นรนยากเย็น สุดท้ายก็เปลืองแรงเปล่า” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย พลังทั้งร่างเพิ่มสูงขึ้นเป็นระดับหยั่งสัจจะโดยพลัน
หวนนึกถึงตอนนั้น เขาก็บรรลุระดับหยั่งสัจจะที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
แต่ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้ ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น พร้อมๆ กับที่สร้างมรรคาใหม่ในโลกวัฏจักรของแดนปรินิพพาน มองไปทั่วหล้า กวาดตาดูทั้งอดีตและปัจจุบัน หลินสวินก็เรียกได้ว่าไร้ศัตรูไปนานแล้ว!
ครืน!
ไม่นานนักหลิงเสวียนจื่อก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง สำแดงพลังระดับกระบวนแปรจุติออกมา หว่างคิ้วเผยให้เห็นความเคร่งเครียด
เขาทุ่มพลังทั้งหมด พลังสูงสุดสัมบูรณ์ไหลเวียนทั่วร่าง วิชามรรคที่สำแดงออกมาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เต็มไปด้วยอานุภาพยิ่งยง
นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาในการถกมรรคยกแรก!
แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป พอหลินสวินสำแดงพลังของระดับมกุฎกระบวนแปรจุติออกมา ความกดดันของหลิงเสวียนจื่อก็เพิ่มขึ้นฉับพลัน!
ในใจเขาสะท้านไหว แต่ภายนอกยังคงเยือกเย็นราวหิมะ สำแดงฝีมือจู่โจมถึงขีดสุด พลังที่สำแดงออกมาขณะที่ยกมือวาดเท้าก็บดขยี้ศัตรูระดับเดียวกันในโลกได้อย่างสบาย!
แต่ไม่ได้รวมถึงหลินสวิน
ต่อให้อานุภาพการโจมตีของเขาจะแข็งแกร่งและฉับไวกว่านี้ ก็ล้วนถูกหลินสวินทำลายและตีพ่ายไปทุกครั้ง ไม่อาจสั่นสะเทือนหลินสวินได้สักนิด
ถ้าบอกว่าหลิงเสวียนจื่อเป็นนายเหนือหัวแห่งระดับกระบวนแปรจุติ เช่นนั้นหลินสวินก็เป็นราชันแห่งนายเหนือหัว!
ผู้ฝึกปราณมากมายที่อยู่ไกลออกไปซึ่งตอนนี้ยังมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ยามได้เห็นการประลองนี้ก็มองดูจนตาลาย จิตใจไหวหวั่น สะท้านไปทั้งตัวเพราะตื่นเต้น
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังปราณสูงกว่านี้ สีหน้ายังสะท้านไหวยากปกปิด ผู้อาวุโสบางคนถึงกับหลั่งเหงื่อเย็น รู้สึกว่าระดับกระบวนแปรจุติที่ตนบำเพ็ญในตอนนั้นไร้ค่าอย่างกับแสงหิ่งห้อย!
ทันใดนั้นพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบดับคราหนึ่ง ใต้เวิ้งฟ้าหลิงเสวียนจื่อก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตีจนแทบล้มหัวทิ่มจากกลางอากาศ ดูยับเยินอยู่บ้าง
“ยังอยากสู้ไหม”
หลินสวินหยุดมือ สงบนิ่งผ่อนคลาย มีเพียงดวงตาดำดุจสายฟ้าที่จับจ้องหลิงเสวียนจื่อไว้มั่น
หลิงเสวียนจื่อพ่นลมหายใจขุ่นออกมายาวๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเหมือนไม่เป็นไร เอ่ยว่า “การถกมรรคห้าระดับล่าง ข้าสู้ศิษย์น้องเล็กไม่ได้จริงๆ”
ขวับ!
ผู้คนนับไม่ถ้วนแตกตื่น ต่างมองกันไปมา ตกตะลึงจนคำพูด ท่านจอมมรรคถึงกับยอมแพ้เช่นนี้แล้วหรือ
ในหุบเขาที่อยู่ไกลลิบ พวกอาหูและเจ้าคางคกที่ติดตามการประลองนี้มาตลอดต่างก็คลายใจลงในตอนนี้ มองหน้ายิ้มให้กันเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หลินสวินก็ยังเป็นหลินสวินในตอนนั้น ไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวัง!
“เขา… เขาถึงกับชนะท่านจอมมรรคในห้าระดับล่างได้…” เมิ่งเหลียนชิงพึมพำ เหม่อลอยอยู่บ้าง ทั้งหมดนี้ทำให้นางสะเทือนใจยิ่งนัก
ส่วนพวกชายหนุ่มที่ล้อมอยู่ข้างกายนางก่อนหน้านี้เหล่านั้นต่างยิ้มเจื่อน โอดครวญในใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับล่วงเกินเจ้าคนที่น่ากลัวยิ่งยวดเช่นนี้ ช่างเลอะเลือนจริงๆ!
“เจ้ารู้จักประเมินตัวเองได้ดี หาไม่แล้วเจ้าจะแพ้อย่างอนาถนัก”
ก็พบว่าหลินสวินเอ่ยเสียงเรียบๆ คำพูดแข็งกร้าวไม่เกรงใจแม้สักนิด ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาก็ไม่คิดจะเกรงใจหลิงเสวียนจื่อแม้แต่นิดเดียว
หลิงเสวียนจื่อถอนใจยาว “ศิษย์น้องเล็ก คำพูดเจ้าไม่รื่นหูจริงๆ… ในเมื่อเจ้าชนะแล้ว ตามที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะตอบคำถามที่เจ้าอยากรู้ที่สุดข้อหนึ่ง”
เขาเงยมองหลินสวิน สุขุมเหมือนก่อนหน้านี้ “ว่ามาเถอะ”