หลิงเสวียนจื่อเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้
เพียงแต่ยามมองหลินสวินอีกครั้ง สายตาเขาก็มีความจริงจังที่ไม่มีอยู่ก่อนหน้านี้
ราวกับตั้งแต่บัดนี้ไป เขาถึงมอง ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถประมือได้คนหนึ่ง
ตัวเขาก่อนหน้านี้แม้แย้มยิ้มสงบเยือกเย็น แต่ท่าทีกลับมีแต่ความโอหังเหยียดหยันอย่างหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ท่าทีเช่นนี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยแล้ว
“มรดกของศิษย์พี่รอง เป็นเจ้าแพร่งพรายให้จักรพรรดิสวรรค์ดำรงรู้ใช่หรือไม่” นี่เป็นคำถามที่หลินสวินต้องการแน่ใจมากที่สุด
“เป็นเช่นนี้จริงๆ”
หลิงเสวียนจื่อยิ้ม แววตาราบเรียบ เอ่ยตรงๆ ว่า “ไม่ผิด ข้าใช้มรดกของศิษย์พี่รองมาแลกกับโอกาสที่ทำให้ข้าหลุดออกมาได้ครั้งหนึ่ง คุ้มนักล่ะ”
ดวงตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชาหาใดเทียบทันที “ทำเรื่องทรยศเช่นนี้ เจ้ากลับพูดอย่างสมเหตุสมผลปานนั้น ต้องไร้ยางอายปานไหนกัน! เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเกือบฆ่าศิษย์พี่รองเพราะทำแบบนี้”
“เจ้าพูดผิดแล้ว”
หลิงเสวียนจื่อสีหน้าเรียบเฉย “ข้าทำแบบนี้ เป็นวิธียิงธนูดอกเดียวได้นกหลายตัว”
“อย่างแรก ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากความยากลำบาก”
“อย่างที่สอง ข้ารู้จักมรรควิถีของศิษย์พี่รองดีกว่าเจ้า อย่างเจ้าเฒ่าลั่วอวิ๋นซื่อ ต่อให้ได้มรดกของศิษย์พี่รองไปก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้เขา”
“อย่างที่สาม ถ้าศิษย์พี่รองได้รับชัยชนะในการประลองกับลั่วอวิ๋นซื่อ เขาจะต้องขอบคุณข้า ไม่ใช่มาแค้นข้า”
เขาวาจาราบเรียบ มีหลักมีการ มีท่าทางเหมือนเป็นผู้วางแผนในกระโจม “ศิษย์น้องเล็ก ที่เจ้ามายังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าศิษย์พี่รองกำราบลั่วอวิ๋นซื่อไปแล้ว หาไม่เกรงว่าเจ้าคงไม่มาหาข้าที่นี่โดยไม่สนใจสวัสดิภาพของเขา”
“แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่รองยังไม่ได้ฆ่าลั่วอวิ๋นซื่อ เขาแค้นข้า… ก็อยู่ในความคาดหมายของข้าอยู่ก่อนแล้ว แต่ภายหน้ามุมมองที่เขามีต่อข้าจะต้องเปลี่ยนไป”
หลินสวินฟังจบก็หัวเราะหยันอย่างอดไม่ได้ “พูดแบบนี้ เจ้าหวังดีกับศิษย์พี่รองหรือ”
เสียงเผยแววถากถางและเย็นชา
หลิงเสวียนจื่อไม่สนใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ต่อให้ในใจข้าเคียดแค้นเพราะถูกกำราบมาไม่รู้นานเท่าไร แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบ ข้าไม่มีเจตนาจะชักนำเภทภัยใดๆ ให้คนร่วมสำนักเลย”
“แพร่งพรายมรดกของศิษย์พี่รองไม่ถือเป็นการทำร้ายกันหรือ” เสียงหลินสวินยิ่งเย็นชา
หลิงเสวียนจื่อถามกลับ “เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าใครทำให้เจ้าเฒ่าลั่วอวิ๋นซื่อนั่นบาดเจ็บสาหัส”
ไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก เขาก็ตอบเองว่า “แน่นอนว่าเป็นข้า ในซากดวงกมลแห่งนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมามีแค่ข้าคนเดียว นอกจากข้า ใครจะยังกล้าไปขวางไม่ให้เจ้าเฒ่าลั่วอวิ๋นซื่อนั่นทำลายสำนักคีรีดวงกมลของพวกเรา”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มแฝงนัย “ถ้าไม่ใช่ว่าข้าทำให้เจ้าเฒ่านี่บาดเจ็บสาหัส ศิษย์พี่รองคิดจะกำราบเขา เกรงว่าจะไม่ราบรื่นปานนี้”
ฟังจบหลินสวินสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะโต้เถียงอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเจ้าแพร่งพรายมรดกศิษย์พี่รอง”
หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป คล้ายกระจ่างใจ “ศิษย์น้องเล็ก ข้าบรรลุอริยะตอนเก้าขวบ บรรลุจักรพรรดิตอนอายุสิบเก้า ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกำราบ ด้วยรากฐานพลังของข้า ไม่เกินร้อยปีก็จะก้าวล้ำเหนือบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วหล้า ต่อให้ช่วงชิงพลังอมตะก็ไม่ใช่เรื่องยาก…”
เสียงอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
เขาเป็นยอดอัจฉริยะซึ่งยากจะพบในหมื่นกาล ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธข้อนี้ได้
แต่ตั้งแต่ชั่วขณะที่บรรลุเป็นจักรพรรดิก็ถูกกำราบอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ไม่มีใครล่วงรู้ สำหรับปีศาจที่ไม่อาจใช้นำปุถุชนคนธรรมดาบนโลกมาเทียบได้โดยสิ้นเชิงอย่างเขา เรื่องนี้จะหมายความว่าอย่างไร
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ต่อไหม”
หลิงเสวียนจื่อมองหลินสวิน อานุภาพทั้งร่างเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายของราชันอมตะแล้ว
“แค่ถกมรรคเท่านั้น แต่กลับถูกเจ้าตั้งกฎมากมายปานนี้ เกรงว่าในใจคงไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างแน่นอน” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถ้าเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรเรียกชนะขาด!”
ครืน!
อานุภาพทั้งร่างเขาเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ดวงตาดำเย็นชา ผมยาวปลิวไสว มีความสง่างามไร้ศัตรูอยู่รางๆ
“ชนะขาด…” หลิงเสวียนจื่อพึมพำเบาๆ ประกายเจิดจ้าวาบขึ้นในดวงตา “เกรงว่าศิษย์น้องเล็กจะไม่ไหวนะ”
เขากระโจนมาข้างหน้า อานุภาพก็เพิ่มสูงเรื่อยๆ เมื่อฟาดมือออกมา ทันใดนั้นห้วงอากาศพลันมีสายฟ้าฟาดดั่งพายุฝนตกลงมาซัดใส่ผู้คน
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ปราณกระบี่เต็มฟ้าทะยานออกมาห้อมล้อมรอบกาย และจู่โจมขึ้นไป
ตูม โครม!
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ฟ้าดินปั่นป่วน แสงเทพอึงอล
ก็พบว่าทั้งสองบ้างสู้กันอย่างดุเดือดเหนือชั้นฟ้า บ้างชิงชัยเคลื่อนกวาดเหนือผืนดิน สิ่งที่สำแดงออกมายามขยับตัวมีแต่พลังที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า
ในหมู่ผู้ชมที่อยู่ไกลออกไป มากกว่าครึ่งเริ่มรู้สึกกินแรงแล้ว ไม่อาจมองทะลุนัยเร้นลับละเอียดอ่อนของการต่อสู้เช่นนี้ได้
มีเพียงผู้ฝึกปราณที่อยู่ระดับอมตะเคราะห์ขึ้นไปที่ดูจนใจวูบไหว ทั้งร่างกายสั่นระริก ไหวหวั่นไม่ว่างเว้น
ชั่วขณะหนึ่งหน้าซากดวงกมลแห่งนี้เหมือนกำลังเกิดศึกมกุฎราชันครั้งหนึ่ง ปลดปล่อยนัยเร้นลับของระดับอมตะเคราะห์ทั้งเก้าขั้นออกมาจนหมดสิ้น
ต่อให้เป็นหลินสวินยังต้องยอมรับว่าศิษย์พี่สี่ผู้นี้ไม่ใช่เย้ยฟ้าธรรมดา สภาวะจิต เจตจำนง วิชามรรค อานุภาพ… ต่างเรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึง เย้ยฟ้าถึงขีดสุด
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ทั้งหมดนี้ก็ไม่พออยู่ดี
ตูม!
ครึ่งเค่อผ่านไป เมื่อหลินสวินโจมตีด้วยพลังสูงสุด หลิงเสวียนจื่อก็ถูกซัดกระเด็นออกไปทันที ห้วงอากาศแถบนั้นยุบตัว กระแสยุ่งเหยิงสาดซัด
“เป็นไปได้อย่างไร”
“การถกมรรคยกที่สอง… ท่านจอมมรรคแพ้อีกแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
เสียงฮือฮานับไม่ถ้วนดังขึ้นไกลออกไป แต่ละคนสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ไม่อาจเชื่อได้ สถานะของหลิงเสวียนจื่อในใจพวกเขาก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว
พวกเมิ่งเหลียนชิง เหยียนจวิ้นต่างอึ้งไป ภาพที่ได้เห็นก่อนหน้านี้แต่ละภาพจู่โจมใจของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง พลิกมุมมองและการรับรู้ของพวกเขาดั่งภูเขาถล่มทะเลคำรน!
ท่านจอมมรรคถึงกับเสียท่าสองครั้งติดหรือ
นี่เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่เคยคิด!
“ดี!”
กลับพบว่าในสนามรบหลิงเสวียนจื่อเอ่ยชื่นชม สีหน้าเขาถึงกับไม่มีแววท้อใจ ไม่พอใจหรือโกรธเกรี้ยว กลับยิ่งสุขุมเยือกเย็น
“ถกมรรคห้ายก เจ้าแพ้ไปแล้วสองยก แพ้อีกยกเดียวก็จะแพ้จริงๆ แล้ว” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ไม่สุขไม่ทุกข์
หลิงเสวียนจื่อยิ้มเอ่ย “พวกเราฝึกปราณ สิ่งที่หายากที่สุดก็คือคู่ต่อสู้ที่ประชันฝีมือได้ และศิษย์น้องเล็ก… เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง”
หลินสวินนิ่วหน้า “เจ้าพูดพล่ามมากไปหน่อยแล้ว ข้าขอถามเจ้า เหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงถือโอกาสตอนอาจารย์ไม่อยู่ บีบให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นยอมรับเจ้าเป็นนายด้วยการท้าประลองถกมรรค”
หลิงเสวียนจื่อส่ายหัว “ข้าแค่ให้พวกเขายอมรับมหามรรคของข้า ให้พวกเขารู้ว่าบนคีรีดวงกมล นอกจากอาจารย์แล้ว มีมหามรรคของข้าเหนือสุด และไม่ใช่การบีบให้พวกเขาเป็นบริวารอย่างที่เจ้าว่ามา”
หลินสวินเอ่ย “เจ้าช่างบ้าระห่ำเสียจริง”
หลิงเสวียนจื่อยิ้ม “นั่นเป็นเพราะข้ามีศักยภาพ และมหามรรคของข้าก็มีชัยเหนือทั่วหล้า”
หลินสวินคร้านจะโต้เถียงต่อแล้ว เอ่ยตรงๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ว่ามีข้าหลินสวินอยู่ มหามรรคของเจ้าย่อมไม่อาจมีโอกาสมีชัยเหนือทั่วหล้า!”
ตูม!
อานุภาพทั้งร่างเขาเปลี่ยนไป สำแดงอานุภาพระดับอริยะออกมา “เริ่มเถอะ”
หลิงเสวียนจื่อยิ้ม อานุภาพทั้งร่างก็เพิ่มสูงถึงระดับอริยะตามไปด้วย “ยามข้าเข้าสู่ระดับอริยะตอนเก้าขวบ เคยตั้งความปณิธานเอาไว้ ว่าวันหน้าเมื่อสรรพชีวิตทั่วหล้าพบข้า ก็เปรียบดั่งพบสวรรค์ ข้าสงสัยนักว่าปณิธานของศิษย์น้องเล็กคืออะไร”
ขณะพูดเขาก็ลงมือแล้ว ยื่นมือออกมาคว้า พลังฟ้าดินห้วงอากาศประหนึ่งถูกเหนี่ยวนำ แปลงเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง
วู้ม!
กระบี่มรรคส่งเสียงดังสนั่น แบกรับอานุภาพฟ้าดิน บรรจุพลังสิบทิศ!
ชั่วขณะเดียวขับเน้นให้หลิงเสวียนจื่อเป็นดั่งนายเหนือหัวผู้ควบคุมเวิ้งฟ้าคนหนึ่ง
“อยากรู้หรือ” หลินสวินเอ่ย
“แน่นอน” หลิงเสวียนจื่อพูดเนิบๆ
“แรงกล้ากว่าเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อหลินสวินพูดเช่นนี้ทำให้หลิงเสวียนจื่อผงะไป หัวเราะขึ้นมาทันที “เด็กตีกันถึงพูดแบบนี้ออกมาได้!”
สิ่งที่ตอบเขาคือการโจมตีอันปราดเปรียวเฉียบคมของหลินสวิน
ตูม!
เงาร่างของเขาทะยานไปกลางอากาศ ร่างกายส่องแสง เสียงมรรคครั่นครืน อานุภาพดุจเหวดั่งนรก ยามสะบัดแขนเสื้อแสงมรรคดุจทะเลบังฟ้ากลบตะวัน
“ช่างไม่มีความอดทนเสียจริงๆ…” หลิงเสวียนจื่อยิ้มพลางส่ายหัว เขาก้าวเท้าออกเหมือนเหยียบย่างดารา ตวัดกระบี่ฟาดฟัน
ตั้งแต่เริ่มจนจบทั้งสองล้วนใช้มรรควิถีประชันกัน สำแดงวิชามรรคที่แต่ละคนครอบครองในการต่อสู้
ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนศึกถกมรรคของอริยบุคคลแห่งยุคสองคน เสียงมรรคพวยพุ่ง แสงมรรคดุจกระแสธาร ปรากฏการณ์อันน่าเหลือเชื่อต่างๆ อุบัติขึ้นกลางฟ้าดิน
อริยะที่อยู่ไกลออกไปเห็นดังนี้ต่างจิตมรรคปั่นป่วน เกิดความรู้สึกชื่นชมความสูงส่ง ทอดถอนใจกับความล้ำเลิศ
กึ่งจักรพรรดิเห็นภาพนี้ต่างสั่นสะท้านไม่ว่างเว้น นึกถึงความเชี่ยวชาญสมัยตัวเองอยู่ระดับอริยะ ก็รู้สึกละอายใจที่ตนอ่อนด้อย
ระดับจักรพรรดิกลับเสียวสันหลังวาบ เหงื่อกาฬผุดพราย
ยิ่งพลังปราณสูงก็ยิ่งรู้ชัดว่าถ้ายังมีข้อบกพร่องบนมรรคาในอดีต ภายหน้าจะต้องกลายเป็นอุปสรรคยามตนก้าวไปข้างหน้า
พวกเขาก็เพิ่งรู้เอาตอนนี้ว่ามรรคาของตนในอดีต… แม้ไม่ถึงกับอ่อนแอ แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าล้ำเลิศแน่นอน
ส่วนผู้แข็งแกร่งที่ระดับต่ำกว่าอริยะ ไม่อาจมองทะลุนัยเร้นลับมหามรรคระดับนี้ได้นานแล้ว
ระดับอริยะแท้
ระดับมหาอริยะ
ระดับราชันอริยะ
…ทั้งสองยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด วิชามรรคและพลังที่สำแดงออกมาล้ำเกินจินตนาการของทุกคนไปนานแล้ว
อย่าว่าแต่คนที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลออกไป ต่อให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือทางเดินโบราณฟ้าดาราเหล่านั้นอยู่ที่นี่ก็ต้องไหวหวั่น!
แต่สุดท้ายในการถกมรรคยกที่สาม หลิงเสวียนจื่อยังคงแพ้แล้ว
ถูกยอดอานุภาพอริยะของหลินสวินกำราบลงกับพื้น กระแทกผืนดินแตกระแหง ฝุ่นควันม้วนตลบ ดูยับเยินนัก!
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด ได้ยินกระทั่งเสียงใบไม้ร่วง
ผู้ฝึกปราณที่ดูการต่อสู้อยู่นับไม่ถ้วนต่างอึ้งค้างไป ก่อนจะเบิกตากว้างคล้ายไม่กล้าเชื่อว่าการถกมรรคยกที่สาม ‘ท่านจอมมรรค’ ในใจพวกเขาถึงกับ… แพ้อีกครั้งแล้ว!
และก็ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดสงัดเงียบนี้ หลิงเสวียนจื่อลุกขึ้นยืนจากพื้นดิน ปัดเสื้อผ้าตนไปด้วย สีหน้าเรียบเฉย มองดูหลินสวินที่อยู่ไม่ไกลอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า
“เป็นดอกบัวที่ไม่เคยมีมาก่อนในหมื่นกาลจริงๆ มิน่าถึงทำให้อาจารย์ยอมรอมาเนิ่นนานปานนี้ ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้เจ้ามีอะไรอยากถามไหม”
ถ้อยคำเขาก็เรียบง่ายตามสบาย ไม่มีความโกรธเกรี้ยว ห่อเหี้ยว ผิดหวังหรือไม่ยินยอมสักนิด ราวกับความพ่ายแพ้ต่อเนื่องสามครั้งไม่ส่งผลใดๆ กับเขา
เพียงแค่สภาวะจิตที่ไม่อาจสั่นคลอนเช่นนี้ ก็ดูน่ากลัวอย่างยิ่งยวด!
“เจ้าแพ้ราบคาบแล้ว”
ตาดำหลินสวินแจ่มกระจ่าง เอ่ยเสียงสงบนิ่งว่า “และตามกฎที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่นี้ไปข้าจัดการเจ้าอย่างไรก็ได้!”