ฟ้าดินเงียบสงัด

ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนจิตใจปั่นป่วน ต่อให้พวกเขารับไม่ได้ก็ต้องยอมรับ การถกมรรคห้ายก หลินสวินชนะไปแล้วสามยก เท่ากับชนะแล้ว!

ก็พบว่าหลิงเสวียนจื่อยิ้มเอ่ย “แต่การถกมรรคห้ายกยังไม่สิ้นสุดลง”

“ยังจะต่อหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าไม่อยากทำให้ข้าเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าแพ้ราบคาบในด้านมรรคาหรือ”

เสียงพูดเงียบลง

เงาร่างเขาอบอวลด้วยอานุภาพระดับกึ่งจักรพรรดิ นัยน์ตามีแสงมรรคไหวเคลื่อน ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง

“ได้ เช่นนั้นจะให้เจ้าแพ้จนยอมรับทั้งกายใจ!”

หลินสวินกระโจนตัวขึ้น

ตูม!

การชิงชัยระหว่างมกุฎกึ่งจักรพรรดิเปิดฉากขึ้นเช่นนี้

สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดและน่าหวั่นใจกว่าแต่ก่อน ฟ้าดินหน้าซากดวงกมลต่างตกอยู่ในความปั่นป่วนขนานใหญ่ ยุ่งเหยิงโกลาหล

ผู้คนอกสั่นขวันแขวน ตะลึงพรึงเพริดอย่างต่อเนื่อง

ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นต่างก็จิตใจจดจ่อ หว่างคิ้วยากจะปกปิดแววตกตะลึง

พวกเขาไม่ใช่มกุฎจักรพรรดิ ทั้งไม่ใช่มกุฎกึ่งจักรพรรดิ ถึงขั้นที่แต่ก่อนก็ไม่เคยพบเห็นพลังของระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ

ก็ในตอนนี้เองพวกเขาถึงพบว่าปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิที่แต่โบราณถูกมองว่าไม่อาจข้ามได้ ไม่สามารถสร้างความลำบากให้หลิงเสวียนจื่อและหลินสวินสักนิด!

ทั้งสองต่างครอบครองพลังเย้ยฟ้า ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาวัดได้ พลังต่อสู้น่ากลัวหาที่เปรียบไม่ได้ ความแกร่งกล้าของอานุภาพที่สำแดงออกมากดข่มระดับจักรพรรดิทั่วไปได้นานแล้ว!

เรื่องนี้น่ากลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

หากแพร่งพรายออกไป ถึงกับสามารถพลิกความเข้าใจที่มีมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน!

ในการต่อสู้ครั้งนี้หลิงเสวียนจื่อเริ่มได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่ที่ต่างกับก่อนหน้านี้คือเขาไม่ได้ยอมแพ้ กลับยิ่งสู้ยิ่งกล้า จิตต่อสู้ยิ่งถาโถม

ตูม!

ก็พบว่ากลางห้วงอากาศนั้นหลิงเสวียนจื่ออาละวาดกึกก้อง ควบคุมพลังแห่งห้วงอากาศ สำแดงวิชามรรคทั้งปวงประหนึ่งทวยเทพ

เขาสีหน้าสงบนิ่ง น่าเกรงขามยิ่ง ดวงตามีแสงเทพน่ากลัวน่าตกตะลึงผุดวาบ การโจมตีแต่ละครั้งล้วนมีอานุภาพเผาภูเขาต้มสมุทร ขีดแบ่งฟ้าดิน น่ากลัวจนไม่อาจคาดคิด

แต่ไม่ว่าอานุภาพการโจมตีจะแข็งกล้าปานไหน ต่างถูกหลินสวินตีพ่ายทั้งสิ้น วิชายอดเยี่ยมอะไร มหามรรคอะไร ล้วนถูกบดขยี้!

เมื่อเทียบกับหลิงเสวียนจื่อแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของหลินสวินล้วนสำแดงพลังมหามรรคอันเรียบง่าย เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ทว่ากลับมีอานุภาพที่หมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย แข็งแกร่งเกินต้าน

ไม่นานนักหลิงเสวียนจื่อก็ได้รับบาดเจ็บเต็มตัวแล้ว

นี่เป็นเงาร่างที่จำแลงมาจากพลังเจตจำนง ไม่มีการหลั่งเลือด แต่ใครต่างก็มองออกว่าเงาร่างของเขามีเค้าแหว่งวิ่นคลุมเครืออยู่บ้างแล้ว

ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ ท่านจอมมรรคผู้เป็นดั่งนายเหนือหัวสูงสุด… จะถูกเล่นงานจนตกจากแท่นบูชาแล้วหรือ

“เหตุใดถึงไม่ยอมแพ้ เพราะยอมแพ้ไม่ลงหรือ” หลินสวินเอ่ยปาก

แววตาหลิงเสวียนจื่อเต็มไปด้วยจิตต่อสู้คับฟ้า สีหน้ากลับยังคงสงบนิ่งดังเก่า “ยังไม่ทันแพ้ ทำไมข้าต้องยอมแพ้ด้วย”

ตูม!

ถ้อยคำเพิ่งเงียบลง เขาก็ถูกหลินสวินซัดกระเด็น เงาร่างแสงมรรคปั่นป่วนไประลอกหนึ่ง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้หลิงเสวียนจื่อกลับเหมือนไร้ความรู้สึก ทันทีที่ยืนมั่นก็บุกเข้ามาอีกครั้ง

นี่ทำให้หลินสวินนิ่วหน้า

ตั้งแต่เริ่มประมือกันจนถึงตอนนี้ พลังที่หลิงเสวียนจื่อสำแดงออกมาทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีจึงจะกำราบอีกฝ่ายได้

นี่ก็พิสูจน์ว่าไม่อาจนำหลิงเสวียนจื่อไปเทียบกับพวกร้ายกาจในความหมายทั่วไปได้เป็นอย่างยิ่ง

ทว่าหลินสวินคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามาถึงตอนนี้แล้ว หลิงเสวียนจื่อยังมีเหตุผลอะไรให้ยื้อต่อไป

พร้อมกับเวลาที่ผันผ่าน สถานการณ์การต่อสู้ก็ยิ่งน่าอนาถ

เงาร่างหลิงเสวียนจื่อรางเลือนแหว่งวิ่นไปหมดแล้ว แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ ดูดื้อดึงหาใดเทียบ

ไม่ใช่ว่าหลินสวินไม่อยากกำราบเขาในครั้งเดียว แต่ด้วยพลังต่อสู้ทั้งหมดของเขายังไม่อาจเอาชนะหลิงเสวียนจื่อได้อย่างสมบูรณ์

ปีศาจที่เรียกได้ว่าเป็นเอกอุในหมื่นกาลคนหนึ่ง ย่อมไม่มีทางถูกกำราบโดยสมบูรณ์ง่ายดายปานนั้น

“น่าอนาถเกินไปแล้ว…”

ไกลออกไปคนมากมายเป็นกังวล

ในหลายวันนี้หลิงเสวียนจื่อบรรยายนัยเร้นลับมหามรรค ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ตอนนี้เห็นเขาประสบเคราะห์จึงกังวลแทนเขาอย่างอดไม่ได้

ส่วนพวกเมิ่งเหลียนชิง ตอนนี้มีเพียงความรู้สึกเดียว เจ้าหมอนั่น… คือหลินสวินที่พวกเขารู้จักจริงหรือ

ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่ตอนอยู่ในโลกวัฏจักรของแดนปรินิพพาน หลินสวินก็เป็น… อันดับหนึ่งในระดับห้าล่าง ระดับอมตะเคราะห์ ระดับอริยะ ระดับกึ่งจักรพรรดิ… ของทั้งทั่วหล้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิงเสวียนจื่อจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร

ในหุบเขาที่อยู่ไกลลิบนั้น

พวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่ต่างใจจดจ่อ รอคอยอย่างตื่นเต้น

พวกเขาต่างรู้ชัดว่าหลิงเสวียนจื่อแพ้แล้ว ไม่อาจพลิกสถาณการณ์ได้อีก

แต่พวกเขากลับกังวลว่าถ้าเกิดหลิงเสวียนจื่อกลับคำพูดขึ้นมาจะทำอย่างไร

ด้วยมรรควิถีที่หลิงเสวียนจื่อมี ถ้าสำแดงออกมาโดยสมบูรณ์ หลินสวินจะเป็นคู่ต่อสู้เขาได้หรือ

ตูม!

ในสนามรบหลิงเสวียนจื่อพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง

เงาร่างของเขาคลุมเครืออย่างที่สุด เป็นภาพมายาดั่งหมอกควัน คล้ายจะมลายหายไปเมื่อไรก็ได้ ความจริงแล้วใครๆ ต่างดูออกว่าหลิงเสวียนจื่อไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว

ก็ในตอนนี้เองเขาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง หยุดลงมือแล้ว

แต่ฟังจากเสียงถอนหายใจยาวนั้นของเขา กลับไม่มีความผิดหวัง เศร้าใจ หรือไม่ยินยอมแต่อย่างใด กลับเหมือนพอใจอย่างบอกไม่ถูก

นี่ทำใจเชื่อได้ยากนัก

แพ้มาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดถึงมีปฏิกิริยาผิดปกติเช่นนี้

“ยอดเยี่ยม มหามรรคสายนี้ของศิษย์น้องเรียกได้ว่าไร้เทียมทานในโลก ไม่เคยมีมาก่อนทั้งอดีตและปัจจุบัน”

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยปาก เสียงเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจ

หลินสวินนิ่วหน้า “มาถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาทอดถอนใจอีกหรือ”

“หึๆ”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะขึ้นมา “ได้ประจักษ์มหามรรคของศิษย์น้องเล็กด้วยสายตาตัวเอง ต่อให้แพ้ก็ทำให้ข้ายินดีปรีดายิ่งนัก!”

นี่เป็นเหมือนคำชมที่ศิษย์พี่มอบให้ศิษย์น้องโดยไม่สงวนไว้สักนิด เต็มไปด้วยความจริงใจ

แต่ชั่วพริบตานี้หลินสวินกลับเหมือนรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาดำหดรัดลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ในการถกมรรคก่อนหน้านี้ เจ้าศึกษามรรคาของข้าตลอดหรือ”

หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มกว้างพลางปรบมือชื่นชม “ศิษย์น้องเล็กฉลาดยิ่ง แต่เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้ศึกษา แต่มองทะลุมรรคาก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยสมบูรณ์ เข้าใจแจ่มแจ้งต่างหาก!”

เขาหยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ตามการอนุมานของข้า มรรคาก่อนหน้านี้ของเจ้าคงได้บำเพ็ญซ้ำไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง แต่มีเพียงก่อนกลายเป็นจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้บำเพ็ญซ้ำ นั่นคือจุดสำคัญที่สุด”

หลิงเสวียนจื่อหยุดครู่หนึ่งไปแล้วเอ่ยต่อว่า “ถ้าเข้าเดาไม่ผิด สถานที่ที่ทำให้เจ้านิพพานและบำเพ็ญซ้ำได้ อาจจะเป็นแดนปรินิพพานแห่งนั้นถูกไหม”

หลินสวินใจสะท้านเล็กน้อย แววตาปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ แค่จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เท่านั้น หลิงเสวียนจื่อก็สามารถมองทะลุเรื่องราวได้มากมายเช่นนี้ เจ้าหมอนี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่เกี่ยวกับหลิงเสวียนจื่อที่ระฆังไร้กฎเคยพูดไว้

‘มากปัญญาแต่กำเนิด ใจมีเก้าทวาร จิตรับรู้ดุจบงกช พรสวรรค์โดดเด่น เป็นเลิศในหมื่นกาล!’

หลินสวินกังขาอย่างอดไม่ได้ หลิงเสวียนจื่อมีพลังหยั่งรู้เย้ยฟ้าปานนี้ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ที่เขามี

“ดูท่าข้าจะทายถูก”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะสบายๆ “ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้ก็ต้องขอบคุณศิษย์น้องเล็กนัก มรรคาของเจ้าทำให้ข้าเข้าใจในที่สุดว่าสิ่งที่อาจารย์รอคอยคือมหามรรคแบบไหน และข้า หลังจากหยั่งมหามรรคของเจ้าก็สามารถ…”

เขาหมุนตัวหันมองดูซากดวงกมล เอ่ยชัดทุกคำว่า “หลุดพ้นออกมา!”

เมื่อคำพูดจบลง

ครืน!

ภูเขาเทพรูปดอกบัวมหึมานั้นก็สั่นสะเทือนรุนแรง ยามนี้แสงประกายเต็มฟ้าพวยพุ่ง ไอขุ่นมัวถาโถมซัดสาดดุจกระแสธาร

ความรู้สึกที่มอบให้ผู้คนก็ราวกับใต้มหาคีรีนั้นมีเทพองค์หนึ่งตื่นจากการหลับใหล หมายจะพลิกภูเขาเทพที่กดอยู่บนร่าง ปรากฏตัวขึ้นในโลกอีกครั้งหนึ่ง!

เสียงอุทานตกตะลึงนับไม่ถ้วนดังขึ้นไกลออกไป แตกตื่นอลหม่าน

ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากถกมรรคยกที่สี่ จะถึงกับเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึงเช่นนี้

“ที่แท้เจ้าวางแผนไว้ก่อนแล้ว”

ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก จ้องซากดวงกมลที่อยู่ไกลออกไป เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าใต้ภูเขาเทพลูกนั้น มีกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นไร้สิ้นสุดสายหนึ่งกำลังตื่นขึ้น

“นี่ไม่ใช่การวางแผน ต่อให้ศิษย์น้องเล็กไม่มา ไม่เกินสองเดือนข้าก็จะหลุดพ้นจากการการผนึกในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ได้”

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยปากราบเรียบ วาจาง่ายๆ แต่กลับมีน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างแน่นอน

หลินสวินเอ่ย “เรื่องนี้ข้ากำลังจะถามเจ้าพอดี เพื่อหลุดพ้น เจ้าสามารถบูชายัญผู้ฝึกปราณที่ไม่มีความผิดเหล่านั้นได้เลยหรือ”

หลิงเสวียนจื่อถามกลับว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าฝึกปราณถึงตอนนี้ เกรงว่าคนที่ฆ่ามาตลอดทางคงไม่อาจนับได้กระมัง บางทีอาจเพราะเจ้ามีเหตุผลในการฆ่าคนของเจ้าเอง แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ ฆ่าคนเหมือนกัน เจ้ากับข้า… ไม่ได้ต่างกัน”

หลินสวินโกรธจัดจนยิ้ม “ข้าหลินสวินฝึกปราณจนตอนนี้ ไม่ว่าจะทำการใด ถามใจตนเองล้วนไร้ความละอาย ทั้งยังไม่เคยทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมหรือกระหายการสังหารอย่างโหดเหี้ยมแต่อย่างใด เจ้าเล่า เอาสรรพชีวิตหลายแสนไปบูชายัญทั้งเป็น!”

ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปหน้าเปลี่ยนสี ขนลุกเกรียวเสียวสันหลังวาบ พวกเขาพอจะตระหนักได้กลายๆ แล้วว่าการบูชายัญที่หลินสวินพูดถึงคืออะไร

เมื่อมองดูหลิงเสวียนจื่ออีกครั้ง สายตาต่างเจือแววประหวั่นพรั่นพรึงและทำใจเชื่อได้ยาก คล้ายคิดไม่ถึงว่าท่านจอมมรรคที่ถูกพวกเขายกให้เป็นดั่งทวยเทพ เหตุใดถึงทำเรื่องนองเลือดโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้!

โครม…

ไกลออกไปภูเขาเทพสั่นโคลงรุนแรง แสงเทพม้วนตลบเหมือนมีสัญญาณจะพังทลาย

หลิงเสวียนจื่อเหมือนไม่รับรู้ถึงความโกรธที่มาจากหลินสวินกับผู้ฝึกปราณที่อยู่ห่างออกไปนับไม่ถ้วนเหล่านั้น เอ่ยเสียงเรียบว่า

“ศิษย์น้องเล็ก ในสายตาเจ้า พวกเขาเป็นชีวิตที่ดำรงอยู่จริงๆ แต่สำหรับข้า ก็แค่ฝุ่นธุลีบนมหามรรค กระทั่งเจ้ากับข้าตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับฝุ่นธุลี”

“ขอเพียงมีชัยในมหามรรค เข้าถึงร่างอมตะนิจนิรันดร์ จึงจะเป็นนายเหนือหัวแห่งฟากฟ้าอย่างแท้จริง เป็นยอดแห่งทั่วหล้า!”

เมื่อพูดจนถึงตอนท้าย แววตาเขาก็บ้าคลั่ง ทอดถอนใจช้าๆ “นี่ก็คือความขัดแย้งแห่งมหามรรคของข้ากับอาจารย์! ตอนนี้ข้าอาจจะยังสู้อาจารย์ไม่ได้ แต่ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งข้าจะต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามหามรรคของใครแกร่งกล้ากว่ากัน!”

จุ่ๆ หลินสวินก็สุขุมลง มองดูเงาร่างที่คลุมเครือจนแทบจะหายลับไปของหลิงเสวียนจื่อนั้นแล้วเอ่ยว่า “ยังต้องรอภายหน้าหรือ อย่าลืมล่ะ เมื่อครู่เจ้าแพ้มาสี่ยกแล้ว และเจ้าเคยพูดว่าจะให้ข้าจัดการได้ตามใจ ตอนนี้เจ้าจะกลับคำหรือ”

หลิงเสวียนจื่อชะงักไป ทันใดนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ ข้าหลิงเสวียนจื่อไม่เคยคืนคำ ต่อให้ถูกกำราบมาชั่วกาล เจ้าเคยเห็นข้าเสียใจไหม”

เขาหยุดไปแล้วเอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ศิษย์น้องเล็กเจ้าอย่ารีบร้อนไป การถกมรรคยกที่ห้า… ยังไม่เริ่มนะ…”

พูดจบเจตจำนงเขาสายนี้ก็สลายกลายเป็นละอองแสง หายลับไปแล้ว

ในขณะเดียวกันภูเขาเทพที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไปลูกนั้น…

ถล่มลงดังสนั่น!

——