ก่อนหน้านี้ในความคิดของคนส่วนใหญ่ หลิงเสวียนจื่อที่เคยเป็น ‘ท่านจอมมรรค’ ปลดปล่อยพลังถึงขีดสุดในตอนท้าย ปลดปล่อยหนึ่งกระบี่ออกมา เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมสะท้านโลก ไร้ศัตรูเทียบเทียม

ต่อให้หลินสวินจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็คงจะต้านไม่อยู่ แม้จะไม่ร่วงหล่น อย่างน้อยก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

ต่อให้จะเป็นระดับจักรพรรดิหลายคน ในใจก็ยังคาดเดาเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่

กระบี่สุดท้ายของหลิงเสวียนจื่อนั่นแข็งแกร่งเกินไป สามารถฟาดฟันศัตรูทั้งปวง ทำให้ระดับจักรพรรดิคนใดก็ตามรู้สึกจนปัญญาและสิ้นหวัง ต่อให้เป็นหลินสวินก็ตาม

แต่ตอนนี้…

กระบี่นั่นกลับถูกสกัดเอาไว้!

มองดูเงาร่างเด่นสะดุดตาที่ยืนอยู่กลางฟ้าดินแตกพังไกลโพ้น ทุกคนล้วนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หนึ่งกระบี่ที่ใช้มรรควิถีทั้งร่างของหลิงเสวียนจื่อ กลับถูกสกัดไว้ได้ซึ่งๆ หน้า

เช่นนั้นบนโลกใบนี้ ยังมีใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้อีก

ถกมรรคห้ายกก่อนหน้านี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินสวินจะคว้าชัยชนะมาได้ นั่นเป็นความเชื่อมั่นและเลื่อมใสที่พวกเขามีต่อ ‘ท่านจอมมรรค’ อย่างสิ้นเชิง

แต่ตอนนี้การถกมรรคห้ายกสิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์ก็คือท่านจอมมรรคแพ้ทุกครั้ง ทั้งกระดานมีแต่ความพ่ายแพ้!

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนยากจะยอมรับ

เมิ่งเหลียนชิงสมองว่างเปล่า จิตหลุดวิญญาณลอยล่อง

เมื่อหลายปีก่อนนางกับหลินสวินเป็นคนรุ่นเดียวกัน แก่งแย่งแข่งขันกันอยู่ที่นี่

วันนี้ในหลายปีต่อมา นางกับหลินสวินกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว!

คนหนึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ระดับจักรพรรดิ ครอบครองพลังเทียมฟ้า อานุภาพสยบเวิ้งฟ้า ไร้ศัตรูเทียบเทียม

อีกคน… กลับทำได้เพียงแหงนมองประหนึ่งมดแมลงก็ไม่ปาน

ปึง!

เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวสายหนึ่งดังกึกก้อง ทำลายความเงียบกลางฟ้าดิน

ก็เห็นกลางฝ่ามือหลินสวิน ปราณกระบี่ที่เรียวเล็กโปร่งแสงสายนั้นแตกกระจุยเป็นละอองแสง สาดพรมโปรยปรายออกมาจากง่ามนิ้ว

ไกลออกไปหลิงเสวียนจื่ออึ้งงัน ใบหน้าหล่อเหลาวูบไหวไม่นิ่ง

อาภรณ์เขาขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ กระบี่ก่อนหน้านี้ประทับสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างของเขา และยังบรรจุมหามรรค เจตจำนง และเจตนารมณ์ของเขาด้วย

และเมื่อกระบี่นี้แตก ความดึงดัน ความภาคภูมิใจของเขา เจตจำนงของเขาที่ยืนกรานแน่วแน่มาไม่รู้กี่ปีนี้ของเขา… ล้วนเสมือนถูกซัดทลายตามไปด้วย

ความท้อแท้ที่ไม่เคยมีมาก่อนทะลักสู่กลางใจ ทำให้หลิงเสวียนจื่ออึ้งงันอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานก็ไม่อาจดึงสติกลับมาได้

แพ้ยับเยินในการต่อสู้มหามรรค แรงโจมตีระดับนี้หนักหน่วงเกินไป!

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มุมปากมีคราบเลือดสดสายหนึ่งไหลออกมาเช่นกัน บาดตาถึงขีดสุด

ถึงแม้สุดท้ายจะต้านกระบี่นี้ไว้ได้ แต่ก็ยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ!

นี่ก็ทำให้ยามที่เขามองไปทางหลิงเสวียนจื่ออีกครั้ง สายตาล้วนเจือแววแปลกประหลาด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าศิษย์พี่สี่คนนี้น่ากลัวยิ่งจริงๆ ในการต่อสู้มหามรรคระดับเดียวกัน ทอดสายตามองทั่วหล้าทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ใครยังสามารถทำได้ถึงขั้นนี้บ้าง

ไม่มี!

หลินสวินกล้าฟันธง บนทางเดินโบราณฟ้าดาราล้วนหาคนรุ่นเดียวกันที่สู้กันได้เช่นนี้ไม่พบแน่นอน

“ข้า… ถึงกับ… แพ้แล้ว…”

เนิ่นนานหลิงเสวียนจื่อถึงเอ่ยปาก สีหน้าหม่นหมอง ท้อแท้สิ้นหวัง

เขามองไปไกลๆ ด้วยสายตาอึ้งค้าง กล่าวพึมพำว่า “ตอนที่ข้าเกิดก็มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถแยกแยะคำพูดคน รับรู้สรรพสิ่ง สามารถสอดส่องนัยเร้นลับมหามรรคที่บรรจุอยู่ในสรรพสิ่งได้… ”

“พ่อแม่ข้าเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา ไหนเลยจะคาดคิดว่าคลอดลูกชายคนหนึ่งแต่กลับเหมือนสัตว์ประหลาด ในคืนที่คลอดออกมาก็โยนข้าทิ้งในป่าทุรกันการนอกเมือง…”

“ตอนนั้นหิมะตกหนักทั่วภูเขา หนาวเย็นบาดกระดูก ถึงข้าจะมีสติปัญญา แต่อย่างไรก็เป็นเพียงเด็กทารกที่เพิ่งเกิดคนหนึ่ง…”

เขาส่งเสียงถอนหายใจยาว สายตาเจือแววหวนรำลึก

หลินสวินรับฟังเงียบๆ

เขามองออกแล้วว่าแรงโจมตีที่หลิงเสวียนจื่อได้รับรุนแรงเกินไป

“ต่อมาตอนที่ข้าใกล้จะแข็งตาย ปีศาจเฒ่าคนหนึ่งก็ปรากฏตัว เขาพาตัวข้าไป ทุกๆ วันจะใช้โอสถวิญญาณชนิดต่างๆ มาชุบเลี้ยงข้า…”

กล่าวถึงตรงนี้เขาเหลือบสายตาขึ้นมองหลินสวินปราดหนึ่ง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าที่ข้าใช้คำว่าปีศาจเฒ่ามาเรียกขานผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตัวเอง เห็นได้ชัดว่าไร้สำนึกยิ่งนัก”

หลินสวินขมวดคิ้ว ไม่รอเขาเอ่ยปาก ในแววตาหลิงเสวียนจื่อก็ปรากฏแววแค้นฝังกระดูก กล่าวเสียงต่ำ

“แต่ภายหลังตอนที่ข้าเกิดมาบนโลกได้ร้อยวัน ปีศาจเฒ่านั่นแช่ข้าไว้ในกระถางโอสถ… และเป็นตอนนั้นเอง ข้าถึงได้รู้ว่าเจ้าเฒ่าสวะนั่นมองข้าเป็น ‘กระสายยา’ หมายจะหลอมข้าเป็นลูกกลอนโอสถหม้อหนึ่ง…”

ในใจหลินสวินสะท้าน นัยน์ตาดำเดือดพล่าน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว

“น่าเสียดาย เจ้าเฒ่าสวะนี่ไม่รู้สักนิด วันเวลาเหล่านั้นที่ถูกเขารับเลี้ยง ข้าได้ศึกษาตำราฝึกปราณที่เขารวบรวมไว้จนเข้าใจทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว แม้แต่มหามรรคที่เขาแสวงหา ล้วนถูกข้ามองทะลุหมดเปลือก จากนั้นอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันสังเกต ลอบกระโดดหนีออกจากกระถางโอสถไป…”

หลิงเสวียนจื่อระเบิดหัวเราะเสียงดัง “เด็กทารกที่เพิ่งอายุร้อยวันคนหนึ่ง ถูกพ่อแม่มองเป็นตัวประหลาดทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ไม่ง่ายกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่ดันมาเจอกับเจ้าเฒ่าสวะที่มองข้าเป็นกระสายยา!”

เขาหุบยิ้มกล่าวราบเรียบ “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำภูเขาในป่ารกร้างแห่งหนึ่ง นอนกลางดินกินกลางทราย จดจ่อฝึกปราณ”

“สามปีต่อมาข้าหาเจ้าเฒ่าสวะนั่นพบ ฆ่าเขากับลูกศิษย์ทั้งหมดของเขาตายเรียบ จากนั้นก็จุดไฟเผาอารามมรรคของเขา”

“หลังจากนั้นข้าก็ไปหาพ่อแม่ที่ให้กำเนิดข้าในปีนั้น”

ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลันบีบรัด

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อถอนหายใจยาวกล่าวว่า “ใครเลยจะคาดคิด ตอนที่ข้าหาพวกเขาพบ กลับได้รู้ว่าหนึ่งปีก่อนหน้าพวกเขาถูกลูกหลานผู้มีอิทธิพลในเมืองฆ่าตายแล้ว… ว่ากันว่าเป็นเพราะแม่ของข้ามีรูปร่างหน้าตางดงามมากเกินไป ถูกลูกหลานผู้มีอำนาจนั่นหมายตา คิดจะกระทำชำเรานาง แต่กลับถูกนางกัดลิ้นขาด เป็นผลให้ถูกตีตายทั้งเป็น แม้แต่พ่อของข้าก็ยังพลอยเดือดร้อนด้วย ถูกกำจัดสิ้นซาก…”

สายตาของเขาเจือแววผิดหวังและไม่ยินยอม ยังมีความแค้นอย่างหนึ่งด้วย “ศิษย์น้องเล็กเจ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นข้าจวนจะบ้าอยู่แล้ว ข้าแค่อยากไปถามด้วยตัวเองว่าเหตุใดต้องทอดทิ้งข้าในป่ารกร้าง เหตุใดพวกเขาที่เป็นพ่อแม่ แต่กลับใจดำอำมหิตเช่นนี้ได้ แต่ทว่า… พวกเขากลับตายแล้ว!”

“ตายไปแล้ว!”

ฟันของเขากัดแน่นจวนจะหัก บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยแววเกรี้ยวกราด ทั่วร่างล้วนแผ่กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมหาใดเปรียบ

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง “จากนั้นเล่า”

หลิงเสวียนจื่อนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไอเหี้ยมเกรียมทั่วร่างหายไป เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและผ่อนคลาย กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส

“ข้าอดทนอดกลั้นเพียงลำพังอยู่ในเมืองนั้นสามปี และตอนที่อายุหกขวบก็ไปยังตระกูลของลูกหลานผู้มีอำนาจคนนั้นด้วยตัวคนเดียว ข้าสังหารพวกเขาตายหมด ไม่ว่าชายหญิงเด็กแก่ ไม่ปล่อยไว้สักคน เลือดสดไหลนองทุกที่…”

“แต่ข้าก็ยังไม่หายแค้น อาศัยอะไร อาศัยอะไรทำให้ข้าหลิงเสวียนจื่อที่เพิ่งจะเกิดก็ประสบวิบากกรรมมากมายเช่นนี้”

“และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ขอแค่พบเจอคนที่ทำไม่ดีกับข้า ข้าก็สังหารพวกเขาให้ตายทั้งหมด! ไม่ให้โอกาสพวกเขารอดชีวิตอีกเป็นอันขาด!”

กล่าวถึงตรงนี้เขาทอดสายตามองไปยังหลินสวิน กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดว่าปีนั้นข้าทำถูกหรือไม่”

ไม่รอให้หลินสวินตอบคำถาม เขาก็หัวเราะพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าก็ไม่อยากฟังเหมือนกัน ไม่ว่าถูกหรือผิด ข้าหลิงเสวียนจื่อรู้เพียงว่า พวกเขา… ล้วนสมควรฆ่า!”

“นี่ก็คือมารในใจของเจ้า” หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป อดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ปีนั้นอาจารย์ก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน น่าเสียดาย เจ้ากับอาจารย์ล้วนไม่รู้สักนิด การถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ถูกผู้มีพระคุณช่วยชีวิตมองเป็นกระสายยา รสชาตินั้น… รสชาตินั้นไม่อาจรับได้ขนาดไหน…”

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวด้วยสายตาราบเรียบ “หากนี่เป็นมารในใจ ต่อให้กำราบข้าหมื่นกาล ถ้าไม่ฆ่าข้า ข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ”

หลินสวินกล่าวว่า “เจ้าแพ้แล้ว”

หลิงเสวียนจื่ออึ้งงัน คล้ายคิดไม่ถึงสักนิดว่าในเวลานี้หลินสวินถึงไม่สนใจอดีตที่ผ่านมาเหล่านั้นของเขา สนใจก็แต่ผลแพ้ชนะของการถกมรรคครั้งนี้!

สิ่งนี้ทำให้หน้าอกเขาอึดอัดไปชั่วขณะ อัดอั้นจนเกือบจะหายใจไม่ออก อดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสนใจแค่… เรื่องพวกนี้?”

หลินสวินกล่าวเย็นชา “ทำไม เจ้ายังคิดจะได้ความเห็นใจจากข้า ให้ข้าปล่อยเจ้าไปสักครั้งหรือ”

หลิงเสวียนจื่อสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว ข้าแพ้แล้ว ย่อมต้องให้เจ้าจัดการตามใจ หากจะกลับคำ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องข่มระดับปราณของตนอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสี่ด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์ระดับนั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะชนะได้”

กล่าวถึงตอนท้ายเขาพูดหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าแค่อยากพูดคุยดีๆ ก็เท่านั้น บนโลกใบนี้คนที่พอคุยกันรู้เรื่อง… มีไม่มากแล้วจริงๆ… ”

ก็เห็นหลินสวินสีหน้าไม่หวั่นไหว กล่าวว่า “ต่อให้เจ้าไม่กดระดับปราณก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ ตอนที่ข้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ได้วางกระบวนค่ายกลที่สามารถฆ่าบรรพจารย์จักรพรรดิเอาไว้แต่แรกแล้ว”

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าแข็งค้าง แววตาก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา กล่าวทอดถอนใจ “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ เพื่อจะจัดการศิษย์พี่อย่างข้า ศิษย์น้องเล็กเจ้าถึงกับทุ่มเทเช่นนี้”

หลินสวินกล่าวว่า “ช่วยไม่ได้ เจ้าพรสวรรค์เป็นเลิศ ฉายาเป็นเลิศในหมื่นกาล คิดอยากโจมตีเจ้าให้พ่ายแพ้ ไม่เตรียมวิธีรับมือบางส่วนไว้ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดเพ้อพกว่าจะเอาชนะเจ้าได้”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะร่วน “นี่กำลังชมข้าอยู่หรือ”

หลินสวินกล่าว “เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้”

หลิงเสวียนจื่อนิ่งเงียบเนิ่นนาน กล่าวว่า “เจ้าคิดจะจัดการข้าอย่างไร หรือจะทำลายปราณทิ้ง”

หลินสวินยกมือขึ้นตวัดคราหนึ่ง เจดีย์ไร้สิ้นสุดปรากฏ “เข้าไปเอง รอตอนที่พบอาจารย์ ให้อาจารย์มาจัดการเอง”

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง เดือดดาลอย่างหาได้ยาก “ยังคิดจะกำราบข้าอีกหรือ”

กลิ่นอายของเขาดุร้าย ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด พลานุภาพน่าสะพรึง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะกลับคำเลยหรือ”

บรรยากาศพลันบีบรัดขึ้นมาโดยพลันในเวลานี้

หลินสวินยังคงสงบนิ่งตามเดิม กล่าวเยือกเย็นว่า “ข้ากำลังให้ทางรอดสายหนึ่งแก่เจ้า หาไม่ จากคำสั่งของศิษย์พี่รอง เจ้าก็มีแต่หนทางตายให้เลือกเท่านั้น”

หลิงเสวียนจื่อจ้องหลินสวินไม่วางตา เนิ่นนานก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาว ยื่นหยกประดับเสี้ยวจันทร์สามดาราอันลึกลับชิ้นหนึ่งผ่านอากาศไปให้หลินสวิน

“นี่คือ ‘กุญแจเขตแดน’ ที่ควบคุมการเข้าออกแดนลับดวงกมล ในเมื่อศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้ามาแล้ว ของสิ่งนี้ก็ให้เจ้าเป็นคนดูแล”

กล่าวเสร็จเขาหมุนตัว เดินไปทางเจดีย์ไร้สิ้นสุด

บนสีหน้าเหลือเพียงความเดียวดายและหมองเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

หลินสวินสำรวจกุญแจเขตแดนดอกนั้นปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ช้าก่อน”

หลิงเสวียนจื่อชะงักเท้า สีหน้าจนใจ กล่าวว่า “ข้าถึงขั้นยอมให้เจ้าจัดการตามใจแล้ว ไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังจะเอาอะไรอีก”

“ข้าขอถามอีกครั้ง เหตุใดถึงเปิดเผยมรดกของศิษย์พี่รอง” หลินสวินถาม

หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป คราวนี้ถึงตระหนักว่าหลินสวินไม่เคยเชื่อคำพูดของตนตั้งแต่แรก ในใจพลันผุดความเศร้าสลดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ในฐานะผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ต่อให้ข้าหลิงเสวียนจื่อชั่วช้าสามานย์ปานใด ก็ไม่มีทางพูดปดกับคนร่วมสำนักเดียวกันเด็ดขาด!”

น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว

กล่าวเสร็จเขาเดินตรงไปทางเจดีย์ไร้สิ้นสุด เงาร่างพลันกลายเป็นแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งทันที

“ศิษย์พี่สี่ หากก่อนหน้านี้ล่วงเกินประการใด ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”

เห็นว่าเงาร่างของหลิงเสวียนจื่อจวนจะเลือนหายอยู่รอมร่อ จู่ๆ เสียงของหลินสวินก็ดังขึ้น “หากท่านเห็นข้าเป็นศิษย์น้องจริงๆ นับจากวันนี้ก็ตั้งใจฝึกปราณในเจดีย์ไร้สิ้นสุดดีๆ รอภายหน้าตอนที่ได้พบอาจารย์และพวกศิษย์พี่รอง ข้าจะขอร้องแทนท่านเอง”

ได้ยินเช่นนี้หลิงเสวียนจื่อไม่พูดสักคำ เงาร่างหายลับเข้าไปในเจดีย์ไร้สิ้นสุด

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากได้ยินคำพูดของหลินสวินแล้ว มุมปากของเขาเจือเส้นโค้งที่เหมือนมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง

คล้ายกำลังยกยิ้ม

………………………