ฟ้าดินแห้งเหี่ยว ภูผาธาราทรุดยวบ
หลินสวินเก็บเจดีย์ไร้สิ้นสุด ในใจก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งเช่นกัน
การประสบเคราะห์ในวัยเยาว์ของหลิงเสวียนจื่อทำให้เขานึกถึงตัวเอง เพิ่งจะเกิดเหมือนกัน กลับถูกศัตรูชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไป เติบโตในคุกใต้เหมืองที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันแห่งนั้นมาตั้งแต่เด็ก…
จนกระทั่งตอนนี้ ขนาดบิดามารดาเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้
สิ่งที่ไม่เหมือนหลิงเสวียนจื่อคือ ตอนนั้นข้างกายเขายังมีท่านลู่ แต่หลิงเสวียนจื่อได้แต่ต้องพึ่งตัวเอง
หลินสวินพานนึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ มีกระดูกกระบี่โดยกำเนิด แต่กลับบ้านแตกล้มตาย ชีวิตไม่ใช่ของตน ทำให้ผู้คนนึกถึงก็อดสะอื้นไห้ไม่ได้
เนิ่นนานหลินสวินหมุนตัว ทอดมองไปไกลๆ
สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้ก่อนหน้านั้น ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่หยิบมือ ส่วนใหญ่ล้วนเผ่นหนีจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้กันหมด
นอกจากพวกระดับจักรพรรดิไม่กี่คน สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือเมิ่งเหลียนชิงถึงกับยังอยู่ในที่นั้น เพียงแต่มีท่าทางเหมือนวิญาณล่องลอย
คิดๆ ครู่หนึ่งเขาสาวเท้าเดินเข้าไปทางนั้น
“เทพธิดาเมิ่ง ขะ เขา… เขามาแล้ว”
เหยียนจวิ้นส่งเสียงตะกุกตะกัก ดวงตาฉายแววหวาดกลัวและระส่ำระสาย
ก่อนจะเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เขายังกล้าเรียกหลินสวินว่าสหาย แต่ตอนนี้… มีหรือจะยังกล้า
พร้อมกันนั้นเมิ่งเหลียนชิงราวเพิ่งตื่นจากฝัน เงยมองออกไป ก็เห็นหลินสวินเดินเข้ามาทางนี้จริงๆ ชั่วขณะหนึ่งนางเองก็อึ้งงัน ภายในใจเริ่มบีบรัดเช่นกัน
นี่เขาจะทำอะไร
คนที่ประหม่ายิ่งกว่านางและเหยียนจวิ้นคือพวกระดับจักรพรรดิหลายคนนั่น ตอนที่หลิงเสวียนจื่อยังไม่ปรากฏตัว พวกเขาต่างตั้งใจจะลงมือกับหลินสวิน
เวลานี้เห็นหลินสวินเดินมา เพิ่งคิดหนีก็ไม่ทันแล้ว แต่ละคนอกสั่นขวัญแขวน
หลินสวินไม่สนใจพวกเขาด้วยซ้ำ เดินตรงไปข้างกายเมิ่งเหลียนชิง กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว ว่าไม่ได้เก็บเรื่องในอดีตมาใส่ใจนานแล้ว”
จากนั้นเขาทอดสายตามองไปยังเหยียนจวิ้น กล่าวยิ้มๆ “สหายยุทธ์ พบกันก็คือวาสนา คัมภีร์มรรคเล่มนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ภายหน้าก็ตั้งใจฝึกปราณ”
เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง ประทับมรดกสายหนึ่งกลายเป็นแสงขาว ไหลเข้าสู่สมองของเหยียนจวิ้น
เหยียนจวิ้นรู้สึกเพียงเสียงดังวู้มคราหนึ่งในหัว พลังมรดกอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบก็ทะลักสู่ห้วงนิมิต แก่นอัศจรรย์มหามรรคอันเร้นลับนับไม่ถ้วนลอยผลุบโผล่ดุจกระแสน้ำ
จนกระทั่งเนิ่นนานตอนที่เหยียนจวิ้นดึงสติกลับมา ก็เห็นว่าในลานไม่เห็นเงาร่างของหลินสวินนานแล้ว
เขาอดผิดหวังไม่ได้ “ผู้อาวุโสท่านนั้นเล่า”
“ไปแล้ว”
นัยน์ตาสุกใสของเมิ่งเหลียนชิงที่อยู่ข้างๆ กันเจือแววทอดถอนใจ
ยามนี้ความยึดติดและเงามืดในใจนางมลายสิ้นไปนานแล้ว ทั้งตัวล้วนผ่อนคลายลง นางตระหนักได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าตนกับคนผู้นั้น… ไม่ได้อยู่โลกเดียวกันนานแล้ว
เมื่อมองทะลุ ก็ปล่อยวางแล้ว
“ไปแล้ว?” จิตใจเหยียนจวิ้นพลิกม้วน
“เจ้าคือเหยียนจวิ้นจากเผ่าใบไม้วิญญาณหรือ” เมิ่งเหลียนชิงเอ่ยถาม ดวงตาคู่นั้นมองสำรวจเหยียนจวิ้นจากหัวจรดเท้า
“ใช่”
เหยียนจวิ้นพยักหน้าหงึกๆ ถึงขั้นไม่กล้าสบตามองเมิ่งเหลียนชิงอยู่บ้าง
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เมิ่งเหลียนชิงหมุนตัวออกไป
“เอ๋ พวกเรา?” เหยียนจวิ้นอึ้งค้าง จากนั้นพลันดีใจ รีบกุลีกุจอไล่ตามไป เทพธิดาเมิ่งถึงกับเป็นฝ่ายเชื้อเชิญตนร่วมเดินทาง นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝันไป
“ต่อไปหากมีเวลาว่างก็มาหาข้าที่เผ่าหงส์หิรัณย์ได้ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถกมรรคด้วยกัน” ระหว่างทางเมิ่งเหลียนชิงเอ่ยเสียงเบา
เหยียนจวิ้นตื่นเต้นจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม พยักหน้าตกลงสุดแรง
ในใจเขารู้สึกรางๆ ว่าเหตุที่เมิ่งเหลียนชิงปฏิบัติกับตนต่างออกไป เกรงว่าคงมีความเกี่ยวข้องกับหลินสวินแบบแยกกันไม่ขาดเป็นแน่
‘ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ข้าเหยียนจวิ้นจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!’ เหยียนจวิ้นลอบสาบานในใจ
….
แดนลับอสูรมารอริยะ หลินสวินสาวเท้าเนิบนาบ เดินผ่านสถานที่ที่เคยกรำศึกในปีนั้น เขาบาดเจ็บไม่มาก แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหายเป็นปกติอย่างสิ้นเชิง
ในระหว่างนี้เขาตั้งใจจะอยู่ที่แดนลับอสูรมารอริยะ
รอให้อาการบาดเจ็บหายดีแล้วค่อยเดินทางข้ามทะเลกลืนวิญญาณ ไปดูที่จักรวรรดิจื่อเย่าเสียหน่อย
“เจ้าไม่กลัวว่าภายหน้าจะไม่อาจข่มหลิงเสวียนจื่อนี่ได้เลยหรือ”
ระฆังไร้กฎที่แขวนอยู่บนเส้นผมเอ่ยปากถาม
“การต่อสู้ในมหามรรค เขาแพ้แล้ว ขอเพียงข้ามีชีวิตอยู่ เขาย่อมยากจะดิ้นหลุดจากเจดีย์ไร้สิ้นสุดนี่ได้”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ
ศิษย์พี่สี่คนนี้ของตน แม้จะเรียกได้ว่าเป็นปีศาจที่ยากจะพบเห็นในหมื่นกาล แต่หลินสวินมั่นใจว่าสามารถกดข่มเขาต่อไปบนเส้นทางแห่งมหามรรคได้แน่!
นี่คือความมั่นใจในตัวเองอย่างไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง
“หืม?”
ทันใดนั้นระฆังไร้กฎคล้ายสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง กล่าวว่า “ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลโพ้นนั่น มีคนกำลังพูดถึงชื่อเจ้าอยู่”
หลินสวินอึ้งไปทันควัน
….
กลางหุบเขา
“ชนะแล้ว พี่ใหญ่ชนะแล้ว!” เจ้าคางคกสีหน้ายินดี ฮึกเหิมเหมือนตัวเองเป็นคนโค่น ‘ท่านจอมมรรค’ นั่นอย่างไรอย่างนั้น
อาหลู่เองก็ยิ้มกว้าง
“เสียดายก็แต่ไม่ได้เห็นท่วงท่าสง่างามแห่งระดับจักรพรรดิที่ไร้ศัตรูแห่งยุคของนายท่าน…”
เสี่ยวอิ๋นทอดถอนใจ
บนไหล่ของเขา ผีเสื้อมารแยกฟ้าขยับแผ่วๆ ฉายแววชื่นมื่น “ขอเพียงชนะแล้ว กระบวนการระหว่างนั้นไม่เห็นจะสำคัญเลย”
“ก่อนหน้านี้นายท่านนกอย่างข้าพูดไว้แล้วว่าอย่างไร เจ้าหนูนี่ไม่เคยสู้ศึกที่ไม่มั่นใจ พวกเจ้ากลับยังวิตกกันอยู่อีก”
เจ้านกดำปรายตามอง เอ่ยปากเนิบนาบ
และท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นเริงนี้ อาหูกล่าวเย็นชาว่า “พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ ถูกขังอยู่กลางหุบเขาแห่งนี้ จะไปพบหน้าคุณชายหลินได้อย่างไร”
ประโยคเดียวทำเอาพวกเจ้าคางคกอึ้งงัน จากนั้นในใจก็ล้วนหนักอึ้ง
พลังผนึกรอบบริเวณหุบเขานี้แปลกประหลาดและพิสดารถึงขีดสุด ดุจดั่งชามใหญ่คว่ำลง ปิดครอบทั่วทั้งหุบเขา ไม่สามารถทุบแตกจากด้านในได้สักนิด
หนำซ้ำยังตัดขาดเจตจำนงและเสียง ทำให้พวกเขาอยากไปขอร้องกับหลินสวินยังยากลำบาก
ตามที่อาหูคาดเดา บางทีอาจมีเพียงเหยียบย่างระดับจักรพรรดิ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากหุบเขาแห่งนี้ได้ หาไม่ทั้งชีวิตนี้ล้วนต้องถูกจองจำอยู่แต่ที่นี่
“นี่ควรทำอย่างไร…”
เจ้าคางคกอึ้งงัน ลนลานจนมือไม้สะเปะสะปะ
คนอื่นๆ มองหน้าสบสายตากัน ต่างก็ใจหายวาบ ผลสุดท้ายแล้วถึงกับเป็นความสุขอันว่างเปล่าหรือ
“แม่งเอ๊ย เว้นแต่สวรรค์จะมีตา หาไม่คงจบเห่แล้ว!”
เจ้านกดำโกรธจนแหกปากผรุสวาท
ก็เวลานี้เอง…
ตูม!
รอบบริเวณหุบเขาพลันบังเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวที่สะเทือนโสตจนหูจะหนวก พลังผนึกที่ปิดครอบเหนือหุบเขาเกิดรอยแยกคล้ายใยแมงมุมนับไม่ถ้วนในทันที
จากนั้นเสียงระเบิดระลอกหนึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ ละอองแสงลอยกระเซ็น พลังผนึกที่กักขังพวกอาหูนานหลายปีถึงกับแตกกระจุยหมดสิ้นในเวลานี้
“นะ… นี่โคตรแม่งสวรรค์มีตาแล้วจริงๆ หรือ” เจ้านกดำร้องลั่น
คนอื่นๆ ต่างก็อึ้งงัน แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะแสนคุ้นเคยสายหนึ่ง “แม่นางอาหู เจ้าคางคก อาหลู่ เสี่ยวอิ๋น เจ้านกดำ… เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”
หันสายตามองไป ก็เห็นเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินมาแต่ไกล ไม่ใช่หลินสวินแล้วยังจะเป็นใครได้อีก
“พี่ใหญ่!”
เจ้าคางคกพุ่งพรวดออกไปกอดหลินสวินไว้ทันที ร้องตะโกนงอแง
ปึง!
อาหลู่ก็มาเหมือนกัน อ้าแขนที่ใหญ่หนาดุจหินผาออก โอบรวบทั้งหลินสวินและเจ้าคางคกไว้ด้วยกัน กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็คิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว!”
สวบๆ!
เสี่ยวอิ๋นและผีเสื้อมารแยกฟ้าเบียดยัดตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มเหล่านั้น ยืนบนไหล่ของหลินสวิน ยิ้มแย้มแจ่มใส ดีใจอย่างยิ่ง
ไกลออกไป อาหูเห็นเช่นนี้ในใจก็ไหวกระเพื่อมอย่างอดไม่ได้ นัยน์ตางามพราวแสงประหลาด นางยังถือว่าสงวนท่าที แต่ในใจก็ยากจะควบคุมแรงกระตุ้นของการได้พบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันเนิ่นนานเช่นกัน
มีแต่เจ้านกดำที่แหงนหัวนกขึ้นสูง สะพายหม้อดำใบใหญ่สาวเท้าเดินเข้ามา กล่าวเหยียดหยัน “ผู้ชายทั้งแท่งหลายคนกอดรัดกัน ทำบ้าอะไรกัน จะอ้วก!”
เคร้ง!
ทันใดนั้นหม้อดำใบใหญ่ที่อยู่ข้างหลังมันก็ลอยขึ้น ก่อนกระแทกใส่หัวมันอย่างจัง กระแทกจนเบื้องหน้ามันปรากฏดาวสีทอง เงาร่างโงนเงน
เสียงเจือแววหัวเราะของหลินสวินดังขึ้น “เจ้านกโจร เจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลย ปากยังเสียขนาดนี้!”
เจ้านกดำพลันสัตย์ซื่อขึ้นมา นิ่งเงียบหน้าม่อย เพราะมันพลันตระหนักได้ว่า หลินสวินเจ้าหมอนี่ไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าหลินสวินจะดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของเจ้าคางคกและอาหลู่ มองดูน้ำมูกน้ำตาที่เปื้อนเลอะแขนเสื้อ กล่าวฉุนๆ “ขนาดนี้เชียว”
พร้อมๆ กันนั้นแสงมรรคพริบไหวรอบกายเขา เสื้อผ้าพลันกลับไปเรียบร้อยสะอาดสะอ้านดังเดิม
เจ้าคางคกปาดจมูกลวกๆ ร้องตะโกนว่า “พี่ใหญ่ ไม่ได้เจอนานหลายปีขนาดนี้ พวกเราพี่น้องคิดถึงท่าน ยืมแขนเสื้อท่านมาเช็ดน้ำมูกกับน้ำตาแห่งความตื้นตันหน่อย ต้องขนาดนั้นอยู่แล้ว!”
เสี่ยวอิ๋นและผีเสื้อมารแยกฟ้าพากันเอ่ยปาก “ขยะแขยง!”
อาหลู่เกาหัว ขยับปากยิ้มเผล่
หลินสวินมองดูอาหูที่เดินเข้ามาจากไกลๆ และมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้นที่อยู่ข้างๆ ในใจก็รู้สึกทอดถอนใจไร้สิ้นสุด
นับตั้งแต่จากกันที่แหล่งสถานคุนหลุน แวบเดียวก็ไม่เจอกันหลายสิบปีแล้ว ในใจเขาไหนเลยจะไม่ดีใจ ไม่ยินดี และไม่ประหลาดใจ
จนกระทั่งสภาพอารมณ์ของทุกคนกลับมาสงบดังเดิม คราวนี้หลินสวินจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกเจ้าถึงถูกขังอยู่ที่นี่ได้”
อาหูเล่าสาเหตุในนั้นให้ฟัง กล่าวง่ายๆ ก็คือ ปีนั้นพวกเขาก็อาศัยทางระเบียงมิติของแม่น้ำเซียนเหินมุ่งหน้ามาเหมือนกัน แต่หลังจากเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ กลับจับพลัดจับผลูถูกขังอยู่ในหุบเขาแห่งนี้
นี่เป็นหายนะที่ไม่คาดฝันอย่างหนึ่งชัดๆ
หลังผ่านการค้นสำรวจหลายปีมานี้ของพวกเขาก็พบว่า แต่เดิมหุบเขานี้เป็นสถานที่ปิดด่านของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งนามว่า ‘ชื่อจวิน’ ไม่ได้มีโชควาสนาอะไร แต่กลับปิดครอบด้วยพลังผนึกอันน่ากลัว ไม่ว่าใครเข้ามา หากไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่สามารถออกจากหุบเขาได้
หลินสวินเข้าใจในทันที
ชื่อจวิน! นี่ก็คือฉายามรรคของผู้สืบทอดคนที่ห้าแห่งคีรีดวงกมล และเป็นศิษย์พี่ห้าของเขา
คิดๆ ดูก็ถูก แดนลับอสูรมารอริยะเดิมก็ชื่อว่าแดนลับดวงกมล สำนักคีรีดวงกมลก็ตั้งอยู่ที่นี่ ผู้สืบทอดทั้งหมดฝึกปราณอยู่ที่นี่เดิมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
หากไม่ใช่เพราะปีนั้นถูกศัตรูบุกโจมตี ทำให้ประตูคีรีดวงกมลถล่ม แดนลับอสูรมารอริยะในตอนนี้ไม่มีทางมีสภาพเช่นนี้เด็ดขาด!
“มา ดื่มเหล้า! หลายปีมานี้เขาเดินทางทั่วหล้าฟ้าดารา สะสมเหล้าชั้นยอดได้ไม่น้อย ยังมีอาหารรสเลิศที่พวกเจ้าไม่เคยกินอย่างแน่นอนด้วยส่วนหนึ่ง”
เพื่อนเก่าพบกันอีกครั้ง จิตใจหลินสวินปลื้มปิติ หยิบสุราชั้นเลิศแสนล้ำค่าขวดแล้วขวดเล่าออกมาทันที แล้วหยิบอาหารโอชะ ผลไม้วิญญาณล้ำค่า ของรสเลิศนานาชนิดออกมาอีกส่วนหนึ่ง เรียกพวกเจ้าคางคกมาเริ่มดื่มสุรา
ทุดคนล้วนดีใจ ต่างร่วมด้วยช่วยกัน
จนกระทั่งตอนที่หลินสวินหยิบสัตว์มงคลนกเทพหลากหลายชนิดที่เก็บไว้ออกมา ทำเอาพวกเจ้าคางคกมองดูจนตาลาย ตกใจไม่หยุด…
แน่นอน ถึงตอนสุดท้ายล้วนออกอาการน้ำลายไหลยาวสามฉื่อกันหมด
“เย่จื่อ อู้เชวีย เสี่ยวอู่…” หลินสวินเรียกวิญญาณค่ายกลเสี่ยวอู่ อู้เชวียวิญญาณอาวุธธนูวิญญาณไร้แก่นสาร และวิญญาณกระบี่เย่จื่อออกมาอีก ร่ำสุราสังสรรค์ด้วยกัน
ทุกคนพูดคุยดื่มสุรา พูดถึงประสบการณ์หลายปีมานี้ เดี๋ยวก็ทอดถอนใจ เดี๋ยวก็ระเบิดหัวเราะ ชั่วขณะหนึ่งทำเอากลางหุบเขานี้ครึกครื้นสุดๆ
สหายเก่าพบกันอีกครั้ง ย่อมตั้งร่ำสุราร่วมชุมนุม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าคางคกที่เดิมก็ผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้อง ร่วมเป็นร่วมตายกับหลินสวินมาตั้งแต่เขายังเด็ก ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวมตัวอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ความปลื้มปิติในใจหลินสวินเอ่อล้นเกินบรรยายนานแล้ว
——