ลมทะเลพัดผ่าน ไอวิญญาณโหมกระหน่ำไหลหลั่ง
เปรียบเทียบกับปีนั้นยามหลินสวินอยู่โลกชั้นล่าง เพียงไอวิญญาณที่อบอวลอยู่กลางฟ้าดินก็ยังเข้มข้นไม่ใช่แค่ร้อยเท่าพันเท่า
สามารถนำไปเทียบกับดินแดนใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราได้อย่างสิ้นเชิง!
ยามหลินสวินก้าวเดิน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้ ไอวิญญาณยังฟื้นคืนอย่างต่อเนื่อง ไม่แน่ว่ามรรควิถีของข้าอาจได้ทะลวงระดับในโลกชั้นล่างนี้?
จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหัว
ตอนนี้แค่เดินเข้ามาใน ‘แดนหมื่นมรรค’ ที่เดิมควรเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าก็ทำให้เขาไม่อาจไม่กดพลังปราณรอบกาย วางตัวอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นแรก
คิดรอให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงจนสามารถทำให้ตนทะลวงปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้าได้ ยังไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่
ทันใดนั้น…
คลื่นการต่อสู้ระลอกหนึ่งสะเทือนขึ้นแต่ไกล
จิตรับรู้ของหลินสวินกวาดมองไปโดยไม่รู้ตัว พลันเห็นเด็กสาวสวมชุดกระโปรงแดงเพลิง ผิวขาวดุจหิมะ งดงามพริ้มเพราคนหนึ่งกำลังถูกล้อมโจมตี สถานการณ์ล่อแหลมอันตราย
นางมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด คู่ต่อสู้กลับเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าสามคน ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็จัดการนางได้ทั้งสิ้น
หลินสวินสังเกตเห็นว่าที่เด็กสาวชุดแดงคนนี้สามารถยืนหยัดได้ถึงตอนนี้โดยไม่แพ้ ก็เป็นเพราะนางครอบครองสมบัติอริยะโบราณที่แข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่ง
นั่นคือแส้อ่อนแดงชาดดุจเพลิงผลาญเส้นหนึ่ง ปกคลุมด้วยพลังกฎเกณฑ์อริยมรรคที่ลึกลับอัศจรรย์ ทุกครั้งที่เฆี่ยนแส้ออกไป ล้วนหยิ่งผยองดุดันราวกับมังกรเพลิงคลั่งระบำ
อาณาเขตทะเลใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณมากมายชมการต่อสู้ ล้วนไม่มีใครแทรกแซง สายตาของพวกเขาที่มองคนทั้งสามซึ่งล้อมโจมตีเด็กสาวชุดแดงนั้น ล้วนเจือความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
เห็นชัดว่าสามคนนั้นมีที่มาไม่ธรรมดา
หลินสวินสังเกตเห็นว่าชายสามหญิงสองที่เคยเจอตรงทะเลกลืนวิญญาณก่อนหน้านี้ก็กำลังชมการต่อสู้อยู่เช่นกัน
จากนั้นหลินสวินก็คิดเก็บจิตรับรู้กลับมาแล้วเร่งเดินทางต่อไป
การต่อสู้ระดับนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งไม่มีความคิดจะเข้าไปยุ่งด้วย แม้ว่าสถานการณ์ของเด็กสาวชุดแดงนั้นจะล่อแหลมอันตราย แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่
เพียงแต่ตอนที่เขาคิดเก็บจิตรับรู้กลับมา เด็กสาวชุดแดงคนนั้นพลันตวาดเสียงใส “คิดจัดการตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกของข้าก็มาอย่างเปิดเผย เพื่อบีบบังคับให้ท่านปู่ของข้าก้มหัว พวกเจ้ากลับใช้ลูกไม้สกปรกเช่นนี้ ไม่กลัวขายหน้าหรือ”
ใบหน้างามของนางเยียบเย็น นัยน์ตาคู่งามแทบลุกเป็นไฟ
ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออก!
หลินสวินอึ้งไป นั่นไม่ใช่ตระกูลของเย่เสี่ยวชีหรือ
“แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่น่าเกรงขาม เสียทีที่พวกเจ้าเป็นสำนักใหญ่โด่งดังของดินแดนรกร้างโบราณ กลับมารังแกคนรุ่นหลังคนหนึ่งอย่างข้า หน้าด้านอย่างที่สุดจริงๆ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ วันนี้ต่อให้ข้าเย่หลิงซวงต้องตาย ก็ไม่มีทางให้พวกเจ้าทำสำเร็จแน่!”
เด็กสาวชุดแดงที่เรียกตัวเองว่าเย่หลิงซวงนั้นดูโมโหอยู่บ้าง หรือกล่าวได้ว่านางสังเกตเห็นแล้วว่าสถานการณ์ของตนไม่สู้ดีอย่างยิ่ง
แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
เมื่อได้ยินคำนี้ นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันวาบประกายเย็นเยียบ
หวนนึกถึงปีนั้น ยามเขาเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณครั้งแรกก็เคยผูกแค้นกับผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ในหลายปีนั้นขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณนี้เคยลงมือนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อสังหารเขาหลินสวิน
‘น่าสนใจ คนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็มาโลกชั้นล่างแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงของโลกชั้นล่างก็คงทำให้ขุมอำนาจสำนักของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นน้ำลายหกแล้ว…’
ยามหลินสวินครุ่นคิดก็ก้าวเข้าไปแล้ว
“หืม? เป็นเจ้าหมอนั่น”
ขณะเดียวกันชายสามหญิงสองที่เคยมีวาสนาได้พบกับหลินสวินครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ ล้วนสังเกตเห็นหลินสวินแล้ว ต่างอึ้งไปอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะยามที่เห็นหลินสวินเดินตรงเข้าไปในการต่อสู้ หญิงสาวที่สีหน้าเยียบเย็นหยิ่งทะนงนั้นกล่าวถากถางอย่างอดไม่ได้
“แม้แต่ชื่อของแดนหมื่นมรรคยังไม่รู้จัก ยังคิดไปเล่นละครวีรบุรุษช่วยสาวงาม เจ้าหมอนี่… ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยไม่หวั่นกลัวจริงๆ”
ชายรูปงามผมเขียวที่เป็นผู้นำเลิกคิ้วพลางกล่าว “ดีร้ายอย่างไรก็ถือว่าพบกันโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง กล่าวเตือนเขาสักหน่อยจะดีกว่า”
เขาพูดพลางกล่าวกับหลินสวิน “สหาย นี่คือความแค้นระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กับตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออก ไม่อาจแทรกแซงได้”
หลินสวินโบกมือ “ขอบคุณที่กล่าวเตือน”
แต่เขายังก้าวต่อไป หญิงสาวหยิ่งทะนงคนนั้นเห็นดังนี้แล้วกล่าวเยาะเย้ยขึ้นมา “พี่เว่ย เห็นหรือยัง คนเขาไม่รับน้ำใจแต่แรก”
ในดวงตาของชายรูปงามผมเขียวก็ฉายแววไม่พอใจ จากนั้นก็กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “ถึงอย่างไรพวกเราก็ถือว่ากล่าวเตือนแล้ว ในเมื่อเขายืนกรานว่าจะเข้าไปยุ่ง เรื่องความเป็นความตาย แน่นอนว่าเขาต้องแบกรับด้วยตัวเอง”
เขาและพวกพ้องข้างกายล้วนเผยความหยิ่งทะนงที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
ถึงอย่างไรคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีพลังปราณระดับอริยะ ส่วนชายรูปงามผมเขียวยิ่งมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ ทุกคนในที่นี้เกือบทั้งหมดล้วนไม่ถูกพวกเขาเห็นอยู่ในสายตา
ขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้ใกล้ๆ ทยอยเห็นหลินสวินที่เดินไปทางสนามรบ ต่างอดตะลึงไม่ได้
“เจ้าหมอนี่เป็นใคร นี่เขาจะแทรกแซงเรื่องของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หรือ”
“ดูแปลกหน้ายิ่ง ไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะใช่พวกร้ายกาจอะไร”
“นี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ ใครไม่รู้บ้างว่าตั้งแต่สิบปีก่อน หลังจากผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาเยือนก็หมายตาอาณาเขตแถบนี้ของทะเลตะวันออก สิบปีมานี้ขุมอำนาจเล็กใหญ่เลือกสวามิภักดิ์นานแล้ว มีเพียงตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกที่ยังดึงดันถึงปัจจุบัน!”
“ดึงดัน? ข้าว่าอีกไม่นานคงได้พินาศย่อยยับแน่”
…ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์
เย่หลิงซวงเด็กสาวชุดแดงคนนั้น รวมถึงผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สามคน ล้วนสังเกตเห็นการปรากฏตัวของหลินสวินเช่นกัน
เย่หลิงซวงรู้สึกยินดีเป็นอันดับแรก แต่เมื่อเห็นว่าหลินสวินเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง ทั้งยังมาแค่คนเดียว ในแววตาจึงเผยความผิดหวังอย่างอดไม่ได้
ส่วนผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สามคนนั้นต่างมุ่นคิ้ว เผยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา
“สหาย ขอเตือนเจ้าให้จากไปเสียตอนนี้ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นจะเจอหายนะถึงตาย!”
ชายที่มีผมเผ้าหนวดเคราราวกับทวน นัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนีคนหนึ่งตวาดลั่น ไม่อำพรางแววข่มขู่แม้แต่น้อย กลิ่นอายทั้งตัวเขาปลดปล่อยออกมา ทำให้บริเวณใกล้เคียงเกิดเสียงอุทานมากมาย
พวกชายรูปงามผมเขียวกลับยิ้มพลางส่ายหัว อานุภาพแค่นี้ก็ได้แต่ระรานคนธรรมดาพวกนั้น
กลับเห็นว่าหลินสวินคล้ายไม่รับรู้อะไร สายตามองแค่เย่หลิงซวงพลางเอ่ยถาม “เย่เสี่ยวชีเป็นอะไรกับเจ้า”
นัยน์ตาของเย่หลิงซวงฉายแววผิดคาด ตอบตามจิตใต้สำนึก “นั่นคือนามของท่านปู่ข้า”
ท่านปู่?
หลินสวินอึ้งไป ในใจเหมือนมีพายุม้วนพัด นี่เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง เจ้าอ้วนเย่เสี่ยวชีนั่นมีหลานสาวแล้วรึ
นี่คือเรื่องที่เขาไม่ได้ตั้งตัวโดยแท้!
“รนหาที่ตาย!”
เห็นว่าถูกหลินสวินมองข้าม นัยน์ตาของชายที่มีผมหนวดราวกับทวนนั้นฉายแววโกรธจัด โบกสะบัดทวนในมือพุ่งโจมตีใส่หลินสวิน
ตูม!
ห้วงอากาศเกิดคลื่นสะเทือนรุนแรง ทวนวาดเงาแสงเฉียบคมเจิดจรัส ฟันสังหารทลายอากาศ อานุภาพแข็งแกร่ง การโจมตีนี้ทำให้เย่หลิงซวงอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ กล่าวโดยไม่รู้ตัว “คุณชายหนีเร็ว!”
“เจ้าหมอนี่จบเห่แล้ว” หญิงสาวหยิ่งทะนงเย็นชาคนนั้นกล่าวอย่างเวทนา
ชายรูปงามผมเขียวถอนใจยาว ตนเคยเตือนไปแล้ว เจ้าหมอนี่ยังรนหาที่ตาย จะโทษใครได้
แต่ตอนนี้มุมปากของหลินสวินกลับโค้งขึ้นเล็กน้อย
ตั้งกี่ปีมาแล้ว เจ้าตัวจ้อยระดับอมตะเคราะห์คนหนึ่งถึงขั้นกล้าลงมือกับข้า หากเรื่องนี้กระจายไปทั่วหล้าฟ้าดารา เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
เงาร่างเขาไม่ขยับ
ทวนเล่มนั้นกลับหยุดห่างจากหน้าเขาไปสามฉื่อ ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่คืบเดียวอีก
ชายที่ผมหนวดราวกับทวนนัยน์ตาหดรัดลง ออกแรงทันที แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร ทวนในมือกลับชะงักค้างอยู่ตรงนั้น แน่นิ่งไม่ขยับ
ในใจเขาหวาดหวั่น ลอบอุทานว่าแย่แล้ว
เวลานี้สายตาหลินสวินมองไปทางเขา กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังความจำสั้นเหมือนเดิม”
ปึง!
ทวนแตกระเบิด กลายเป็นละอองแสงโปรยปรายทั่วฟ้า
ส่วนชายที่มีหนวดผมราวกับทวนนี้ก็กลายเป็นเถ้าถ่านพลิ้วลอยโดยไร้สุ้มเสียง ราวกับถูกแผดเผา
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ตกตะลึงอ้าปากค้าง
คนบางส่วนถึงขั้นขยี้ตา คล้ายไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
“หืม?”
พวกชายรูปงามผมเขียวต่างนัยน์ตาหดรัดลง ในใจสั่นสะท้าน ถูกการตายที่แปลกประหลาดนี้ทำให้ตกใจเช่นกัน ด้วยพลังปราณของพวกเขา ถึงกับไม่สังเกตเห็นว่าหลินสวินลงมืออย่างไร
ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อีกสองคนที่เดิมกำลังล้อมโจมตีเย่หลิงซวงนั้น เวลานี้ล้วนสั่นไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่
“นี่…” เย่หลิงซวงก็อึ้งไป นัยน์ตาคู่งามเบิกโพลง คนที่ดูเรียบง่ายไม่พิเศษเช่นนั้น หรือจะเป็นผู้เยี่ยมยอดที่เก็บซ่อนตัวตนแนบเนียนคนหนึ่ง
“นางหนู วอกแวกยามต่อสู้เป็นข้อห้ามร้ายแรง” หลินสวินอดยิ้มไม่ได้
“เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าสังหารคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้า!”
ขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สองคนนั้นหยุดมือพร้อมกัน มองไปทางหลินสวินด้วยสีหน้าคล้ำเขียว ใช้ความดุดันมาปกปิดความอ่อนแอ
ใช่แล้ว ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร
สายตานับไม่ถ้วน ณ ที่นั้นต่างมองหลินสวินอย่างแปลกใจสงสัยเช่นกัน
“แม้แต่ข้าก็จำไม่ได้หรือ”
แววตาของหลินสวินพลันไหวเคลื่อน
ปีนั้นยามเขาอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ เคยสังหารจนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า สำนักยุทธ์นครนิลและเหล่าสำนักมากมายเสียหายหนักหน่วง สั่นสะเทือนไม่อาจสงบ ไม่มีใครไม่แค้นเขาหลินสวินเข้ากระดูก
แต่ปัจจุบันผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สองคนนี้ กลับจำ ‘ศัตรู’ อย่างเขาไม่ได้แล้ว…
เห็นชัดว่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผัน เรื่องทางโลกล้วนเปลี่ยนไปนานแล้ว ความแค้นและบัญชีเลือดในอดีต เกรงว่าคงมีแค่เหล่าคนเก่าแก่ในปีนั้นที่จำได้
“ไป!”
เวลานี้ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สบตากันวูบหนึ่ง ถึงกับหันหลังหนีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินแล้ว ไม่กล้ารั้งอยู่อีก
“ยังจะหนีพ้นหรือ” หลินสวินได้สติกลับมาจากอาการเหม่อลอยแล้วดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง
ปึง! ปึง!
บนผืนทะเลที่ห่างไกล ผู้แข็งแกร่งสองคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั้นตายคาที่ ร่างกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องในชั่วพริบตา อย่าว่าแต่หยดเลือด แม้แต่ซากกระดูกก็ยังไม่เหลือสักนิด
สลายกลายเป็นธุลีอย่างสมบูรณ์
เฮือก…
ในที่นั้นมีเสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งดังขึ้น ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนก
ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าสามคน บางทีอาจไม่ถึงขั้นยิ่งใหญ่ในใต้หล้ายุคปัจจุบัน แต่ก็เป็นคนที่เหมือนเสาหลักกลางกระแสชล
โดยเฉพาะสามคนนั้นยังเป็นผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วย
แต่แค่ดีดนิ้วก็ถูกกวาดล้างสังหารสิ้น!
ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงกล้าไม่เห็นแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อยู่ในสายตาเช่นนี้
เวลานี้เย่หลิงซวงก็เหม่อลอย ดวงตาเบิกโพลงราวกับฝันไป ศัตรูแข็งแกร่งสามคนที่ทำให้ตนอับจนหนทาง ถูกสังหารในชั่วดีดนิ้วเช่นนี้หรือ
ดูง่ายกว่าฆ่ามดปลวกเสียอีก!
“นางหนู พาข้าไปเจอท่านปู่ของเจ้า”
เสียงของหลินสวินดังขึ้น ทำให้เย่หลิงซวงสะดุ้งตื่นขึ้นมา นางพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าไม่ชอบมาพากล
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้ากล่าว “ผู้อาวุโส ข้า… ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่ อีกอย่างท่านจะไปหาท่านปู่ของข้าเพื่อการใด”
หลินสวินยิ้มแล้ว ดูออกว่านี่เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
……………………..