“ข้ากับปู่ของเจ้าเป็นสหายสนิทกัน”
หลินสวินคิดถึงเย่เสี่ยวชีแล้วอดนึกถึงวันเวลายามฝึกอยู่ที่ค่ายกระหายเลือดครั้งเยาว์วัยไม่ได้
ตั้งแต่นั้นมา เขากับพวกหนิงเหมิง สืออวี่ ไป๋หลิงซี เย่เสี่ยวชี กงหมิง หลี่ตู๋สิงก็กลายเป็นเพื่อนกัน
จวบจนปัจจุบันเขาจากมาเกือบร้อยปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเหล่าสหายในปีนั้น ตอนนี้ล้วนกระจายกันไปอยู่ที่ไหนแล้ว…
“ไปเถอะ”
หลินสวินคิดพลางพาเย่หลิงซวงจากไป เงาร่างไหววูบ แทบจะหายไปในชั่วพริบตา
เย่หลิงซวงคิดปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว
มองส่งเงาร่างเขาจากไป ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์ทันที ล้วนกำลังคาดเดาฐานะของหลินสวิน รวมถึงการปรากฏตัวของเขาจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการเป็นศัตรูกัน ระหว่างตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วย
“น่าสนใจ ก่อนหน้านี้พวกเราล้วนมองผิดไปแล้ว”
ชายรูปงามผมเขียวเผยรอยยิ้มมีเลศนัย “ซ่อนกลิ่นอายทั้งตัวได้ถึงขั้นที่ไม่มีใครสังเกตเห็น พลังปราณของคนผู้นี้ เกรงว่าคงไม่ต่ำกว่าข้า”
พวกพ้องที่อยู่ข้างกายเขาต่างตกใจ
ชายรูปงามผมเขียวมีนามว่าเว่ยอวิ๋นจง เป็นบุตรเทพของ ‘เผ่าฉลามเขียว’ แห่งทะเลกลืนวิญญาณ พรสวรรค์โดดเด่น ในช่วงหลายสิบปีที่ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมานี้พลังปราณรุดหน้ามาตลอด ตอนนี้มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิแล้ว ทำให้บุคคลรุ่นอาวุโสบางส่วนในเผ่าต่างหม่นแสง
กิตติศัพท์ของเว่ยอวิ๋นจงก็แพร่สะพัดไปในทะเลกลืนวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ใครต่างคาดไม่ถึงว่าคนอย่างเว่ยอวิ๋นจงจะประเมินชายหนุ่มคนนั้นไว้สูงเช่นนี้ ในใจต่างม้วนซัดไม่หยุดทันที
มีเพียงหญิงสาวแข็งกระด้างคนนั้นที่แววตาซับซ้อน คล้ายคับแค้นอับอายอยู่บ้าง “เจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิชัดๆ แต่กลับบอกว่าไม่รู้จักแดนหมื่นมรรค”
เดิมก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลินสวินต้องตายแน่ ใครจะคิดว่าจะเกิดการพลิกผันเช่นนี้ ความจริงในใจค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง ยามเอ่ยคำพูดนี้ออกมาก็มีอคติอย่างเด่นชัด
เว่ยอวิ๋นจงยิ้มพลางกล่าว “แค่คนที่พบกันโดยบังเอิญคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ถึงกับต้องโกรธด้วยเรื่องนี้ ไปเถอะ ได้ยินว่านครต้องห้ามของจักรวรรดิจื่อเย่าจะมีวาสนามรรคสะเทือนใต้หล้าปรากฏ ถึงขั้นทำให้สำนักเก่าแก่มากมายในดินแดนรกร้างโบราณตกใจจนเข้ามาแทรกแซง หากพวกเราคิดแบ่งสันปันส่วน ย่อมไม่อาจล่าช้าอีกต่อไปแล้ว”
เขาพูดพลางโผนทะยานไปก่อน
คนอื่นต่างรีบร้อนตามไป
…
บนผืนทะเลสีมรกต นกนางนวลเกาะกลุ่มถลาร่อน
หลินสวินพาเย่หลิงซวงพุ่งโฉบแหวกอากาศ ท่าทางผ่อนคลาย เขาไม่ได้ห้อตะบึงเต็มกำลัง กลับเป็นว่าชื่นชมความอัศจรรย์ของฟ้าดินหมื่นลักษณ์ตลอดทางเหมือนนักเดินทางคนหนึ่ง
ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา เปลี่ยนโครงสร้างของจักรวรรดิจื่อเย่าทั้งหมด และทำให้ทั้งโลกปรากฏกลิ่นอายที่ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
หากเป็นก่อนหน้านี้ ระดับราชันล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้กลับเห็นบ่อยจนชินตา
เหมือนเย่หลิงซวงที่อยู่ข้างกาย อย่างมากก็เพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่กลับมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ทำให้หลินสวินอดหันมองไม่ได้
หลินสวินสงบจิตสัมผัส หยั่งรู้การเปลี่ยนแปลงในห้วงอากาศและอนุมาน
ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่าหากปีนั้นข้ารออยู่โลกชั้นล่าง ไม่มุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ มรรควิถีทั้งตัวจะเปลี่ยนไปเช่นไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลินสวินก็ได้คำตอบ
หากปีนั้นรออยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีทางประสบความสำเร็จบนมหามรรคเช่นวันนี้แน่!
ถึงอย่างไรไอวิญญาณก็เพิ่งเริ่มฟื้นคืนกลับมาในช่วงหลายสิบปีนี้ เหมือนแดนหมื่นมรรคนี่ อย่างมากก็ได้แต่รองรับให้ระดับจักรพรรดิขั้นแรกก้าวเข้ามา
แต่ตอนนี้เขาหลินสวินมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสี่ขั้นสมบูรณ์! ซ้ำยังเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนแรกในรอบแสนปีด้วย!
ที่สำคัญกว่าคือความเร็วในการฝึกปราณ ไม่อาจเป็นตัวแทนของความสำเร็จที่ได้รับบนมหามรรค
เหมือนศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อ เรียกได้ว่าเป็นเลิศมาชั่วกาล บรรลุอริยะตอนเก้าขวบ บรรลุมกุฎจักรพรรดิยามสิบเก้าปี แต่ในการต่อสู้ระดับเดียวกันกลับยังด้อยกว่าตนเล็กน้อย!
ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยสังเกตการต่อสู้ของเย่หลิงซวง พลังระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดนั้นไม่อาจเทียบกับตนยามอยู่ระดับเดียวกันเมื่อปีนั้นอยู่โข
นี่ก็คือการเลื่อนขั้นเร็วเกินไป กลับเป็นว่าขาดการฝึกปรือในแต่ละระดับ
“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักท่านปู่ของข้าจริงหรือ”
ตลอดทางหลินสวินท่าทางราบเรียบ ทำให้เย่หลิงซวงผ่อนคลายลงเช่นกัน เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ แม้แต่คำเรียกขานก็เปลี่ยนไปแล้ว
“อืม เขาในตอนนั้นเป็นเจ้าอ้วนน้อยคนหนึ่ง ดูเหมือนซื่อๆ แต่ความจริงแล้วเก็บงำแผนเจ้าเล่ห์ไว้เต็มท้อง”
หลินสวินยิ้มกล่าว
เย่หลิงซวงร้องเอ้อคำหนึ่ง ในสมองก็ไม่รู้ว่านึกถึงภาพอะไร หัวเราะพรืดออกมา เด็กสาวพริ้มเพราร่าเริง เสียงหัวเราะกระจ่างใสดุจน้ำแร่หยาดหยดโปรยเสน่ห์ไปทั่ว
เด็กสาวหัวเราะคิกคักพลางกล่าว “ไม่แปลกที่ต่อให้ท่านปู่ยิ้มแย้ม แต่พวกท่านพ่อกลับไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังคำท่าน”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ช่วงนี้ตระกูลเย่ของพวกเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จับจ้อง”
รอยยิ้มของเย่หลิงซวงหายไป สีหน้าเผยความเดือดดาลเสี้ยวหนึ่ง เล่าเรื่องความแค้นของตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ออกมาจนหมด
เรื่องราวความเป็นมานั้นง่ายมาก ตั้งแต่ไอวิญญาณของโลกชั้นล่างฟื้นคืนกลับมา ในอาณาเขตที่ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกครอบครอง ทยอยปรากฏ ‘น้ำพุวิญญาณ’ เก้าแห่ง
น้ำพุวิญญาณเก้าแห่งนี้ต่างมีความอัศจรรย์ของตน บ้างพรั่งพราวด้วยไอมงคลทองคำ บ้างสั่งสมแก่นพลังไม้อิกไว้ภายใน บ้างปลดปล่อยไฟปิ่งอี่เสวียนออกมา…
ไม่เพียงแต่นำมาใช้ฝึกปราณได้ ยังมีประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินต่อการหลอมยา หลอมอาวุธ รวมไปถึงการเคี่ยวกรำพลังกายด้วย
น้ำพุวิญญาณเก้าแห่งนี้ยังถูกเรียกว่า ‘น้ำพุวิญญาณเก้ามงคล’ ทำให้ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกได้รับประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด เวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปีก็ปรากฏบุคคลเจิดจรัสกลุ่มใหญ่
เย่หลิงซวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ในช่วงสิบปีก่อน หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของดินแดนรกร้างโบราณเปิดช่องทางเข้ามาในแดนหมื่นมรรค ก็เลือกใช้ทะเลตะวันออกเป็นฐานที่มั่น เปิดสำนักสาขาขยายอำนาจ
กระทั่งปัจจุบันบนทะเลตะวันออกนี้ ขุมอำนาจเล็กใหญ่หนึ่งร้อยกว่าแห่งที่เดิมอยู่ใต้อาณัติตระกูลเย่ ล้วนเลือกสวามิภักดิ์ไปอยู่ใต้อาณัติแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทั้งหมด
ยกเว้นตระกูลเย่
แม้ว่าอาณาเขตกับขุมอำนาจจะถูกกัดกิน แต่ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกก็ได้แค่ข่มกลั้น อาศัยพลังของพวกเขา ย่อมไม่อาจไปงัดข้อกับสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ได้แต่แรก
แต่ช่วงที่ผ่านมาแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่งทูตมาตระกูลเย่ครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตระกูลเย่มีแค่สองทางเลือก หากไม่เลือกสวามิภักดิ์ก็ต้องมอบน้ำพุวิญญาณเก้ามงคลให้ ไม่อย่างนั้นจะประสบหายนะครั้งใหญ่
แน่นอนว่าตระกูลเย่ไม่รับปาก จนกระทั่งล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างสมบูรณ์
จนถึงตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายล้วนตึงเครียดแล้ว
เหมือนครั้งนี้ เดิมเย่หลิงซวงจะมุ่งหน้าไปเก็บโอสถสมบัติบนเกาะวิญญาณแห่งหนึ่งของทะเลตะวันออก แต่กลับถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางจนเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินอดมุ่นคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คงคิดลงมือกับตระกูลเย่ของพวกเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นย่อมไม่มีทางกล้าส่งคนมาจับตัวเจ้าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้แน่”
เย่หลิงซวงกล่าวอย่างว้าวุ่นใจ “ที่ข้ากังวลก็คือเรื่องนี้”
“เจ้ามานำทาง พวกเราจะไปตระกูลเย่ของพวกเจ้าก่อน” หลินสวินตัดสินใจ
เย่หลิงซวงพยักหน้าน้อยๆ
…
เมืองค้ำฟ้า
อาณาเขตของตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออก
มรรคสถานผาวาโย สถานที่ฝึกยุทธ์บำเพ็ญมรรคแห่งหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลเย่
ในอดีตลูกหลานของตระกูลเย่ล้วนฝึกยุทธ์กันที่นี่ ดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่วันนี้บรรยากาศของมรรคสถานผาวาโยกลับเงียบเหงากดดันถึงขีดสุด
ยามรุ่งสาง ผู้อาวุโสระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งนามว่า ‘หรงหลินเหอ’ แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พาผู้นำจากร้อยกว่าขุมอำนาจมาที่นี่
ภายนอกบอกว่ามาเยี่ยมเยียน ความจริงแล้วมาเพื่อหงายไพ่สู้กับตระกูลเย่!
เวลานี้ด้านซ้ายของมรรคสถานมีหรงหลินเหอและหัวหน้าขุมอำนาจมากมายนั่งอยู่ ด้านขวาของมรรคสถานก็มีเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลเย่นั่งอยู่
ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือผู้นำตระกูลเย่คนปัจจุบัน เย่ซิงโหยว หรือก็คือเย่เสี่ยวชีเพื่อนสนิทของหลินสวิน
“ถ้าเช่นนั้นหากตระกูลเย่ของข้าไม่รับปาก พวกเจ้า… ก็จะแย่งกันซึ่งหน้าหรือ”
ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน เย่เสี่ยวชีเอ่ยปากเสียงขรึม สีหน้าเต็มไปด้วยความเยียบเย็น รวมถึงความเดือดดาลที่สะกดกลั้นเอาไว้
“ไม่อาจพูดได้ว่าแย่งกันซึ่งหน้า สถานที่อย่างน้ำพุวิญญาณเก้ามงคล เดิมก็เป็นแดนมงคลที่ก่อกำเนิดจากฟ้าดิน ไม่ใช่ของพวกเจ้าตระกูลเย่ตั้งแต่ต้น”
บนที่นั่งประธานฝั่งซ้าย หรงหลินเหอลูบหนวดเคราพลางเอ่ยราบเรียบ
เขาสวมชุดนักพรตสีดำ เกล้าผมเป็นมวย มีสง่าราศี ทุกการเคลื่อนไหวเจือความน่าเกรงขามราวสูงส่งเหนือผู้อื่น
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “สหายยุทธ์เย่ เวลามีค่า โปรดรีบตัดสินใจ ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นอะไร” สายตาของเย่เสี่ยวชีฉายแววเยียบเย็น
หรงหลินเหอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ในเมื่อสหายยุทธ์เย่ตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นข้าคนแซ่หรงจะช่วยเจ้าเอง”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง
ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากนอกมรรคสถานอย่างรีบเร่ง สีหน้าเจือความร้อนรนและกระสับกระส่าย กล่าวเสียงสั่นเครือ “ผู้นำตระกูล เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ยามคุณชายเจ็ดไปจัดการธุระที่เมืองหยกเลิศ พลันถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวไป!”
“อะไรนะ”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
เหล่าคนใหญ่คนโตของตระกูลเย่ที่อยู่ฝั่งขวาพลันนั่งไม่ติดแล้ว แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
มีเพียงเย่เสี่ยวชีที่มองไปทางหรงหลินเหอด้วยแววตาเยียบเย็น “แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้าเป็นคนทำรึ”
หรงหลินเหอลูบเคราแล้วยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าคุณชายเจ็ดของตระกูลเย่ฉลาดเฉียบแหลม ประหนึ่งมังกรหงส์กลางหมู่มนุษย์ ถูกมองเป็นอัจฉริยะที่ยากพบเห็นในรอบพันปีของตระกูลเย่ ข้าคนแซ่หรงก็แค่มีใจเมตตา ดังนั้นจึงเชิญคุณชายเจ็ดไปเก็บตัวในอาณาเขตแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้าสักสองสามวัน”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“มีใจเมตตาบ้าบออะไร เห็นชัดว่าจับตัวเป็นประกัน!”
“วิธีของพวกเจ้าไม่ต่ำช้าเกินไปหน่อยหรือ!”
คนใหญ่คนโตของตระกูลเย่เหล่านั้นโมโหแล้ว ทรวงอกกระเพื่อมไหว เคียดแค้นจนกัดฟันกรอด
หรงหลินเหอสีหน้าเรียบเฉยพลางกล่าว “ทุกท่านอย่าได้ตระหนก นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น”
เพิ่งจะเริ่ม?
เพียงชั่วขณะเย่เสี่ยวชีและคนของตระกูลเย่พลันใจหล่นวูบ
จริงดังคาด ไม่ทันไรก็มีคนพุ่งเข้ามาตะโกนลั่น “ผู้นำตระกูล แย่แล้ว คุณหนูสามกับคุณหนูสี่ถูกคนลักพาตัวไปพร้อมกัน!”
น้ำเสียงเจือความตื่นตระหนกและว้าวุ่นใจ
ประโยคเดียวทำให้เย่เสี่ยวชีสั่นไปทั้งตัวเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ พอมองคนใหญ่คนโตอื่นๆ ของตระกูลเย่อีกครั้ง สีหน้าก็ผิดแปลกหาใดเปรียบ โกรธจนเส้นเลือดเขียวปูดโปน
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามกับคุณหนูสี่ของตระกูลเย่เป็นฝาแฝด รูปงามดั่งบุปผาจันทรา โฉมสะคราญปานล่มเมือง ถูกเรียกว่ายอดพี่น้องคู่งาม ที่หาได้ยากคือถึงตอนนี้แล้วยังไม่แต่งงาน”
ก็เห็นหรงหลินเหอเอ่ยปากอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “พอดีว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้าไม่เคยขาดชายหนุ่มมากความสามารถ ข้าคนแซ่หรงคิดจะเลือกชายหนุ่มสักคนให้พี่น้องคู่นี้ด้วยตัวเอง สหายยุทธ์เย่เห็นว่าอย่างไร”
ความหมายในคำพูดนี้ชั่วช้าเกินไปแล้ว เห็นชัดว่าต้องการให้พี่น้องคู่นี้ปรนนิบัติคนผู้หนึ่งร่วมกัน!
เย่เสี่ยวชีโกรธจนผมตั้งในชั่วขณะเดียว เดือดดาลอย่างถึงที่สุด
……………………