เวลาหนึ่งถ้วยชา

สำหรับเย่เสี่ยวชีแล้ว เขาเพิ่งออกคำสั่งให้คนในตระกูลไปกักขังผู้นำขุมอำนาจพวกนั้นทั้งหมด

จากนั้นจึงเรียกคนตระกูลเย่มาประชุมด่วนอย่างตึงเครียดและว้าวุ่นใจ

เนื้อหาในการประชุมนั้นง่ายมาก การเดินทางครั้งนี้ของหลินสวินจะช่วยทายาทรุ่นเยาว์ของตระกูลเย่ที่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จับตัวไปให้กลับมาได้อย่างราบรื่นหรือไม่

ทุกคนต่างไม่แน่ใจและประหม่า

แม้แต่เย่หลิงซวงที่เลื่อมใสศรัทธาหลินสวินเป็นอย่างยิ่งก็ไม่มั่นใจ

เรื่องทางโลกเปลี่ยนแปลงไป สถานการณ์ของโลกชั้นล่างนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดิน ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิงนานแล้ว

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ โลกชั้นล่างในอดีต ราชันระดับอมตะเคราะห์ล้วนเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนชั้นยอดของโลก

แต่ปัจจุบันผู้แข็งแกร่งระดับราชันนั้นมีมากจนนับไม่ถ้วน แหวกว่ายดุจฝูงปลานานแล้ว!

ผู้มากอิทธิพลอย่างแท้จริงคือคนที่อยู่เหนือระดับอริยะ กึ่งจักรพรรดิที่แค่กระทืบเท้าก็ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนได้!

อีกทั้งสิบกว่าปีนี้ไอวิญญาณในใต้หล้ายังฟื้นคืนกลับมาจนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม หลายคนต่างสงสัยว่ายุคที่จะบรรลุระดับจักรพรรดิ ไม่นานก็คงมาเยือน

ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินที่เงียบหายไปหลายปีแล้วกลับมาอีกครั้ง ยังจะสร้างตำนานเหมือนแต่ก่อนได้หรือไม่

ใครก็ไม่กล้าถือดีตัดสิน

ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดและว้าวุ่นใจเช่นนี้ เงาร่างหลินสวินลงมาจากฟากฟ้า

พวกเย่เสี่ยวชีล้วนอึ้งไป ไม่ทันตั้งตัว ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็กลับมาแล้วหรือ

“พี่หลิน หรือว่า… ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น” เย่เสี่ยวชีอดถามไม่ได้

คนอื่นก็มองไปทางหลินสวินเช่นกัน

“แค่พวกไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาเท่านั้น มีหรือจะก่อคลื่นลมอะไรได้อีก”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

คนรุ่นเยาว์ในตระกูลเย่ทั้งหมดที่ถูกเขาช่วยกลับมาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน

ทั้งที่นั้นต่างฮือฮาทันที

ทุกคนล้วนเบิกตากว้าง ตื่นเต้นจนต้องลุกขึ้น เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้งสายตาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

มาถึงตอนนี้แล้ว พวกเขามีหรือจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เวลาหนึ่งถ้วยชา ห้อตะบึงไปกลับแปดหมื่นลี้ บดขยี้เกาะวิญญาณเมฆาเหิน!

“ผู้อาวุโสเด็ดจริงๆ โลกหล้าไม่อาจคาดเดา”

เย่หลิงซวงตื่นเต้นจนตะโกนเสียงกังวาน

เย่เสี่ยวชีขยี้หัวของนางอย่างหนัก กล่าวไม่สบอารมณ์ “ผู้อาวุโสอะไร นี่คือพี่ใหญ่ของปู่เจ้านะ!”

นัยน์ตาปราดเปรื่องของเย่หลิงซวงกลอกไปมา ยิ้มหวานพลางกล่าว “ท่านปู่หลิน”

หลินสวินรับรู้รสชาติของการเป็น ‘ปู่’ ครั้งแรกในชีวิต มุมปากพลันกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เขามองสำรวจเย่หลิงซวงจากหัวจรดเท้าแล้วดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง ตำรามรดกมหามรรคเล่มหนึ่งกลายเป็นประทับ พุ่งเข้าไปในสมองของฝ่ายหลัง

“นางหนู ตำรามรรคเล่มนี้คงเหมาะกับเจ้า ถือเป็นของขวัญแรกพบแล้วกัน ภายหน้าต้องฝึกปราณให้ดีๆ รีบเหนือกว่าปู่ของเจ้าในเร็ววัน”

หลินสวินยิ้มแย้มพลางกล่าว เรียกเย่เสี่ยวชีมาแล้วออกจากมรรคสถานแห่งนี้ไป

เขามีเรื่องบางอย่างที่อยากคุยกับเย่เสี่ยวชีตามลำพัง

“หลายปีนี้โลกชั้นล่างเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเท่าไรกันแน่ สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร”

ในคฤหาสน์ที่เงียบสงบหลังหนึ่ง หลินสวินเอ่ยถาม

เย่เสี่ยวชีคล้ายคาดเดาไว้แล้วว่าหลินสวินจะถามถึงเรื่องนี้ เขาถอนใจเบาๆ สาธยายสถานการณ์ของโลกชั้นล่างในช่วงหลายสิบปีนี้อย่างเนิบช้า

โดยคร่าวคือห้าสิบปีก่อนฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไอวิญญาณถือกำเนิดอย่างบ้าคลั่ง ทั่วโลกชั้นล่างฟื้นคืนสภาพรอบด้าน ระเบิดศักยภาพแฝงและพลังชีวิตไร้สิ้นสุดออกมาฉับพลัน ราวกับภูเขาไฟที่เงียบสงบชั่วกัปกัลป์ทำลายพันธนาการ

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าหรือต้นไม้ใบหญ้าล้วนเริ่มเพิ่มพูนศักยภาพ โดยเฉพาะผู้ฝึกปราณพวกนั้น ยามฝึกปราณเพื่อแจ้งมรรคล้วนง่ายกว่าแต่ก่อนถึงสิบเท่าร้อยเท่า พลังปราณก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหน่อไม้หลังฝนยามฤดูใบไม้ผลิ

ห้าสิบปีก่อน ราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าสามารถเย้ยหยันใต้หล้า ครองอำนาจสะท้านทั่ว

ห้าสิบปีให้หลัง คนที่ก่อคลื่นลมทั่วหล้าได้คือกึ่งจักรพรรดิ!

ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ทำให้สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนไปเช่นกัน

ในอดีตจักรวรรดิจื่อเย่ามีราชวงศ์เป็นใหญ่ ขุมอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพลเป็นรอง

แต่เมื่อไอวิญญาณฟื้นคืน ห้าสิบปีมานี้ทยอยมีสำนักใหญ่จากดินแดนรกร้างโบราณมาเยือนโลกชั้นล่างและขยายอิทธิพล

สำนักเก่าแก่พวกนี้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ หลายปีมานี้ต่างก้าวย่างอย่างมั่นคงในโลกชั้นล่าง ครอบครองแดนมงคลมีชื่อมากมายไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว

จนถึงตอนนี้สถานการณ์ที่จักรวรรดิจื่อเย่าปกครองใต้หล้านั้นหายไปนานแล้ว ใต้หล้านี้ก้าวเข้าสู่เวทีซึ่งขุมอำนาจใหญ่ประชันกันแล้ว

ตามที่เย่เสี่ยวชีกล่าวมา

โลกชั้นล่างในตอนนี้ ยอดขุมอำนาจใหญ่ล้วนเป็นสำนักเก่าแก่ที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า สำนักยุทธ์นครนิล เรือนกระบี่เร้นปุจฉาเป็นต้น

รองลงมาก็คือขุมอำนาจหลายเผ่ากลางสมุทรที่ครองอาณาเขตในทะเลกลืนวิญญาณพวกนั้น

ส่วนขุมอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพลที่ครองอาณาเขตในจักรวรรดิจื่อเย่าก็ตกต่ำในการแข่งขันช่วงหลายสิบปีนี้ไปนานแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเลือกสวามิภักดิ์และอยู่ใต้อาณัติของสำนักแห่งดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น

เย่เสี่ยวชีพูดถึงตรงนี้แล้วถอนใจยาว “พี่หลิน ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เจ้ามาได้ทันเวลา หากตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกของข้าคิดอยู่รอดต่อไป เกรงว่าคงได้แต่เลือกก้มหัวและยอมจำนนเช่นกัน”

หลินสวินขมวดคิ้ว “ตอนนี้สถานการณ์ตระกูลหลินของข้าเป็นอย่างไร”

นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาสนใจที่สุด

เย่เสี่ยวชีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “พี่หลิน สถานการณ์ของตระกูลหลิน…”

สีหน้าเขาปรวนแปรไม่หยุด เห็นชัดว่าลังเลมาก

นี่ทำให้หลินสวินใจหล่นวูบ หรี่ตาเล็กน้อยแล้วกล่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“เฮ้อ” เย่เสี่ยวชีถอนหายใจยาวพลางกล่าว “พี่หลิน จนถึงตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลหลินยังเป็นปริศนา หลังจากเจ้าได้ฟังแล้วอย่าวู่วามเด็ดขาด”

หลินสวินจ้องเย่เสี่ยวชีตรงๆ “หากเจ้ายังอมพะนำอีก ข้าจะจากไปเสียตอนนี้!”

เย่เสี่ยวชีรู้ว่าไม่อาจปิดบังได้อีก เขากัดฟันแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก

ห้าสิบปีก่อนไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ด้วยฐานะที่เป็นใจกลางของจักรวรรดิจื่อเย่า ในนครต้องห้ามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นยอดในใต้หล้า ไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่อื่นเทียบได้

เริ่มจากอาณาเขตของนครต้องห้ามแผ่ขยายไปพันกว่าเท่าในเวลาสั้นๆ แค่ร้อยวัน ไอวิญญาณมหามรรคปะทุขึ้นดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ทำให้สรรพสิ่งก่อเกิด ทยอยปรากฏลักษณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่คาดไม่ถึงมากมาย

จากนั้นเขาวิญญาณแดนมงคลแห่งแล้วแห่งเล่าผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เขาวิญญาณแต่ละลูกล้วนเรียกได้ว่ายากพบเห็นในใต้หล้า ราวกับแดนพิสุทธิ์ในอุดมคติ ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีช่องว่างคดเคี้ยว แดนลับถ้ำสวรรค์ทยอยปรากฏมากมาย

การเปลี่ยนแปลงนี้ชักนำให้ใต้หล้าปั่นป่วนในชั่วขณะ ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจนับไม่ถ้วน

ตั้งแต่นั้นมานครต้องห้ามก็ทะยานขึ้นมาเป็น ‘แดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรค’ อันเป็นที่จับตามอง!

เพียงแต่โชคเคราะห์ล้วนเคียงกัน

ด้วย ‘วาสนา’ ที่ก่อเกิดในนครต้องห้ามชวนตะลึงเกินไป ทำให้สำนักใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณตาลุกและน้ำลายหก

จนกระทั่งเกิดการปะทะนองเลือดนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีนี้ เพื่อแย่งชิงและยึดครองแดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรคแห่งนี้

จนถึงปัจจุบันแดนมงคลมีชื่อ ถ้ำสวรรค์ลึกลับเล็กใหญ่ในอาณาเขตของนครต้องห้ามนั้น… ล้วนถูกสำนักใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณยึดครองไปนานแล้ว!

ส่วนขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลที่เดิมอาศัยอยู่ในนครต้องห้าม บ้างถูกล้างตระกูล บ้างถูกกลืนกิน บ้างยอมสวามิภักดิ์…

เมื่อฟังถึงตรงนี้นัยน์ตาของหลินสวินฉายแววเยียบเย็นเสียดกระดูกแล้ว

เย่เสี่ยวชีรีบร้อนกล่าว “พี่หลิน เจ้าอย่าเพิ่งกังวล ก่อนที่นครต้องห้ามจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และความโกลาหล เชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิรวมถึงคนในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตของพวกเจ้าก็หายตัวไปอย่างแปลกประหลาดแล้ว”

“หายตัวไปแล้ว?” หลินสวินอึ้งงัน

เย่เสี่ยวชีพยักหน้า “ไม่ผิด ใต้หล้าต่างรู้เรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าราชวงศ์แห่งจักรวรรดิและคนในตระกูลหลินของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน เป็นหรือตายกันแน่”

นัยน์ตาดำของหลินสวินไหววูบ “ไม่มีข่าวสักนิดเลยหรือ”

เย่เสี่ยวชีส่ายหัว “มีข่าวลือเกิดขึ้นมากมาย แต่ล้วนถูกพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ เรื่องนี้จึงกลายเป็นปริศนาในโลกปัจจุบัน”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวอย่างลังเล “แต่เท่าที่ข้ารู้ ขุมอำนาจบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าตระกูลหลินกลับล้วนประสบเคราะห์ อย่างสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำ… เกือบทั้งหมดล้วนดับสลาย”

หลินสวินเพียงรู้สึกว่าความโกรธที่ไม่อาจระงับผุดขึ้นในใจ สีหน้าก็มืดทะมึนลง

สำนักศึกษามฤคมรกตและภาคีนักสลักวิญญาณล้วนก่อตั้งโดยท่านลู่ ตอนเด็กหลินสวินยังเคยได้รับความช่วยเหลือจากสองขุมอำนาจใหญ่นี้มากมาย

ส่วนโถงทองคำก็เป็นร้านค้าที่ก่อตั้งร่วมกับสหายกู่เหลียงรวมถึงบิดาของเขากู่เยี่ยนผิง ยามเขาเหยียบย่างเข้าสู่จักรวรรดิจื่อเย่าครั้งแรกในชีวิต!

เมื่อหลายปีก่อนจากการทุ่มเทจิตใจของพ่อลูกกู่เยี่ยนผิงและกู่เหลียง โถงทองคำกลายเป็นร้านค้าใหญ่ที่เลื่องชื่อลือนามในจักรวรรดินานแล้ว ชื่อเสียงและรากฐานล้วนตามหลังอัครการค้ามาติดๆ!

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่ายามกลับมาโลกชั้นล่างครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ หรือโถงทองคำกลับล้วนประสบเคราะห์!

“ใครเป็นคนทำ”

น้ำเสียงหลินสวินราบเรียบ นัยน์ตาเยียบเย็นจนน่ากลัว

เย่เสี่ยวชีกล่าวเสียงขื่น “ขุมอำนาจที่ทำเรื่องนี้มีจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นสำนักใหญ่ที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ ผู้คนบนโลกต่างลือว่าทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะเจ้า…”

“เพราะข้าหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว

“ใช่ ได้ยินว่าหลายปีที่เจ้าอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณนั้นเคยล่วงเกินขุมอำนาจพวกนั้นมาก่อน หลังจากรู้ว่าขุมอำนาจในนครต้องห้ามพวกนั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้าก็เลยเปิดฉากล้างแค้น”

เย่เสี่ยวชีพูดถึงตรงนี้แล้วกล่าวพึมพำ “ยังดีที่ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิกับคนในตระกูลหลินของเจ้าหายตัวไปนานแล้ว ไม่เช่นนั้น…”

พูดไม่ทันจบเขาพลันหยุดหายใจ

ก็เห็นหลินสวินปลดปล่อยไอสังหารน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขตออกมาจากตัวจนปกคลุมฟ้าดินทันที บีบกดจนห้วงอากาศปั่นป่วนครวญคร่ำ ท่ามกลางความเลือนรางเหมือนมีลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นอย่างภูเขาศพทะเลเลือด สรรพชีวิตจ่อมจม มหาจักรพรรดิร้องตะโกน สุริยันจันทราดับสูญปรากฏ

พริบตานี้สภาวะจิตของเย่เสี่ยวชีมีความรู้สึกว่าจะพังทลาย

ยังดีที่ไอสังหารน่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการนี้ถูกเก็บกลับไปในพริบตา ทำให้เย่เสี่ยวชีเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ แต่เสื้อผ้ากลับชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว!

นี่ทำให้เย่เสี่ยวชีตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้ พลังปราณของหลินสวินในตอนนี้บรรลุถึงขั้นน่าหวาดกลัวระดับใดกันแน่

“เจ้าอ้วน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อย่าได้แพร่งพรายออกไป ทั้งไม่อาจให้พวกเขารู้ว่าข้าหลินสวินกลับมาแล้ว”

สีหน้าของหลินสวินราบเรียบไร้คลื่นลม ไม่มีคลื่นความรู้สึกแม้แต่น้อย มีเพียงนัยน์ตาคู่นั้นที่เฉยชาเยียบเย็นจนน่ากลัว

เย่เสี่ยวชีเข้าใจในทันที หากขุมอำนาจจากดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นรู้ว่าหลินสวินปรากฏตัวในโลกชั้นล่าง ทั้งบดขยี้อาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จนสิ้นซากในเวลาหนึ่งถ้วยชา คงต้องระวังภัยและป้องกันตัวขึ้นมาแน่

ถึงขั้นว่าพวกเขามีโอกาสสูงที่จะจับตัวคนที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินให้มากขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ใช้พวกเขามาข่มขู่เพื่อจัดการหลินสวิน!