“เห็นหรือยัง นี่ก็คืออาณาเขตของตระกูลหลิน หลังจากไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ตระกูลหลินนี้กลับหายไปอย่างประหลาด แม้แต่ภูเขาชำระจิตยังถูกคนทำลาย”
ชายชราคนหนึ่งพาเด็กน้อยมา สีหน้าเศร้าอาดูร “หากเด็กหนุ่มเจ้าภูเขาในตอนนั้นยังอยู่ จักรวรรดิจื่อเย่านี้มีหรือจะถูกพวกดินแดนรกร้างโบราณนั่น…”
ชายชราพูดถึงตรงนี้แล้วปิดปาก เห็นชัดว่ากลัวปากพาซวย แต่บนสีหน้ากลับเจือความเดือดดาลเสี้ยวหนึ่ง
“นึกถึงแต่ก่อน ผู้นำตระกูลหลินอำนาจทั่วนครหลวง ส่องประกายทั่วหล้าดุจดวงตะวันกลางนภา แต่หลายปีที่เขาหายไปนี้… ความรุ่งเรืองในอดีตของตระกูลหลินล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังและความระเนระนาดนานแล้ว”
มีคนทอดถอนใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
“หลินสวินอะไร อำนาจทั่วนครหลวงอะไรกัน หากมีความสามารถมากเช่นนั้นจริง มีหรือจะยอมให้แผ่นดินบรรพชนตระกูลตนถูกทำลาย”
และมีคนยิ้มหยันอย่างดูถูก “ใต้หล้าในตอนนี้มีวีรชนคนกล้าปรากฏตัวต่อเนื่อง ผู้กล้ารวมตัวกัน ยุคสมัยของเขาหลินสวินตกรุ่นไปนานแล้ว”
ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้วิพากษ์วิจารณ์ ไม่สังเกตเห็นเลยว่าชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลคนนั้น แววตาเยียบเย็นราวน้ำแข็งแล้ว
‘ลุงจง ท่านพญาแร้ง เสี่ยวเคอ… หากพวกเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าหลินสวินจะให้ศัตรูทุกคนถูกฝังไปพร้อมกับพวกเจ้า!’
หลินสวินพึมพำในใจ
เวลานี้ไอสังหารน่าหวาดกลัวแผ่พุ่งขึ้นรอบตัวหลินสวิน พุ่งทะลวงแหวกชั้นบรรยากาศบนเวิ้งฟ้า ปกฟ้าคลุมตะวัน
ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์มาเยือน
ผู้คนนับไม่ถ้วนในนครต้องห้ามสั่นสะท้าน เงยหน้ามองมายังที่แห่งนี้ เห็นเพียงไอสังหารน่ากลัวนั้นราวกับเมฆดำบดบังฟ้ารางๆ ประหนึ่งวันสิ้นโลก
‘ไอสังหารน่าสะพรึงยิ่งนัก!’
ไม่รู้ว่ามีคนใจสั่นมากเท่าไหร่
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่มีพลังปราณแกร่งกล้า ครอบครองพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ สายตาพลันเคร่งขรึมถึงขีดสุดในชั่วขณะเดียว
ตอนนี้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา สามารถปลดปล่อยไอสังหารที่น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขตเช่นนี้ออกมากลางฟ้าดินในปัจจุบัน พลังปราณของคนผู้นั้นต้องเหนือกว่ากึ่งจักรพรรดิแน่ ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
บุคคลเช่นนี้แค่กระทืบเท้าลวกๆ ก็ทำให้ทั่วโลกชั้นล่างสั่นสะเทือนได้แล้ว
จิตใจของผู้ฝึกปราณมากมายในนครต้องห้ามไหวเคลื่อนทันที ไม่อาจนิ่งสงบ นครต้องห้ามในตอนนี้ดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง สงบสุขร่มเย็น ความจริงมีคลื่นลมประหลาดก่อตัวนานแล้ว
ตอนนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งปริศนาคนหนึ่งโผล่มากะทันหัน ซ้ำยังปลดปล่อยไอสังหารออกมาในนครต้องห้าม ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้
ทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณที่ครองอาณาเขตในเมืองล้วนทำสัญญากันแล้วว่าไม่อาจเคลื่อนพลในเมืองตามอำเภอใจ แต่ไอสังหารนี้กลับอหังการไม่กลัวผู้ใดเช่นนั้น เกรงว่านี่คงสะกิดต่อมโมโหของขุมอำนาจแห่งดินแดนรกร้างโบราณแน่!
ผู้อาวุโสบางคนถึงขั้นหรี่ตาลง รู้ตำแหน่งที่ไอสังหารนั้นพุ่งออกมา เป็นสถานที่ซึ่งภูเขาชำระจิตของตระกูลหลินที่เคยดึงดูดความสนใจทั่วหล้าเมื่อปีนั้นตั้งอยู่นั่นเอง
ขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกปราณมากมายพากันรีบเร่งมา ต้องการเสาะหาข้อเท็จจริง
น่าเสียดายที่ยามพวกเขามาถึง ไอสังหารที่พุ่งสู่ฟากฟ้า สะเทือนคลื่นลมจนแหลกนั้นกลับหายไปนานแล้ว แม้แต่เงาร่างของหลินสวินก็หายไปกลางอากาศ
ใกล้ซากปรักหักพังของภูเขาชำระจิตมีเพียงเงาร่างบางส่วนที่ถูกทำให้ตกใจจนทรุดตัว เมื่อได้สติก็ไม่มีใครรู้ว่าไอสังหารเมื่อครู่นั้นมาจากที่ไหนกันแน่
…
หนึ่งถ้วยชาผ่านไป
หลินสวินมาถึงตำแหน่งที่เดิมเป็นพระราชวังตั้งอยู่
แต่ก่อนจ้าวหยวนจี๋ควบคุมดูแลอยู่ที่นี่ ก้มมองทั่วทิศ ข่มขวัญใต้หล้า
กระทั่งแดนมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณปิดฉาก หลินสวินเคยกลับมาจักรวรรดิจื่อเย่า เวลานั้นไม่มีจ้าวหยวนจี๋สองสามีภรรยาควบคุมดูแลแล้ว พระราชวังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ถูกโจมตี
สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากหลินสวินจ้าวจิ่งเซวียนจึงยึดอำนาจกลับมาได้ ทั้งปราบภัยพิบัติจากสัตว์อสูรมารทั่วหล้าได้ในคราเดียว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็กลายเป็นตระกูลทรงอิทธิพลซึ่งเป็นที่จับตามองในใต้หล้า
ตอนนั้นเองที่หลินสวินกำจัดตระกูลจั่วและฉิน สองในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลจนสิ้นซาก ถูกเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า
อันที่จริงเมื่อคิดอย่างละเอียด หลินสวินก็พบว่าตั้งแต่ครั้งก่อนที่ตนกลับมายังจักรวรรดิจื่อเย่า โลกชั้นล่างนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว
ยกตัวอย่างในอาณาเขตของจักรวรรดิ มีสัตว์อสูรมารปรากฏตัวมากมาย ไอวิญญาณกลางฟ้าดินก็เปลี่ยนเป็นเข้มข้นมาก เหมือนสัญญาณก่อนไอวิญญาณจะฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์
แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาอีกครั้ง โลกนี้ก็เปลี่ยนไปนานแล้ว
ก็เหมือนตอนนี้ เขายืนอยู่หน้าเทือกเขาทอดยาวทรงพลังแถบหนึ่ง ยอดเขาแออัดเรียงรายราวไม้แหลม เทือกเขาทั้งลูกอบอวลด้วยแสงมงคลสีม่วง ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าครั่นคร้าม
เดิมที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระราชวังเคยตั้งอยู่!
แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเทือกเขากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง อบอวลด้วยแสงเทพสีม่วงทั้งลูก กระจ่างแผ่ไพศาล ยิ่งใหญ่สง่างามหาใดเปรียบ
ไม่เห็นเงาของพระราชวังในปีนั้นแม้เพียงเสี้ยว!
‘พวกจ้าวซิงเย่ จ้าวไท่ไหล… ก็ไม่อยู่แล้วหรือ…’
หลินสวินอึ้งงัน
เย่เสี่ยวชีเคยบอกว่ายามไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ราชวงศ์ของจักรวรรดิและคนในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตล้วนหายลับไป กลายเป็นปริศนาใหญ่ของโลก
ปัจจุบันดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้คงเป็นเรื่องจริงแล้ว
“ที่นี่เป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ คนทั่วไปรีบจากไปโดยเร็ว!” เสียงตวาดหนึ่งดังมาจากประตูหน้าเขาแต่ไกล
นัยน์ตาดำล้ำลึกของหลินสวินมองเทือกเขาสีม่วงที่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยึดครองแห่งนี้อย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง แล้วหันหลังจากไป
บนท้องถนนที่เบียดเสียดแน่นขนัด ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่
เรื่องราวทางโลกโหมกระหน่ำ
หลินสวินเดินอยู่ในนั้นเพียงลำพัง
เรื่องทางโลกปรวนแปร นครต้องห้ามที่กว้างใหญ่เปลี่ยนไปจนแปลกใหม่นานแล้ว แม้แต่ญาติมิตรในปีนั้น ปัจจุบันยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี สาบสูญไร้ร่องรอย
โดยเฉพาะตอนเห็นภูเขาชำระจิตที่ตนทุ่มเทดูแลในอดีต กลับกลายเป็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่งยามกลับมา ต่อมโมโหในใจหลินสวินราวกับถูกสะกิด ไม่อาจเก็บกลั้นไอสังหารเยียบเย็นที่ก่อตัวขึ้นมาได้
การเปลี่ยนแปลงของพระราชวังยิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สนใจแค่ญาติมิตรพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนกันแน่!
เนิ่นนานกว่าแววตาของหลินสวินจะนิ่งสงบ ‘จากนี้ไปต้องสืบข่าวก่อน คนในตระกูลหลินของข้าไม่มีทางหายไปโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เรื่องนี้ต้องมีความลับอื่นแฝงอยู่แน่’
‘ศัตรูที่ทำลายภูเขาชำระจิตก็ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด’
‘ยังมีเรื่องของสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำ… จำเป็นต้องสะสางให้สิ้นซากเช่นกัน!’
ยามหลินสวินครุ่นคิด จิตรับรู้ก็สัมผัสโดยไร้สุ้มเสียงอยู่ตลอด
เวลาเคลื่อนคล้อย ห้าสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่านครต้องห้ามจะเปลี่ยนไปมาก แต่หลินสวินไม่ห่วงว่าจะหาเบาะแสไม่ได้
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ไม่เกินสองวันก็สามารถตรวจสอบเมืองที่เทียบกับโลกแห่งหนึ่งนี้ได้ตั้งแต่ในเมืองจนถึงนอกเมือง
หลังผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยาม หลินสวินก็เจอใบหน้าคุ้นเคยบางส่วนที่เคยฝึกปราณในสำนักศึกษามฤคมรกต เคยดำรงตำแหน่งในภาคีนักสลักวิญญาณ
แต่ผ่านมาห้าสิบปี สำนักศึกษามฤคมรกตและภาคีนักสลักวิญญาณสลายหายไปนานแล้ว ไหนเลยจะเจอศัตรูที่แท้จริงอะไรได้
เหมือนอย่างสิ่งที่เขาหาเจอในตอนนี้ ก็เป็นแค่ลูกแมวสองสามตัวไม่รู้เรื่องอะไรอย่างสิ้นเชิง
รู้เพียงหลายปีก่อนหน้านี้หลังจากทุกสำนักใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณเข้ามาในนครต้องห้าม ขุมอำนาจอย่างสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณก็เจอมหันตภัยครั้งใหญ่ พินาศย่อยยับจนสลายหายไป
ไม่มีเบาะแสที่มีคุณค่าใดๆ
แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อน อย่างมากเขาก็แค่บุกเข้าไปในอาณาเขตของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น สืบข่าวจากปากของพวกเขาก็ได้
ตลอดทางนี้หลินสวินท่องไปในอาณาเขตเล็กใหญ่ของนครต้องห้าม ทั้งไม่ปิดบังรูปลักษณ์ แต่กลับไม่มีใครจำเขาเจ้าแห่งภูเขาชำระจิตที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าในปีนั้นคนนี้ได้
อย่างมากแค่มีคนยืนนิ่งเป็นครั้งคราว รู้สึกว่าหลินสวินดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจเสียทีเดียว
กาลเวลาไร้ปรานีที่สุด
วีรชนผู้กล้า วีรบุรุษแห่งยุค ผู้ทรงอิทธิพลที่ยืนอยู่เหนือใต้หล้าอะไร ล้วนถูกซัดไปตามลมฝนภายใต้กาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยทั้งสิ้น
หลินสวินในอดีตคงอยู่แค่ในความทรงจำของผู้คนเหมือนของที่ตกรุ่นนานแล้ว
ปัจจุบันนครต้องห้ามรวมไปถึงทั่วโลกชั้นล่าง ทุกช่วงเวลาจะมีอัจฉริยะ ผู้กล้า และผู้ทรงอิทธิพลที่เจิดจรัสบาดตากลุ่มหนึ่งปรากฏตัว ดึงดูดสายตาจากผู้คนในใต้หล้า
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ใส่ใจแต่แรก
แม้ว่าโลกชั้นล่างนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่คนที่พอจะเข้าตาอย่างแท้จริง จนถึงตอนนี้กลับไม่เคยมีสักคน!
“หืม?”
ทันใดนั้นนัยน์ตาของหลินสวินพลันหดรัดลง
บนท้องถนนที่ห่างไกลเกี้ยวสมบัติหรูหราหลังหนึ่งห้อตะบึงมา เมื่อจิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสดูคนข้างในนั้น ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยทันที
คิ้วคมดุจสีหมึก นัยน์ตาเหมือนคมดาบเยียบเย็น ใบหน้างดงามเจือกลิ่นอายดุดันเป็นเอกลักษณ์
ตระกูลฉือ ฉือฉางเหมย!
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ตระกูลฉือจัดอยู่ในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแห่งนครต้องห้าม สูงส่งหาใดเปรียบ
ตอนเด็กยามหลินสวินเข้ามาในนครต้องห้ามครั้งแรก ก็เคยถูกโจมตีและตามล่าโดยผู้หญิงคนนี้
กระทั่งครั้งก่อนยามกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ หลังจากหลินสวินบดขยี้สองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน ผู้นำตระกูลฉือฉือหลิงเซียวตื่นตระหนก มุ่งหน้ามาร้องขอความเมตตาจากตระกูลหลินด้วยตัวเอง หลังจากจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักจึงโชคดีพ้นเคราะห์มาได้ครั้งหนึ่ง
แต่ตอนนี้หลังผ่านไปหลายปี ฉือฉางเหมยบุตรสาวของผู้นำตระกูลฉือคนนี้ แม้ว่าใบหน้าจะไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไร แต่พลังปราณทั้งตัวกลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มีพลังระดับมหาอริยะ!
“คุณชายสามของอัครการค้านั่นไม่เชื่องอีกแล้ว คุณหนู ฆ่าเขาทิ้งไปก็ได้ แค่สวะคนหนึ่งเท่านั้น เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก”
ชายชราชุดดำคนหนึ่งที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติกล่าวตำหนิ
เสียงนี้เองที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
คุณชายสามแห่งอัครการค้า!
นั่นก็คือสืออวี่ไม่ใช่รึ
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ตามไปโดยไม่แสดงสีหน้า
เกี้ยวสมบัติบรรทุกฉือฉางเหมยห้อตะบึง ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ จึงหยุดอยู่หน้าตรอกถนนลับตาคนเส้นหนึ่ง
ฉือฉางเหมยก้าวลงจากเกี้ยวสมบัติ เดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของตรอกแคบยาวมืดมนเส้นนั้น ชายชราชุดดำที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติกลับรออยู่จุดเดิม สายตากวาดมองโดยรอบอย่างระแวดระวัง
น่าเสียดาย ด้วยพลังปราณของเขาย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นแต่แรกว่ามีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านหน้าเขาไปนานแล้ว
ตรอกคับแคบดูซอมซ่อยิ่งนัก แต่ในจิตรับรู้ของหลินสวิน ตรอกนี้กลับวางพลังป้องกันไว้แน่นหนา ตรงมุมอับมืดมนนั้นล้วนมียามเฝ้ารักษาการณ์อยู่
นอกจากนี้ยังมีผนึกคลุมทบเป็นชั้นๆ
หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ตั้งแต่พริบตาแรกที่เพิ่งเข้าใกล้ตรอกเส้นนี้ก็คงถูกพบตัวแล้ว
แต่ในสายตาของหลินสวิน พลังป้องกันเช่นนี้ล้วนเป็นของประดับทั้งนั้น
ในที่สุดฉือฉางเหมยก็มาถึงหน้าเรือนซอมซ่อแห่งหนึ่งตรงปลายตรอก แค่ผลักเบาๆ ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก
เมื่อฉือฉางเหมยก้าวเข้าไปในนั้น
ประตูรั้วปิดสนิทอีกครั้งอย่างเงียบสงัดไร้เสียง
ไม่ทันไรเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏ เขาสองมือไพล่หลัง สายตาสำรวจมองโดยรอบครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
แต่จิตรับรู้ของเขากลับพุ่งเข้าไปในเรือนแห่งนี้โดยไร้สุ้มเสียง