ในลานเรือน

ตะเกียงสลัวดวงหนึ่งแขวนอยู่บนกิ่งไม้ โปรยแสงเงาเป็นลายพร้อย

ชายชราสันหลังโก่งงอคนหนึ่งกำลังใช้แรงทั้งหมดตักน้ำอยู่หน้าบ่อแห่งหนึ่ง

เขาร่างผอมกะหร่อง ผมเผ้าหนวดเครารุงรังราวกับพงหญ้า เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า แค่ตักน้ำถังหนึ่งกลับดูเกินกำลังหาใดเปรียบ เงาร่างส่ายไปมา สองมือกำเชือกแน่น เส้นเลือดเขียวบนหลังมือปูดโปน หน้าผากมีเหงื่อไหลย้อย

ฝีเท้าเขาโงนเงน เชือกในมือร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว

ถังน้ำที่ถูกเชือกพันไว้ตกสู่ก้นบ่อใหม่อีกครั้งดังตูม

ทั้งตัวเขากลับล้มลงข้างบ่อ น่าอเนจอนาถหาใดเปรียบ

ฮู่ว… ฮู่ว…

ทรวงอกเขากระเพื่อมไหวฮวบฮาบ ออกแรงยันตัวเองให้ลุกขึ้น ยามกำลังจะตักน้ำใหม่อีกครั้งก็ได้ยินเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น

“ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่เชื่องอีกแล้ว ครั้งนี้คิดเล่นลูกไม้อะไรอีก ฆ่าตัวตาย? หรือว่าอดอาหาร?”

ชายชราตัวแข็งทื่อ ไม่ได้หันกลับไป กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ทำไม เจ้าฉือฉางเหมยมาหัวเราะเยาะข้าอีกแล้วหรือ”

ฉือฉางเหมยยืนห่างออกไป แววตาเยียบเย็นราวกับดาบ “เจ้าเป็นแค่สวะที่เสียพลังปราณคนหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้หัวเราะเยาะ หากไม่ใช่ว่ายังมีคุณค่าอยู่บ้าง เจ้าคิดว่า… เจ้ายังรอดมาได้ถึงตอนนี้หรือ”

ชายชราเงียบไป ไม่เอ่ยวาจา กำเชือกเตรียมตักน้ำต่อ

ฉือฉางเหมยกล่าว “เจ้าฉลาดมาก เกรงว่าคงเดาได้แล้ว ช่วงนี้น้ำแร่ในบ่อนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มีไอวิญญาณอันอุดมเพิ่มขึ้นมา หากดื่มตลอดไม่เพียงแต่ยืดเวลาต่ออายุให้เจ้า ยังชะล้างปราณสกปรกบนตัวลูกสาวสุดที่รักคนนั้นของเจ้าได้อีก ไม่แน่ว่า… ยังสามารถช่วยนางหลอมรากฐานในการฝึกปราณได้ด้วย”

ชายชรามือสั่น คล้ายตระหนักถึงอะไรได้ กล่าวว่า “ครั้งนี้เจ้ามาด้วยคิดจะทำอะไรกันแน่”

ฉือฉางเหมยสีหน้าเรียบเฉย “ลูกสาวของเจ้าห้าขวบแล้ว ข้าคิดจะพานางไป ช่วยนางชำระล้างแกนจิตและสิ่งปฏิกูลทั้งตัว จากนั้นก็สอนนางฝึกปราณ ภายหน้ามีโอกาสค่อยกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ”

“เจ้ากล้า!” ชายชราหมุนตัว สีหน้าโกรธจัด เหี้ยมเกรียมคล้ำเขียว

ฉือฉางเหมยยิ้ม “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้ลูกสาวของเจ้ารู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็คือตัวการกำจัดอัครการค้า ทำลายอนาคตทั้งชีวิตของบิดานาง ภายหน้านาง… ต้องมีชีวิตที่ดีมากแน่นอน”

บนโลกนี้เรื่องโหดร้ายที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่าการยอมรับโจรเป็นพ่อ นับถือศัตรูเป็นอาจารย์!

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ชายชราราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาคั่งโลหิต พุ่งตัวเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านข้างทันที

“ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่ยอมให้เจ้าพาหลินหลางไป!”

เขาแผดเสียงคำรามราวกับคลุ้มคลั่ง

ปึง!

ฉือฉางเหมยเตะเขาจนร่วงคะมำไปอยู่ด้านข้าง เดินตรงเข้าไปในห้อง เมื่อก้าวออกมาจากห้องก็อุ้มเด็กหญิงวัยห้าหกขวบที่เหมือนหลับสนิทคนหนึ่งไว้ในอ้อมกอดแล้ว

แม้ว่าเสื้อผ้ามอมแมม แต่ยังคงมองออกว่าเด็กหญิงคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวดุจหิมะ สวยน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

“สือหลินหลาง… อืม วันหน้านางก็แซ่ฉือแล้ว” ฉือฉางเหมยพูดพลางเดินออกไปนอกเรือน

ใจของชายชราราวถูกมีดเฉือน ตะเกียกตะกายกล่าวด้วยเสียงร่ำไห้คร่ำครวญ “ฉือฉางเหมย เจ้ามีอะไรให้มาลงที่ข้า มาลงที่ข้าสิ…”

ฉือฉางเหมยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้ายังมีคุณค่า ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเวลาที่ได้ใช้เจ้า”

พูดจบนางก็อุ้มเด็กหญิงเดินออกไปนอกเรือน

เบื้องหลังชายชราโทสะจู่โจมจิตใจ โกรธจนดวงตาแทบถลนตะเบ็งเสียงลั่น “ฉือฉางเหมย ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ข้าจะกำจัดตระกูลฉือของเจ้าให้สิ้นซาก!”

“งั้นรึ”

ฉือฉางเหมยเผยรอยยิ้มหยันอย่างดูถูก ไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง

แต่เมื่อนางเปิดประตูรั้วออกก็กลับอึ้งงันอยู่ตรงนั้น

นอกประตูรั้ว ไม่รู้ว่ามีเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งยืนอยู่โดยไร้สุ้มเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่เมื่อเห็นรูปร่างของเงาร่างสายนี้ ฉือฉางเหมยอึ้งไปเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ฝ่ามือนางบีบคอเด็กหญิงในอ้อมกอดทันที แทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณยามเผชิญหน้ากับอันตรายสุดขีด

จากนั้นนางถึงจ้องมองเงาร่างนั้นด้วยแววตาตื่นตระหนก “เจ้า… ทำไมถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”

จากครั้งก่อน คนผู้นี้หายไปเกือบห้าสิบปีแล้ว!

ดูเหมือนไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนาน แต่โลกชั้นล่างนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนพัฒนาอย่างรวดเร็วไปแล้ว ทำให้นางเชื่อมั่นว่าคนผู้นั้นน่าจะไม่มีทางปรากฏตัวบนโลกอีก

แต่กลับไม่เคยคิดว่าจะเจออีกฝ่ายในเวลานี้!

คนที่ยืนอยู่นอกประตูใหญ่ แน่นอนว่าคือหลินสวิน

หลินสวินกล่าวด้วยแววตาเฉยชา “หากข้าไม่กลับมา มีหรือจะรู้ว่าตระกูลฉือที่อ้อนวอนขอข้าให้อภัยเหมือนหมาตายในปีนั้น ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นหมาชั่วที่ใช้วิธีต่ำทรามตัวหนึ่งแล้ว”

สีหน้าฉือฉางเหมยเผยแววคับแค้นอับอาย จากนั้นก็กล่าวเสียงเย็นเยียบ “หลินสวิน โลกชั้นล่างนี้เปลี่ยนไปนานแล้ว บางทีเจ้าในตอนนั้นอาจครองอำนาจทั่วหล้า ไม่มีใครเทียบได้ แต่ตอนนี้ผู้คนบนโลกยังมีใครเห็นเจ้าอยู่ในสายตาอีก”

นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวเหมือนมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าขอเตือนเจ้าให้ใจเย็นลงหน่อยจะดีที่สุด ตอนนี้ตระกูลฉือของข้าเป็นขุมอำนาจหนึ่งที่มีความสำคัญต่อแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว หากล่วงเกินพวกเราต้องมีภัยร้ายมาเยือนแน่!”

หลินสวินเหลือบมองนางพลางกล่าว “เดิมข้าคิดว่าหลังจากปล่อยพวกเจ้าตระกูลฉือไปในปีนั้น ต่อให้พวกเจ้าไม่ยอมกลับเนื้อกลับตัว แต่ก็น่าจะรู้ชัดว่าเรื่องอะไรควรทำ เรื่องอะไรไม่ควรทำ น่าเสียดาย การแสดงออกของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก”

เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

“เจ้าคิดจะทำอะไร เชื่อไหมว่าข้าจะบีบคอเด็กผู้หญิงคนนี้ซะ นางเป็นถึงบุตรสาวของสืออวี่สหายรักของเจ้า!”

ฉือฉางเหมยออกที่แรงฝ่ามือ คล้ายขอแค่หลินสวินเคลื่อนไหวอีกก็จะบีบคอเด็กหญิงคนนั้นจนละเอียดโดยไม่ลังเล

เห็นเพียงหลินสวินยื่นมือออกมา

พลังที่มองไม่เห็นแผ่คลุม พันธนาการทั่วร่างฉือฉางเหมย นางหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน คราวนี้จึงพบว่าแม้แต่แรงจะยกนิ้วมือยังไม่มีแล้ว

จากนั้นเด็กหญิงที่ถูกนางโอบกอดในอ้อมแขนก็ตกสู่อ้อมกอดของหลินสวินอย่างมั่นคง

“หลินหลาง… ชื่อที่ดีเช่นนี้ทำไมถึงแซ่ฉือเล่า…”

หลินสวินถอนหายใจเบาๆ

“หลินสวิน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ปัจจุบันนครต้องห้ามนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าเหิมเกริมได้แล้ว!” ฉือฉางเหมยไม่อาจนิ่งสงบได้อย่างสิ้นเชิง หวีดร้องตะโกนลั่น

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือไร้รูปตบใส่ใบหน้างามเยียบเย็นของฉือฉางเหมยอย่างจัง ตบจนตัวนางหมุนวน ล้มลงกับพื้นดังตึง แก้มบวมเป่งหลั่งเลือด

นางผมเผ้าสยายยุ่ง ส่งเสียงร้องแหลม หมายจะดิ้นรนลุกขึ้นแต่กลับออกแรงไม่ได้สักนิด นี่ทำให้นางตื่นตระหนกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง

ต้องรู้ว่านางในตอนนี้มีพลังปราณระดับมหาอริยะแล้ว!

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวินกลับไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย ตัวเล็กจ้อยดั่งมดปลวก ถูกย่ำยีง่ายๆ!

กลับเห็นหลินสวินไม่สนใจนางอีก ย่างเท้าเดินไปหาชายชราร่างผอมกะหร่อง ผมเผ้าหนวดเครากระเซิงที่ห่างไกลคนนั้น

ชายชราทรุดลงบนพื้น จิตใจรวนเรราวกับได้รับแรงกระตุ้นครั้งใหญ่ ปากส่งเสียงครวญอย่างเจ็บปวด “หลินหลาง… หลินหลาง… พ่อผิดต่อเจ้า… ขอโทษนะ…”

เขาเหมือนเสียสติ ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นและหยาดน้ำตา

กระทั่งหลินสวินเดินมาก็ยังไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ในใจหลินสวินพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนถูกคนใช้ดาบแทงทะลุอย่างจังฉับพลัน

นี่คือคุณชายสามแห่งอัครการค้าที่บุคลิกองอาจในปีนั้นหรือ

ยังใช่สืออวี่ที่พูดคุยสนุกสนานกับตน ผ่าเผยองอาจคนนั้นหรือ

หลายปีนี้เขาผ่านความทรมานเช่นไรมากันแน่ ถึงได้เปลี่ยนเป็นน่าอนาถเกินทนเช่นนี้

หลินสวินเพียงรู้สึกจุกอก เขาสูดหายใจลึกกล่าวว่า “พี่สือ ข้าหลินสวิน… กลับมาแล้ว…”

น้ำเสียงเจือพลังแห่งมหามรรค ราวกับแสงสว่างที่เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ ประโยคเดียวขับไล่ความรู้สึกร้อนรน สิ้นหวัง คั่งแค้น คลุ้มคลั่งในใจของชายชราไปได้ ทำให้ความรู้สึกทั้งตัวเขานิ่งสงบลงช้าๆ

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองเงาร่างที่คุ้นเคยตรงหน้านั้นอย่างอึ้งงัน คล้ายว่ายากจะเชื่อ

ครู่ใหญ่เขาพลันกอดขาของหลินสวินแล้วปล่อยโฮออกมา

ร้องไห้อย่างคร่ำครวญ!

ราวกับนักโทษสิ้นหวังซึ่งโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งคว้าความหวังเสี้ยวหนึ่งไว้แน่น ระบายความเจ็บปวดในใจออกมาในเวลานี้

หลินสวินเริ่มคัดจมูกทันที

ลูกผู้ชายไม่เสียน้ำตาง่ายๆ หากไม่เจอเรื่องชอกช้ำใจจริงๆ

เขาคาดไม่ถึงว่าไม่เจอกันห้าสิบปี สืออวี่ที่งามสง่าในตอนนั้นกลับตกต่ำถึงขั้นนี้ แม้แต่ขอทานยังเทียบไม่ได้!

“หลินสวิน เป็นเจ้าจริงๆ… เป็นเจ้าจริงๆ…”

เนิ่นนานสืออวี่จึงใจเย็นลงไม่น้อย ริมฝีปากสั่นระริก ยิ้มยิงฟันขึ้นมา ในแววตาที่มืดมนนั้นแฝงความยินดีจากใจ

โดยเฉพาะเมื่อเห็นเด็กหญิงที่หลินสวินโอบกอดในอ้อมแขน ทั้งตัวเขาล้วนตื่นเต้นขึ้นมา “ฮ่าๆๆ หลินหลางก็อยู่ หลินหลางก็อยู่ด้วย!”

“อยู่ ภายหน้าก็จะอยู่ไปตลอด”

หลินสวินกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น ประคองสืออวี่ขึ้นมาจากพื้น ปัดดินโคลนบนตัวเขา “ยังมีเจ้าด้วย พลังปราณถูกกำจัดก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยเจ้าสร้างมรรคาขึ้นใหม่ ยังมีความทรมานและเจ็บปวดที่เจ้าได้รับช่วงหลายปีนี้ด้วย ข้าจะช่วยเจ้าเอาคืนทั้งหมดอย่างเช่นกัน…”

เสียงของเขาอ่อนโยนเจือพลังแห่งมหามรรค แทรกซึมจิตใจของสืออวี่ ปลอบประโลมจิตวิญญาณที่ทรมานของเขา

กระทั่งต่อมาแววตาของสืออวี่กลับมาใสกระจ่าง สติฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์

เขาโผกอดหลินสวินแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ข้าแค่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว ต่อให้ข้าตายไปลูกสาวของข้าหลินหลางก็จะไม่ไร้ที่พึ่งพิงอีก”

ประโยคเดียวทำให้หลินสวินปวดใจอยู่รางๆ เขาตบหลังสืออวี่พลางกล่าว “วางใจเถอะ หลินหลางกับเจ้าจะอยู่ด้วยกันไปตลอด”

“น่าขัน หากให้ขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณในนครต้องห้ามพวกนั้นรู้ว่าเจ้าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ เจ้าลองเดาสิว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

ฉือฉางเหมยที่ถูกพันธนาการกับพื้นยิ้มเหี้ยมเอ่ยปากแต่ไกล “ฟังคำเตือนข้าสักประโยค หากเจ้าปล่อยข้าไปตอนนี้ ข้าสามารถตัดสินใจปล่อยเจ้ากับพวกสืออวี่พ่อลูกให้จากไปพร้อมกันได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเจ้าสังหารข้า ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปอีก!”

สืออวี่เดือดจัดขึ้นมาทันที เพิ่งหมายจะพูดอะไร

หลินสวินก็กล่าวว่า “เจ้าไปอาบน้ำก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดแล้วกินโอสถวิญญาณในขวด ผู้หญิงคนนี้… หนีไม่รอดแล้ว”

วาจาเรื่อยเฉื่อย แต่ความหมายที่เผยออกมาในคำพูดกลับทำให้ฉือฉางเหมยมือเท้าเย็นเยียบ ขนพองสยองเกล้า สภาวะจิตแทบจะพังทลาย

แต่หลินสวินก็ไม่สนใจนางสักนิด ยื่นเสื้อผ้าและลูกกลอนโอสถบางส่วนให้สืออวี่แล้วกล่าวกำชับอย่างละเอียด

“เจ้าถูกทำลายปราณ อาการบาดเจ็บภายในร่างสั่งสม ลูกกลอนโอสถนี้เจ้านำไปแช่น้ำ อย่าดื่มในครั้งเดียว รอร่างกายฟื้นฟูดีแล้วข้าค่อยสร้างฐานมรรคให้เจ้าใหม่…”

ในใจสืออวี่ปั่นป่วน รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เบ้าตารื้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

…………………..