หนึ่งถ้วยชาผ่านไป

สืออวี่ที่อาบน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนเสื้อใหม่ แม้ว่ายังร่างผอมกะหร่อง ใบหน้าแก่ชรา แต่แววตากลับเป็นประกายขึ้นมา ราศีจับเปล่งประกายไปทั้งตัว

เขาใช้น้ำละลายลูกกลอนโอสถเม็ดหนึ่งแล้วจิบทีละอึกตามคำกำชับของหลินสวิน กระทั่งรู้สึกว่าร่างกายเร่าร้อนจนทนไม่ไหวจึงหยุดดื่มน้ำ หลับตานั่งสมาธิทันที

หลินสวินยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวางบนบ่าของเขา ช่วยเขาชะล้างแกนจิต รักษาอาการบาดเจ็บสะสมภายในร่าง

พลังมหามรรคน่าอัศจรรย์แล่นปราดไปรอบตัวสืออวี่อย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำไหลเอื่อย

มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างกายของเขาเหมือนไม้แห้งได้ฝนชโลม เวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเค่อก็เปล่งพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่

แม้แต่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย

หลินสวินเก็บมือแล้วยิ้มพูด “ฟื้นฟูเช่นนี้ไม่เกินสามวันก็สร้างจุดตันเถียน ก่อฐานมรรคขึ้นใหม่ได้”

สืออวี่ลืมตา แววตาเจือความคาดหวัง “สามารถก้าวสู่มรรคาได้ใหม่อีกครั้งจริงหรือ”

พลังปราณถูกกำจัด สำหรับผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามย่อมถือเป็นโรคร้ายแรง สามารถทำให้พวกเขาพังทลาย ความหวังมากมายแหลกสลาย

อย่าว่าแต่อริยะ ต่อให้กึ่งจักรพรรดิก็จนปัญญา

แต่สำหรับหลินสวินที่ครอบครองพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นสี่ในตอนนี้ การสร้างมรรควิถีใหม่ให้สืออวี่ก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ

“ได้แน่นอน” หลินสวินยิ้มกล่าว

เมื่อฉือฉางเหมยที่ทรุดตัวอยู่ห่างไกลมาตลอดได้ยินคำตอบของหลินสวินก็อดอึ้งงันไม่ได้

สร้างมรรคาขึ้นใหม่?

นี่เหมือนการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตชัดๆ เขาหลินสวินเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้ารับรองเป็นมั่นเหมาะเช่นนี้

หลังจากนั้นหลินสวินถามสืออวี่ถึงเรื่องที่พบเจอช่วงหลายปีนี้

สืออวี่ก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าออกมาทั้งหมด

หลายปีก่อนขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณเข้ามาในนครต้องห้าม แทบจะกลืนขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลพวกนั้นไปหมด

อัครการค้าก็ไม่อาจรอดพ้น

สือไฉเสินบิดาของสืออวี่ รวมถึงพี่ชายของเขาสองคนล้วนถูกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณฆ่าตาย รากฐานที่กว้างใหญ่ของอัครการค้าก็ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณบุกรุกยึดครอง

แม้ว่าสืออวี่จะโชคดีรอดมาได้ แต่พลังปราณทั้งตัวกลับถูกกำจัดไปหมด สาเหตุที่เขารอดชีวิต ความจริงแล้วเกี่ยวข้องกับหลินสวิน

เหตุผลก็คือแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้ว่าตอนเด็กสืออวี่กับหลินสวินเป็นสหายรักที่ผ่านความลำบากร่วมกันมา ดังนั้นจึงคิดเก็บสืออวี่ไว้เป็นตัวประกัน

หากหลินสวินปรากฏตัวก็จะใช้สืออวี่มาบีบบังคับหลินสวิน!

เรื่องนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยกให้ตระกูลฉือที่สวามิภักดิ์ยอมเป็นบริวารจัดการ

หลายปีมานี้สืออวี่กับภรรยาของเขาถูกขังอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่เมื่อหกปีก่อน ภรรยาของเขาต้องสิ้นชีพด้วยคลอดบุตร เหลือเพียงสืออวี่กับสือหลินหลางบุตรสาวที่ยังแบเบาะ

หกปีมานี้เพื่อเลี้ยงดูสือหลินหลางให้อยู่รอด สืออวี่จำต้องโอนอ่อนผ่อนตาม อ้อนวอนฉือฉางเหมยทุกวิถีทาง ร้องขอแค่ของบางอย่างให้บุตรสาวอยู่รอดต่อไปได้

เมื่อฟังจบในใจหลินสวินม้วนซัดอีกครั้ง นัยน์ตาดำเยียบเย็นจนน่ากลัว

“หลินสวิน เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม หากไม่ได้ข้าฉือฉางเหมย ลูกสาวของสืออวี่คงหิวตายไปนานแล้ว! ไม่มีทางรอดมาได้แต่แรก!”

ฉือฉางเหมยตะโกนแต่ไกล

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือไร้รูปตบใส่หน้าของนาง ตบจนนางเลือดกบปาก ผมเผ้าสยายยุ่งขดตัวอยู่บนพื้น สั่นไปทั้งตัว ไม่กล้าพูดมากอีก

สืออวี่กล่าวเดือดดาล “หากไม่ใช่ว่าข้าใช้ความตายมาข่มขู่ หญิงชั่วร้ายอย่างเจ้ามีหรือจะหวังดีเช่นนั้น แต่ถ้าข้ารอดจึงจะมีคุณค่าต่อพวกเจ้า ให้พวกเจ้านำมาข่มขู่หลินสวินได้!”

เขาผุดลุกขึ้น คล้ายอยากจะฆ่าฉือฉางเหมยเสียตอนนี้

หลินสวินห้ามเขาไว้แล้วกล่าวราบเรียบ “ถ้าฆ่านางไปเช่นนี้จะไม่ง่ายกับนางเกินไปหรือ รอเมื่อบดขยี้ตระกูลฉือแล้วค่อยให้นางเห็นกับตา ให้นางเข้าใจสักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่าความเจ็บปวดและทรมาน”

สืออวี่สูดหายใจลึก พยักหน้ารับคำ

ฉือฉางเหมยกลับไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ต่อให้สถานการณ์ย่ำแย่ก็ยังยิ้มหยันไม่หยุด ในนครต้องห้ามตอนนี้ เมื่อเขาหลินสวินปรากฏตัวก็เท่ากับรนหาที่ตายแน่นอน!

ไม่นานหลินสวินถามถึงเรื่องตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต แต่สืออวี่ก็ส่ายหัวแสดงออกว่าไม่รู้เช่นเดียวกัน

เรื่องนี้เหมือนปริศนาใหญ่อย่างหนึ่ง อย่าว่าแต่คนทั่วไปในปัจจุบัน ต่อให้เป็นขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณที่อยากจะล้างบางตระกูลของหลินสวินพวกนั้นก็เสาะหาเบาะแสมาตลอด

‘นี่นับว่าเป็นข่าวที่ไม่ถือว่าแย่จนเกินไป…’

หลินสวินทอดถอนใจ

หลังจากนั้นหลินสวินถามถึงเรื่องของสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำ

สืออวี่กล่าวอย่างมั่นใจหาใดเปรียบ “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเจตนาของขุมอำนาจใหญ่แห่งดินแดนรกร้างโบราณ เป้าหมายก็คือกำจัดขุมอำนาจที่เกี่ยวข้องกับเจ้า จับตัวคนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้ามา ใช้พวกเขาเป็นตัวประกัน”

“หากเจ้าไม่ปรากฏตัวก็ช่างเถิด แต่ขอแค่ปรากฏตัว พวกเขาก็จะใช้ตัวประกันพวกนี้มาข่มขู่!”

แม้ว่าหลินสวินจะคาดเดาเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบของสืออวี่ ในใจก็ยังคงบันดาลโทสะอย่างอดไม่ได้

‘ยังดีที่ตอนอยู่ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกไม่ได้เปิดเผยฐานะ ไม่อย่างนั้นหากให้ขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นรู้เข้า เกรงว่าคงจับสืออวี่และตัวประกันคนอื่นมาเป็นหมากในมือของพวกเขาทันที…’

หลินสวินแอบกล่าวอยู่ในใจ

“ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดของสำนักศึกษามฤคมรกต ปรมาจารย์อวี๋เป่ยโต้วและปรมาจารย์ฉู่เฟิงแห่งภาคีนักสลักวิญญาณ รวมถึงพวกกู่เยี่ยนผิงกับกู่เหลียงแห่งโถงทองคำล้วนยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่พวกเขาก็เหมือนกับข้า ตกเป็นตัวประกันนานแล้ว”

สืออวี่พูดถึงตรงนี้แล้วมองฉือฉางเหมยด้วยนัยน์ตาโกรธแค้น “ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฉือ ตระกูลฮวา ตระกูลฉีอย่างแยกไม่ออก พวกเขายอมสวามิภักดิ์อยู่ใต้อาณัติขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณต่างๆ ยินดีเป็นสุนัข!”

“สุนัขพวกนี้คอยเอาอกเอาใจเจ้าของ ทุ่มเทแรงใจวางแผนให้เจ้านายของพวกเขา ช่วงหลายปีก่อนแทบจะจับขุมอำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลินของพวกเจ้าได้ทั้งหมด!”

ตระกูลฮวาและตระกูลฉีล้วนเหมือนกับตระกูลฉือ ก่อนที่ไอวิญญาณจะฟื้นคืนกลับมาก็จัดอยู่ในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแห่งจักรวรรดิเช่นกัน

เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกว่าใกล้จะควบคุมเพลิงโทสะทั้งตัวไม่อยู่

ในจุดที่ห่างออกไปฉือฉางเหมยอดเอ่ยปากอธิบายไม่ได้ “พวกเรา… พวกเราก็แค่ทำเพื่อมีชีวิตรอด ขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นน่ากลัวระดับใด หากไม่ยอมจำนนจะต้องถูกล้างตระกูลแน่ ใครตามพวกเขาอยู่ ใครขวางพวกเขาตาย!”

“ผายลม!” สืออวี่หลุดปากด่ายกใหญ่ “เช่นนั้นต่อให้ยอมจำนน พวกเจ้าแค่รักษาตัวรอดก็ได้ ไม่ใช่ยอมเป็นเขี้ยวเล็บช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ไปโจมตีและล้างแค้นขุมอำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิน!”

ฉือฉางเหมยยิ้มหยันอย่างดูถูก คล้ายคร้านจะโต้เถียง

นี่ทำให้สืออวี่แค้นนัก จวบจนตอนนี้ฉือฉางเหมยยังคงวางท่าว่ามีที่พึ่งพิง ถึงตายก็ไม่เปลี่ยน เห็นชัดว่าคิดว่าแค่หลินสวินคนเดียว ย่อมไม่มีทางพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ของนครต้องห้ามได้แน่

หลินสวินโบกมือ ส่งสัญญาณว่าสืออวี่อย่าเพิ่งรีบร้อน จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ตัวประกันพวกนั้นล้วนถูกตระกูลฮวา ตระกูลฉี ตระกูลฉือคุมตัวอยู่หรือ”

สืออวี่พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

“ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ติดร่างแหเพราะข้าหลินสวิน ไม่อาจให้พวกเขาถูกคุกคามชีวิตได้อีกแล้ว…”

แววตาหลินสวินลุ่มลึก เยียบเย็นน่าพรั่นพรึง

หลังจากเข้ามาในนครต้องห้าม สิ่งที่พบเจออย่างต่อเนื่องทำให้สภาวะจิตของเขาเกิดไอสังหารอย่างควบคุมไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

มาถึงตอนนี้เพลิงโทสะที่สะสมในใจมีท่าทีว่าจะระเบิดแล้ว

ก๊อกๆๆ

มีคนเคาะประตูรั้วทันใด

“คุณหนู ควรจากไปได้แล้ว” เสียงของชายชราชุดดำที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติให้ฉือฉางเหมยดังขึ้นนอกลานเรือน

ฉือฉางเหมยเผยสีหน้าคาดหวัง ส่งเสียงร้องแหลมทันที “หนีเร็ว!”

เพียงสองคำกลับคล้ายผลาญแรงของนางทั้งหมด นางหอบหายใจกระชั้นถี่พักหนึ่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นสายตาก็มองมาทางหลินสวิน บนสีหน้าเจือความลำพองใจ “หลินสวิน ตอนนี้เจ้าพาพ่อลูกสืออวี่ไปด้วยกัน ยังมีโอกาสออกจากนครต้องห้าม ไม่อย่างนั้น…”

เสียงพลันหยุดชะงักลง

ประตูรั้วเปิดออกแล้ว นอกประตูกลับมีร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งไร้สุ้มเสียง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่านหายลับไป

หัวใจฉือฉางเหมยราวกับถูกบีบอย่างหนักหน่วง ตกใจจนตัวแข็งทื่อ ใบหน้างามซีดเผือด ด้วยนั่นก็คือชายชราชุดดำคนนั้น!

“เจ้าเคยรู้เรื่องที่ข้าทำในดินแดนรกร้างโบราณเมื่อปีนั้นหรือไม่” หลินสวินถาม

ฉือฉางเหมยอึ้งไป ส่ายหัวอย่างงุนงง

หลินสวินคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างพลางกล่าวกับตัวเอง “ไม่แปลกที่จะโง่เขลาเช่นนี้ ที่แท้ก็ไม่รู้อะไรเลย…”

คิดดูแล้วก็ใช่ ทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณที่เคยผูกแค้นกับตน เคยถูกตนโจมตีอย่างหนักไม่หยุดพวกนั้น มีหรือจะบอกเรื่องน่าอายหาใดเปรียบเช่นนี้กับฉือฉางเหมย

ส่วนฉือฉางเหมยที่อาศัยอยู่ในโลกชั้นล่างมาตลอดก็ย่อมไม่มีทางรู้แน่ อย่าว่าแต่ดินแดนรกร้างโบราณ ต่อให้อยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา พวกที่กล้าล่วงเกินหลินสวินก็มีจำนวนแค่นับนิ้วได้!

โลกทัศน์จำกัดความเข้าใจของคนผู้หนึ่ง

สิ่งมีชีวิตในโลกชั้นล่างนี้ หากยังใช้สายตาในอดีตมามองเขาหลินสวิน เช่นนั้นก็ย่อมคิดผิดมหันต์!

“อาหู เจ้าคางคก อาหลู่…”

หลินสวินปล่อยพวกอาหูออกมาจากเจดีย์ไร้สิ้นสุด เล่าเรื่องบางส่วนของสืออวี่ให้พวกเขาฟังอย่างเรียบง่ายแล้วกล่าวกำชับ “พวกเจ้าคอยคุ้มครองสืออวี่อยู่ที่นี่ ข้าไปครู่หนึ่งแล้วจะกลับมา”

พวกอาหูต่างพยักหน้า ล้วนมองออกว่าความรู้สึกของหลินสวินในตอนนี้ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง หรือพูดได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการก็คือหาที่ระบาย!

มีเพียงสืออวี่ที่มึนงง “เจ้าจะทำอะไร”

“ช่วยคน จากนั้นค่อยฆ่าคน”

หลินสวินกล่าวทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ ก่อนพาฉือฉางเหมยที่ตกอยู่ในความหวาดผวาหายไปจากลานเรือนแห่งนี้

สืออวี่ร้อนรนอย่างอดไม่ได้ “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ห้ามเขา นครต้องห้ามในตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นนานแล้ว…”

แต่ต่อให้เขาพูดจนปากแห้ง กลับเห็นพวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่ยืนอยู่ตรงนั้น นิ่งไม่ขยับ บนสีหน้ายังเจือแววพิกล

“พวกเจ้ามัวทำอะไรกัน” สืออวี่กล่าวขุ่นเคือง

“พี่ชาย เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้พี่ใหญ่ของข้ามีพลังปราณระดับใด” เจ้าคางคกอดกล่าวเตือนไม่ได้

สืออวี่ส่ายหัว เขาแค่รู้ว่านครต้องห้ามในตอนนี้ถูกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณยึดครอง เมื่อหลินสวินถูกพบตัว ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงมากแน่

“ตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าสังหารระดับจักรพรรดิเหมือนเชือดไก่” อาหลู่พูดตรงๆ ไม่อาจทนเห็นสืออวี่ร้อนรนเช่นนี้อีก

สังหารระดับจักรพรรดิ?

สืออวี่ตกตะลึง

“ฝ่ามือหนึ่งของนายท่าน สามารถบี้พวกหน้าโง่นั้นจนตายได้เหมือนมดปลวก” เสี่ยวอิ๋นสองแขนกอดอก เอ่ยปากเนิบช้า

สืออวี่ตกตะลึงอีกครั้ง

นี่มันเรื่องอะไรกัน!?

สำหรับเขาคำพูดพวกนี้เหมือนเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ถึงขั้นล้มล้างความเข้าใจของเขา

หลังจากนั้นเสี่ยวเทียนกับเจ้านกดำก็ทยอยเอ่ยปาก

“นายท่านเคยฆ่าฟันเหนือทางเดินโบราณฟ้าดารา ฉายาจักรพรรดิเต้ายวน เป็นตำนานที่บรรลุมกุฎจักรพรรดิคนแรกในรอบแสนปี พวกที่ควรกังวลว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยคือศัตรูพวกนั้นต่างหาก”

“หึๆๆ ข้าขอพูดตามตรง ในโลกชั้นล่างนี้ใครแตะต้องหลินสวินได้แม้แต่ปลายเล็บ ข้าเต็มใจรับเขาเป็นหลานชาย ไม่สิ ยอมรับเขาเป็นปู่เลย!”

สืออวี่ “…”

กลายเป็นก้อนหินอย่างสมบูรณ์แล้ว

……………..