“จอมจักรพรรดิหลิน ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ รึ”
ชายที่ผมหนวดสีขาวหิมะ นัยน์ตากลับเป็นสีเขียวมรกตเอ่ยปาก
คำตอบของหลินสวินง่ายยิ่ง กล่าวเรียบๆ “ภายในสามลมหายใจ หากพวกเจ้ายังไม่จากไปอีก ก็ทิ้งศพไว้ที่นี่เถอะ”
“โอหัง!”
หญิงที่มีผมยาวสีดำแกมเขียวนางผู้หนึ่งกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ด่าทอว่า “พวกข้ามาที่นี่ ไม่ได้พุ่งเข้าเมืองไปสังหารตรงๆ ก็เป็นการไว้หน้าเจ้าจอมจักรพรรดิหลินแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เห็นพวกข้าอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน ไม่มองตัวเองว่าสูงส่งมากไปหน่อยหรือ”
หลินสวินชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง “ที่แท้เป็นจักรพรรดิขั้นเจ็ดคนหนึ่งนี่เอง มิน่าละถึงอารมณ์ร้ายกว่าระดับจักรพรรดิทั่วๆ ไป”
หญิงผมยาวสีดำแกมเขียวกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
สีหน้าของนางฉายแววเย่อหยิ่ง
แต่ครู่ถัดมาก็พบว่าหลินสวินพ่นคำหนึ่งออกมาจากริมฝีปากเบาๆ
“ไสหัวไป!”
สีหน้าของหญิงผมดำแกมเขียวเปลี่ยนไป เหมือนพบกับความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น พลานุภาพทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาทันใด
นางหมายจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปโบกแขนเสื้อรอบหนึ่ง
ตูม!
ภูผาธาราสั่นสะเทือน ฟ้าดินพลิกคว่ำ
ปราณกระบี่บาดตาหาใดเปรียบสายหนึ่งฟันใส่หญิงผมยาวดำแกมเขียวที่อยู่ไกลออกไปประหนึ่งธารสวรรค์ทำลายเขื่อน ในปราณกระบี่มีหุบเหวลอยอยู่
“ทะยาน!”
หญิงผมยาวดำแกมเขียวตอบสนองในฉับพลัน เรียกกระเช้าดอกไม้ที่สีสันแพรวพราวใบหนึ่งออกมา ในกระเช้าพ่นประกายเทพมากมายออกมา ควบรวมเป็นทะเลบุปผาที่งดงามไพศาลแถบหนึ่งกลางฟ้า ปกฟ้าคลุมดิน งามจนทำให้คนใจสั่น
นี่เป็นศาสตราจักรพรรดิที่ทรงพลังชิ้นหนึ่ง อัศจรรย์ยากหยั่งถึง หากถูกกลีบดอกนั้นสัมผัสเข้า สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างจะถูกกลืนกินหมดในพริบตา
ทันทีที่ลงมือก็เรียกสมบัติจักรพรรดิออกมา ใช้พลังทั้งหมดควบคุม เห็นได้ชัดว่าหญิงผมยาวดำแกมเขียวคนนี้ก็รู้ถึงผลงานการต่อสู้ของหลินสวิน และรู้ความน่ากลัวของเขา
น่าเสียดายที่นางพลาดไป
ในแดนหมื่นมรรคนี้ แม้พลังของทั้งคู่จะถูกกดไว้ที่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งเหมือนกัน แต่ในระดับเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้
ต่อให้ร่างหลินสวินที่เคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้เป็นเพียงกายมรรคทองขาวก็ตาม
ก็เห็น…
ตูม!
ปราณกระบี่ฟาดฟัน ทะเลบุปผาเพริศพรายที่ปกคลุมฟ้าดินถูกปราณกระบี่ไพศาลกรีดเปิดในชั่วพริบตา กระเช้าดอกไม้ที่ระยิบระยับนั่นก็ถูกฟันระเบิดท่ามกลางเสียงครวญรุนแรง
หญิงผมยาวดำแกมเขียวหวาดหวั่นโดยพลัน หนังหัวชาหนึบ คิดจะหนีก็ไม่ทันการแล้ว จึงทำได้เพียงเดิมพันทุกสิ่ง พยายามต้านทานสุดชีวิต
ทว่าภายใต้ปราณกระบี่ที่น่าครั่นคร้ามนั้น นางในยามนี้ก็ประหนึ่งมดเขย่าต้นไม้ พริบตาเดียวก็ถูกปราณกระบี่กลมท่วมมิดร่าง
“ไม่…” เสียงหวีดร้องน่าสังเวชหาใดเปรียบดังก้องขึ้น ร่างของหญิงผมยาวดำแกมเขียวก็แปรสภาพเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน
หนึ่งกระบี่ ฟันจักรพรรดิ!
เร็วจนคาดไม่ถึง ทำให้ระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ ถึงขั้นช่วยไว้ไม่ทัน
“เป็นไปได้อย่างไร…”
พวกเขาสั่นสะท้าน นัยน์ตาหดเกร็ง
หนึ่งกระบี่ก็สังหารพวกพ้องคนหนึ่งของพวกเขาได้ง่ายๆ นี่สั่นสะเทือนพวกเขาอย่างมหาศาล
ส่วนบรรดาผู้ฝึกปราณที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ต่างอ้าปากค้าง สีหน้าเหลอหลาอยู่ตรงนั้น
“ไป!”
แม้สีหน้าของจักรพรรดิเก้าคนนั้นจะไม่น่าดู แต่ก็ยังตระหนักได้ถึงอันตราย จึงไม่กล้าลังเล หมายจะถอยทัพทันที
ก่อนพวกเขาจะมาที่นี่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ใคร่ครวญอย่างรอบคอบมาแล้ว คิดว่าอาศัยการร่วมมือกันของทั้งสิบคน ย่อมสามารถกดดันหลินสวินได้
ถึงอย่างไรในแดนหมื่นมรรคนี้ ปราณของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกกดไว้ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง แม้ว่าพลังต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายจะต่างกัน แต่ก็ยังสามารถอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนคนไปชดเชยได้
แต่ใครจะคิดว่ายามเผชิญหน้ากับหลินสวินจริงๆ ได้เห็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของหลินสวินกับตาตัวเอง พวกเขาถึงเพิ่งตระหนักเอาตอนนี้ ว่าสิ่งที่เรียกว่าแผนการและการเตรียมตัวของพวกเขาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่าขัน
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล้วนไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ
แต่ก็เป็นตอนนี้ที่เสียงราบเรียบดุจสายน้ำนั้นของหลินสวินดังขึ้น “เวลาสามชั่วลมหายใจผ่านไปแล้ว…”
พริบตานั้นสีหน้าระดับจักรพรรดิเก้าคนก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
มีคนคำรามขึ้นตามจิตใต้สำนึก “จอมจักรพรรดิหลิน เจ้าอย่ารังแกกันเกินไป พวกข้า…”
พรูด!
ยังไม่ทั้งสิ้นเสียงก็ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งทะลวงหว่างคิ้ว พลังจิตแหลกเป็นจุณ ร่างกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวหายไปกลางอากาศ
“รีบไป!”
มีหรือคนอื่นๆ จะยังกล้าชักช้าอีก โคจรปราณทั่วร่างอย่างบ้าคลั่งสุดชีวิต เผ่นหนีไปคนละทิศทาง
“ไป!”
“ไป!”
“ไป!”
…ก็เห็นหลินสวินโบกแขนเสื้อ วาดนิ้วติดต่อกัน ปราณกระบี่พร่างพราวเป็นสายๆ กรีดทำลายเวิ้งฟ้าออกไป
ชั่วครู่หนึ่ง ในทิศทางที่ต่างกันเกิดเสียงร้องน่าอนาถดังขึ้นติดต่อกันระลอกหนึ่ง ระดับจักรพรรดิคนแล้วคนเล่าประหนึ่งวัชพืช ถูกปราณกระบี่ของหลินสวินกวาดซัด ตายคาที่
ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน
ไม่ว่าจะต้านทานอย่างไร
ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนึ่งกระบี่นี้ทั้งสิ้น!
เพียงพริบตาระดับจักรพรรดิที่หนีตายเหล่านั้นล้วนถูกสังหารสิ้น ร่างและจิตดับสลาย ไร้ซึ่งคนรอดชีวิต
และตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดูผ่อนคลายยิ่งยวด!
“น่าเบื่อ” หลินสวินทิ้งสองคำนี้ไว้แล้วหมุนร่างกลับเข้าเมือง ชุดขาวทั้งตัวสร้างความตกตะลึงไปให้ทั้งนครต้องห้าม
หลังจากศึกนี้ปิดม่านลง ข่าวก็สะพัดไปทั่วหล้าทันที ทำเอาสิ่งมีชีวิตมากมายของโลกชั้นล่างต่างสั่นสะท้าน โหมกระพือคลื่นความโกลาหล
แค่ชั่วดีดนิ้วก็สังหารสิบจักรพรรดิต่อเนื่อง!
เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ อิทธิพลที่พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารครอบครองทั้งหมด ก็ประหนึ่งพบการโจมตีที่ดับทำลายย่อยยับ ถึงขั้นอาจพังทลายได้
ถึงอย่างไรระดับจักรพรรดิสิบคน เมื่ออยู่ในโลกชั้นล่างนี้ก็เปรียบได้กับบุคคลที่อยู่สูงที่สุด ทว่ายามนี้กลับถูกล้างบางในคราวเดียว บาดแผลเช่นนี้หาใช่เวลาจะช่วยเยียวยาได้
และเพราะศึกนี้ หลินสวินได้พิสูจน์ความเกรียงไกรไร้ศัตรูของตนให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทั่วหล้าอีกครั้ง บารมีของจอมจักรพรรดิหลินก็ทะยานไปถึงจุดที่ถูกสรรเสริญไปทั่วหล้าอย่างเป็นประวัติการณ์
และในเวลาเดียวกันนี้ สำนักยุทธ์ก่อเกิดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่นาน แม้จะยังไม่เคยสำแดงบารมีอย่างเป็นรูปธรรม แต่พราะมีหลินสวินควบคุมดูแล จึงกลายเป็น ‘สำนักอันดับหนึ่ง’ ของนครต้องห้าม และของทั้งโลกชั้นล่าง!
เมื่อได้รู้ข่าวพวกนี้ พวกหลินจงทั้งดีใจและกังวลผสมกัน
เรื่องที่ดีใจก็คือมีหลินสวินดูแลอยู่ ในโลกชั้นล่างนี้ อิทธิพลที่ผงาดขึ้นของสำนักยุทธ์ก่อเกิดคงไม่มีใครยับยั้งได้อีก
เรื่องที่กังวลก็คือ สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว หลินสวินต้องจากไป ไม่อาจคอยดูแลอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปเช่นกัน
นี่ก็หมายความว่า ก่อนที่หลินสวินจะจากไป สำนักยุทธ์ก่อเกิดต้องยกระดับความสามารถของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
สำหรับเรื่องนี้ หลินสวินไม่ได้พูดอะไรมาก มีแรงกดดันจึงจะทำให้สำนักยุทธ์ก่อเกิดเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่หยุดยั้ง
เหมือนกับโลกชั้นล่างขณะนี้ นอกจากนครต้องห้าม ในอาณาเขตอื่นๆ อีกมากมายก็มีขุมอำนาจที่กำลังแผ่อิทธิพลและครอบครองอาณาเขตอยู่
ถึงขั้นอาณาเขตเกินครึ่งล้วนถูกขุมอำนาจสัตว์อสูรมาแต่ละชนิดทั้งใหญ่น้อยยึดครอง
หลินสวินไม่ได้สนใจไปกวาดล้างใต้หล้า แต่ตัดสินใจฝากภัยคุกคามและศัตรูที่แฝงตัวอยู่เหล่านี้ให้สำนักยุทธ์ก่อเกิดจัดการ
มีเพียงทำเช่นนี้ ถึงสามารถสำนักยุทธ์ก่อเกิดทั้งบนล่าง กลายเป็นสำนักหนึ่งเดียวที่ไม่อาจสั่นคลอนอย่างแท้จริงภายใต้การต่อสู้และเคี่ยวกรำ
หากมั่วแต่ถือโอบอุ้มอย่างเดียว จะกลายเป็นการทำร้ายสำนักยุทธ์ก่อเกิดเสียด้วยซ้ำ
ก็เหมือนกับดินแดนรกร้างโบราณ หรือที่โ,กใหญ่ต่างๆ ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่งล้วนส่งศิษย์ออกไป มุ่งหน้าไปเคี่ยวกรำและท่องโลกภายนอก เพื่อให้ลูกศิษย์พวกนี้เติบโตขึ้นอย่างแท้จริงในการต่อสู้!
หลินสวินหวังว่าสำนักยุทธ์ก่อเกิดในภายหน้าจะเป็นเช่นเดียวกัน ต่อให้ไม่มีเขาดูแล ก็ยังสามารถต้านทานและขจัดวิกฤตปัญหาได้ดังเดิม
ตั้งอยู่บนโลกตลอดกาล!
…
หนึ่งเดือนต่อมา
แดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรค
อาหู เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนทยอยตื่นจากการหยั่งรู้ และต้องออกจากแดนแรกกำเนิดที่มหัศจรรย์นี้ไป
แม้พวกเขาเพิ่งจะเหยียบย่างระดับจักรพรรดิ พอจะต้านทานแรงกดดันของพลังระเบียบได้ แต่การยืนหยัดหยั่งรู้มรรคตลอดหนึ่งเดือนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ในรังมารดาต้นกำเนิดยังมีแดนลับที่ยังไม่เคยสำรวจอีกมาก ถือโอกาสนี้ พวกเจ้าเข้าไปเคี่ยวกรำด้วยกันสักรอบแล้วกัน”
หลินสวินกำชับพวกเขา
รังมารดาต้นกำเนิดใหญ่โตเป็นที่สุด แดนลับเกือบทุกแห่งที่ยังไม่เคยถูกสำรวจต่างมีผลึกมรรคต้นกำเนิดอยู่
และตั้งแต่วันนั้น พวกอาหูก็จากไปด้วยกัน
ส่วนหลินสวินยังอยู่ที่แดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคต่อ นั่งสมาธิหยั่งรู้นัยเร้นลับแก่นแท้ของมหามรรค
สองเดือน
สามเดือน
…การหยั่งรู้เช่นนี้ยืดยาวออกไปถึงครึ่งปีเต็ม พลังระเบียบของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้ก็เปลี่ยนไปจนน่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ ด้วยมรรควิถีที่แข็งแกร่งของหลินสวินก็ยังกลืนไม่ลง
แต่หลินสวินไม่ได้จากไป เขายังคงต้านทานอยู่
วู้ม…
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ
เพลิงหงส์ระเบียบที่พร่างพราวแผ่ลอยง สร้างพลังระเบียบแปลกประหลาดไปต้านและขจัดแรงกดดันระเบียบของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค
ทันใดนั้นทั่วร่างหลินสวินก็ผ่อนคลายลงระลอกหนึ่ง
‘ได้ผลดังคาด แต่ด้วยมรรควิถีของข้า หมายจะคงพลังของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไว้ตลอด อย่างมากที่สุดก็คงยืนหยัดได้เพียงครึ่งเดือน…’
‘แต่ก็เพียงพอแล้ว รอถึงตอนที่ทนไม่ไหวจริงๆ ค่อยออกจากที่นี่ไปก่อน เมื่อพลังปราณฟื้นตัวค่อยเข้ามาหยั่งรู้ที่นี่ใหม่ก็ได้…’
ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่ หลินสวินก็เริ่มหยั่งรู้ต่อ
ในช่วงครึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาหยั่งถึงนัยเร้นลับของกฎเกณฑ์มหามรรคใหม่ได้สี่สิบแปดชนิด
หากรวมกับกฎเกณฑ์มหามรรคที่ครอบครองไว้ก่อนหน้านี้ มหามรรคที่เขาครอบครองในตอนนี้ก็มีถึงเจ็ดสิบเก้าชนิดแล้ว
กฎเกณฑ์มหามรรคทุกชนิดล้วนถูกเขาหลอมรวมเข้าไปในระดับจักรพรรดิทั้งหมด หยั่งถึงแก่นแท้ ไม่มีชนิดใดไม่สะท้อนกลิ่นอายแห่งแก่นแท้และดั้งเดิมที่สุดในมหามรรค
จนถึงตอนนี้แม้ว่าพลังปราณทั่วร่างของหลินสวินจะไม่เคยเกิดการเปลี่ยนสภาพอย่างแท้จริง แต่จำนวนมหามรรคที่ครอบครองซึ่งเพิ่มไม่หยุดนั้น สำหรับมรรคาของเขาในภายภาคหน้า จะต้องมีประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน
นี่ก็เหมือนกับการสสะสม ยามที่สั่งสมมรรควิถี ไม่ช้าก็เร็วก็ย่อมเบ่งบาน เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าอัศจรรย์ประหนึ่งผีเสื้อทลายรังไหม
ช่วงเวลาถัดมา ตอนที่หลินสวินยืนหยัดหยั่งรู้ต่อไม่ไหวก็จะออกจากแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค หลังจากพลังปราณฟื้นตัวแล้วถึงค่อยกลับเข้ามาหยั่งรู้มหามรรคต่อในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค
เกรงว่าเฒ่าประลองหมากเองก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าหลินสวินอาศัยเพลิงหงส์ระเบียบของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็สามารถหยั่งรู้ในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคได้ยาวนานขึ้น
ไม่ทันรู้ตัว ช่วงเวลาที่หลินสวินหยั่งรู้ในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคก็ผ่านไปสามปีแล้ว
ในโลกภายนอก นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิดจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามปีเช่นกัน
สามปี
ภายใต้สถานการณ์ที่ไอวิญญาณแพร่กระจายอย่างบ้าคลั่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โลกชั้นล่างในทุกอาณาเขตล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกดิน
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดก็คือ ในช่วงสามปีนี้ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะมีข่าวของ ‘การแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ’ แพร่ออกมา สั่นสะเทือนทั่วหล้า สร้างความฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่
ขณะเดียวกันบนโลกนี้ก็มีคนโดดเด่นปรากฏตัวออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ลานตาเป็นที่สุด แต่ละคนล้วนเหยียบย่างบนมรรคาอย่างห้าวหาญ เผยความสง่างามเหนือสามัญออกมา
แม้จะเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไป ในโลกที่ไอวิญญาณฟื้นคืนนี้ ต่างล้วนทะลวงระดับไม่หยุด!
——