สามปี สำนักยุทธ์ก่อเกิดจัดการทดสอบใหญ่เพื่อคัดเลือกศิษย์ไปแล้วสามครั้ง แต่ละครั้งล้วนดึงดูดความสนใจทั่วหล้า ถูกยกย่องว่าเป็นงานชุมนุมที่ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนหมื่นมรรค

ในการทดสอบของทุกปีล้วนมีหนุ่มสาวรูปงามมากพรสวรรค์ปรากฏตัวนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่ติดสิบอันดับแรกยิ่งมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า โจษขานไม่เว้นเด็กแก่

สามปี รากฐานของสำนักยุทธ์ก่อเกิดทรงพลังและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกการเคลื่อนไหวของสำนักล้วนส่งผลต่อใต้หล้าทั้งสิ้น

สำหรับเรื่องนี้ ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ทอดถอนใจว่า ‘อัจฉริยะทั่วหล้า หวนคืนก่อเกิด’

ขณะเดียวกันช่วงเวลาสามปีนี้ ดินแดนรกร้างโบราณก็ทยอยส่งกำลังพลออกมา หมายจะเข้าสู่แดนหมื่นมรรคอีกครั้ง แต่ล้วนถูกร่างแยกมหามรรคของหลินสวินออกมาต่อกร ตีพ่ายพินาศย่อยยับไม่มีข้อยกเว้น

ต่อให้นำทัพโดยระดับจักรพรรดิก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้

ในวันนี้

นครต้องห้าม นอกของภูเขาชำระจิต

“ขอร้องท่านล่ะ ให้ข้าไปคาราวะจอมจักรพรรดิหลินเถอะ!”

แม่นางชุดเขียวที่ฝุ่นเปรอะเปื้อน สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงผู้หนึ่งส่งเสียงอ้อนวอน

“แม่นาง ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว ในแดนหมื่นมรรคนี้ไม่รู้ว่ามีคนใหญ่คนโตมากน้อยเท่าไรมาเข้าแถวหมายเข้าพบบรรพจารย์สำนักข้าทุกวัน แต่ก็ล้วนไร้วาสนาโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมรายงาน แต่เป็นเพราะสามปีก่อนท่านบรรพจารย์ก็เคยพูดไว้แล้วว่าไม่รับแขก”

ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดคนหนึ่งกล่าวโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่นาง ดูออกว่าเจ้าร้อนใจมาก แต่ยังคงขอให้เจ้าอย่าทำข้าลำบากใจเลย รีบจากไปเสียเถอะ”

สีหน้าแม่นางชุดเขียวเปลี่ยนไปทันใด กล่าวอย่างขมขื่น “ข้าหนีภัยจากดินแดนรกร้างโบราณมาตลอดทาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่… หากครั้งนี้ไม่ได้เจอจอมจักรพรรดิหลิน… ไม่สู้ตายไปยังจะดีกว่า…”

ขณะกล่าวนางพลันชักกระบี่จ่อคอทันที

เคร้ง!

ภายใต้เสียงปะทะ กระบี่ยาวก็ถูกปัดกระเด็น

ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดคนนั้นตวาด “แม่นาง นี่เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่”

แววตาแม่นางชุดเขียวเหม่อลอย กล่าวอย่างวิญญาณล่องลอย “ข้าต้องการทำอะไร… ข้าแค่อยากจะพบจอมจักรพรรดิหลินสักครั้ง บอกเขาว่าตอนนี้ลูกศิษย์ของเขากำลังเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ เขา… เขาจะเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยเลยกระนั้นหรือ…”

ลูกศิษย์?

ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดที่เฝ้าอยู่ใกล้ประตูภูเขาสำนักต่างอึ้งงัน พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบรรพจารย์ของสำนักตนเคยรับผู้สืบทอดแต่อย่างใด

ตุบ!

หญิงชุดเขียวยามนี้ประหนึ่งไร้เรี่ยวแรง สลบลงกับพื้น

คนผู้หนึ่งเข้าไปตรวจสอบแล้วอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ “อาการบาดเจ็บภายในของแม่นางคนนี้สาหัสถึงขั้นใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว ไม่รู้จริงๆ… ว่านางประคองร่างมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร…”

“นี่จะทำอย่างไร” ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ในสำนักยุทธ์ก่อเกิดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาเพิ่งเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

“รักษาอาการบาดเจ็บก่อนแล้วกัน รอนางฟื้นขึ้นมาค่อยส่งนางออกไป” มีคนตัดสินใจออกมา

“ศิษย์พี่ แต่อาการบาดเจ็บของนางสาหัสนัก ด้วยฝีมือของพวกเราเกรงว่าไม่มีทางทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้เลย…” ทุกคนต่างสีหน้าเหยเก เห็นชัดว่าลำบากใจยิ่งนัก

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ก็เป็นยามนี้เองที่เสียงหนึ่งดังขึ้น ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูภูเขา สวมชุดสีหยกทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลา เป็นสืออวี่นั่นเอง

“คาราวะผู้อาวุโส!”

หนึ่งในผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดเล่าเรื่องแม่นางชุดเขียวผู้นี้ออกมา

ครั้นรู้จุดประสงค์ที่แม่นางชุดเขียวเดินทางมาที่นี่แล้ว สืออวี่เองก็อดตะลึงไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลินสวินเคยรับลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อใด

“อาการสาหัสยิ่ง!”

สืออวี่เดินเข้าไปตรวจสอบครู่หนึ่งแล้วอดเผยสีหน้าสงสัยไม่ได้

เขาอุ้มแม่นางชุดเขียวคนนี้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วหมุนร่างเดินเข้าประตูภูเขาไปโดยไม่ลังเล

ยอดของภูเขาชำระจิต

กายมรรคไม้เขียวของหลินสวินกำลังปิดด่านอยู่

ยามสืออวี่พาแม่นางชุดเขียวมาหา เขาก็สังเกตเห็นทันที

“พี่หลิน แม่นางผู้นี้บอกว่ามาเพราะเรื่องลูกศิษย์ของเจ้า แต่ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสนัก…” สืออวี่เล่าเรื่องราวออกมา

หลินสวินอึ้งไปก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้…

ซูไป๋!

ปีนั้นที่ริมฝั่งทะเลหมากดาราในดินแดนรกร้างโบราณ ศิษย์ฝากนามผู้นั้นที่ตนรับไว้ เป็นเด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่เกิดมาพร้อมกระดูกกระบี่เหมือนกับอวิ๋นชิ่งไป๋!

“ส่งมาให้ข้า”

หลินสวินลุกขึ้น สังเกตแม่นางชุดเขียวปราดหนึ่งก็รู้สึกหวั่นใจอย่างอดไม่ได้

บาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก!

อวัยวะภายในตันห้ากลวงหก เส้นปราณจุดชีพจร ตลอดจนฐานมรรคและจิตวิญญาณล้วนได้รับบาดเจ็บรุนแรง เนื่องจากไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที ในร่างนางจึงมีไอมรณะวนเวียนไม่ขาดสาย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนางกลับเดินทางจากดินแดนรกร้างโบราณมาถึงที่นี่ได้… นี้มันปาฏิหาริย์ชัดๆ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงไม่สามารถช่วยชีวิตของแม่นางชุดเขียวคนนี้ได้

แต่สำหรับหลินสวิน กลับไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

ขณะที่ใคร่ครวญเขายื่นนิ้วออกมากดไปที่หว่างคิ้วของนาง พลังชีวิตที่ยากจับต้องกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำอุ่นไหลริน ปานลมวสันต์แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนชุ่มช่ำ แทรกซึมทั่วสรรพางค์กายของนาง…

ครึ่งชั่วยามต่อมา

หลินสวินเก็บนิ้วแล้วหยิบโอสถเทพล้ำค่าเม็ดหนึ่งออกมา หลอมเป็นโอสถน้ำทั้งหมดแล้วรินเข้าภายในร่างหญิงสาว

หนึ่งก้านธูปให้หลัง

ก็เห็นพลังชีวิตของนางที่จวนจะแห้งเหี่ยวเต็มทีค่อยๆ ฟื้นคืนขึ้นมาทีละน้อย หลังจากพลังชีวิตทั่วร่างเปล่งแสงออกมาจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลินสวินถึงค่อยโล่งใจขึ้น

กล่าวอย่างไม่เกินจริง หากไม่ได้เจอเขา เกรงว่าแม่นางผู้นี้คงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้แล้ว

สืออวี่ที่อยู่ด้านข้างมาตลอดก็ผ่อนลมหายใจ กล่าวว่า “พี่หลิน แม่นางผู้นี้ไม่ห่วงตัวเองที่บาดเจ็บ ยังมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อขอให้เจ้าช่วยลูกศิษย์คนนั้น เจ้า… คงไม่นิ่งดูดายกระมัง”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ กล่าวพึมพำในใจ ‘ดูท่าคงถึงเวลาไปดินแดนรกร้างโบราณสักครั้งแล้ว’

ตอนที่กู้ซีฟื้นขึ้นมา ก็สัมผัสได้เพียงพลังปราณเบาสบาย ราวกับกำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำพุอันอบอุ่น ทุกกระเบียดบนร่างเต็มไปด้วยพลังชีวิตสมบูรณ์

พลังวิญญาณที่ทรงพลังประหนึ่งแม่น้ำใหญ่ไหลวนไปมาภายในร่าง ที่จิตวิญญาณก็ไร้ซึ่งความเจ็บปวดเหนื่อยล้า กลับไปกระปรี้กระเปร่าหาใดเปรียบ

กู้ซีลืมตาขึ้น ก็พบว่านี่เป็นห้องที่เรียบง่ายและงดงามห้องหนึ่ง นอกหน้าต่างที่เปิดอยู่คือเมฆมงคลเป็นกลุ่มๆ มีนกกระสาบินร่ายรำ แสงประกายไหลหลั่ง

ไกลออกไปยังมีเสียงลมพัดผ่านป่าสนดังมา ราวกับเสียงสวรรค์

แม้แต่อากาศที่สูดหายใจก็ล้วนเป็นไอวิญญาณที่เต็มไปด้วยไอเจตะ ชวนให้จิตใจเบิกบาน

“นี่คือฝันอยู่กระมัง…”

กู้ซีทอดถอนใจ

สองเดือนที่ผ่านมานางบาดเจ็บสะสม หนีตายไม่ได้หยุด รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ทั้งหมดก็เพราะอาศัยความปรารถนาแรงกล้ายืนหยัดมา

อันที่จริงแม้แต่ตัวนางเองก็คิดไม่ถึงว่า เพื่อชายที่นางชอบและเลื่อมใสที่สุดคนนั้น สุดท้ายนางถึงกับไม่คำนึงถึงสิ่งใดเพียงนี้

ความเป็นความตายอะไร ความเจ็บปวดและยากลำบากอะไรล้วนเหมือนไม่สำคัญ

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้น แฝงด้วยพลังที่ปลอบประโลมจิตใจ

กู้ซีรีบผุดร่างขึ้นมานั่งบนเตียงทันที หันศีรษะไปมองก็เห็นบุรุษท่วงท่าเหนือโลกีย์ ร่างสูงตระหง่านผู้หนึ่ง กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานอีกด้านพลางอมยิ้มมองมาที่ตน

กู้ซีตระหนักได้ในทันใด ตนได้รับการช่วยเหลือแล้ว!

“ขอบคุณสหายที่ช่วยชีวิต” นางพยายามจะลุกขึ้น

หลินสวินโบกมือ ทันใดนั้นกู้ซีก็ถูกพลังที่อ่อนโยนจับไว้ให้เอนหลังบนเตียงใหม่อีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ข้าสร้างเส้นปราณจุดชีพจรให้เจ้าใหม่ ซ่อมแซมฐานมรรคที่จวนจะแตกสลาย ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะเคลื่อนไหวหนักๆ”

กู้ซีสัมผัสโดยละเอียดก็พบว่าเป็นจริงดังคาด ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บทั่วร่างที่หายดี กระทั่งมรรควิถีของต้นล้วนได้รับการหลอมใหม่ทั้งหมด นี่ทำให้นางอดตื่นตะลึงไม่ได้ ตีจนหัวแตกก็ไม่กล้าจินตนาการว่าบนโลกนี้มีวิธีเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้นางก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าจะถูกทำลายปราณ ร่วงหล่นสู่โลกปุถุชนแล้ว!

“ขอบังอาจถาม สหายคือ?” กู้ซีอดถามไม่ได้

“หลินสวิน” หลินสวินกล่าวลวกๆ “หรือก็คืออาจารย์ของซูไป๋ที่เจ้าต้องการมาหา”

“เป็นท่านจริงๆ!”

นัยน์ตากู้ซีวาวโรจน์ เผยสีหน้าตื่นเต้น “ผู้อาวุโส คุณชายซูไป๋มีภัยมาเยือน หวังว่าท่านจะยื่นมือช่วยเหลือ!”

หลินสวินกล่าว “ซูไป๋เป็นอะไรหรือ”

กู้ซีสูดหายใจลึก เล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวออกมาทั้งหมด

ที่แท้ในช่วงหลายปีนี้ที่หลินสวินรับซูไป๋เป็นลูกศิษย์ ซูไป๋ได้กลายเป็นอัจฉริยะหนุ่มอันดับหนึ่งที่ชื่อสะท้านดินแดนรกร้างโบราณไปแล้ว

เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในห้าระดับล่างของดินแดนรกร้างโบราณ อันดับหนึ่งในระดับราชันอมตะ อันดับหนึ่งในระดับอริยะ…

กระทั่งสิบปีก่อน ยิ่งใช้ฐานะมกุฎราชันอริยะ เหยียบย่างสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิได้ในคราวเดียว!

ความเร็วในการฝึกปราณของเขา ความกร้าวแกร่งของพลังต่อสู้ ความแข็งแกร่งของรากฐาน ล้วนเหนือล้ำกว่าคนในระดับเดียวกัน เหมือนกับสุริยันดวงโตหนึ่งเดียวในดินแดนรกร้างโบราณ แผ่รัศมีหมื่นจั้ง

แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานซูไป๋มุ่งหน้าไปเคี่ยวกรำที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ในการต่อสู้ดุเดือดครั้งนั้นกลับโชคไม่ดีถูกลอบทำร้าย จนถึงตอนนี้ไม่รู้เป็นตาย ไร้ร่องรอยข่าวคราว

“นิสัยของคุณชายซูไป๋เด็ดขาดรักสันโดษ สองสามปีมานี้แม้ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วหล้า แต่กลับล่วงเกินขุมอำนาจใหญ่ไว้ไม่น้อย พอรู้ข่าวที่เขาประสบเคราะห์ คนส่วนใหญ่ล้วนมองดูอย่างเฉยชา ถึงขั้นยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น”

กู้ซีกล่าว “ยามที่หมดหนทางข้าก็ได้ยินข่าวว่าผู้อาวุโสปรากฏตัวในแดนหมื่นมรรคนี้ จึงหอบความหวังเสี้ยวหนึ่งมาขอความช่วยเหลือจากท่านที่นี่”

เมื่อหลินสวินฟังจบก็กล่าวว่า “พูดเช่นนี้ หลังจากซูไป๋ประสบอันตรายที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ก็ยังไม่มีข่าวแน่ชัดว่าเขาเป็นหรือตายหรือ”

กู้ซีพยักหน้า

หลินสวินคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าเล่า ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นได้อย่างไร”

สีหน้ากู้ซีสลับไปมา ครู่ใหญ่ถึงกล่าวอย่างขมขื่น “นี่ก็ต้องโทษตัวข้าเอง ตอนนั้นหลังจากรู้ข่าวว่าคุณชายซูไป๋ประสบอันตราย ใจก็ร้อนรนเหมือนไฟเผา เคยมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากขุมอำนาจใหญ่บางส่วน แต่กลับเปิดเผยฐานะอาจารย์ของคุณชายซูไป๋โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นมองข้าเป็นตะปูตำตา…”

“โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าข้าต้องการมาขอความช่วยเหลือจากท่านที่แดนหมื่นมรรค ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นก็ยิ่งขัดขวางสารพัด และส่งกำลังคนจำนวนมากมาไล่ตามฆ่าข้าตลอดทาง…”

นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ “ที่แท้แค่เพราะความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ของซูไป๋กับข้า ถึงทำให้แม่นางอย่างเจ้าต้องโดนพวกเขาทำร้ายไปด้วย”

กู้ซีส่ายหน้าไม่หยุด “นี่ไม่โทษผู้อาวุโส โทษก็แต่ข้าที่ตอนนั้นสะเพร่าและโง่งมยิ่งนัก โง่เขลาจนไม่ได้คิดว่าขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นจะมองผู้อาวุโสว่าเป็นศัตรูเช่นนี้…”

หลินสวินโบกมือกล่าว “แม่นางไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าอยากเดินทางไปดินแดนรกร้างโบราณสักรอบพอดี ไม่ว่าจะเพื่อช่วยซูไป๋กลับมา หรือเพื่อระบายแค้นให้แม่นาง บุญคุณความแค้นตลอดปีมานี้… ก็ถึงเวลาที่ต้องจบลงจริงๆ สักที”

หลินสวินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่นางพักผ่อนอีกครู่ก่อน สามวันให้หลังข้าจะพาเจ้าไปดินแดนรกร้างโบราณด้วยกัน”

พูดจบหลินสวินก็หมุนร่างจากไป

กู้ซีเอนหลังบนเตียง นิ่งอึ้งเลื่อนลอย ในใจผุดความรู้สึกหลากหลาย

ไม่นานนางก็กล่าวพึมพำในใจ ‘พี่ซูไป๋ ข้าพบอาจารย์ที่ท่านเคารพเลื่อมใสที่สุดแล้ว เขาสัญญาว่าจะไปช่วยท่าน ท่าน… ต้องมีชีวิตรอดให้ได้นะ…’

——