สามวันให้หลัง

กายมรรคเพลิงแดงและกายมรรควารีดำของหลินสวิน พากู้ซีที่หายบาดเจ็บสนิทแล้วออกจากสำนักยุทธ์ก่อเกิดไปด้วยกันอย่างไร้สุ้มเสียง

ส่วนกายมรรคไม้เขียว กายมรรคทองขาว กายมรรคดินเหลืองก็ดูแลอยู่บนภูเขาชำระจิตต่อไป

ในช่วงหลายปีมานี้ที่ไอวิญญาณฟื้นคืน เส้นทางจากดินแดนรกร้างโบราณเข้าสู่โลกชั้นล่างมีมากมาย แต่ในสามปีมานี้เส้นทางพวกนั้นแทบจะถูกหลินสวินทำลายทั้งหมด

ถึงกระนั้นสำหรับหลินสวินแล้ว หากอยากจะข้ามผ่านห้วงอากาศไปดินแดนรกร้างโบราณ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมานานแล้ว

หนึ่งวันให้หลัง

ดินแดนรกร้างโบราณ เทือกเขาอิงเมฆา

กายมรรคเพลิงแดงและกายมรรควารีดำของหลินสวินทยอยปรากฏออกมา

แทบจะในชั่วขณะหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า เทียบกับปีนั้น ดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลางฟ้าดินไอวิญญาณอบอวล หนาแน่นกว่าเมื่อก่อนมากกว่าสิบเท่า

‘ดูท่าข่าวจะเป็นจริง ที่ที่ได้ผลกระทบจากไอวิญญาณฟื้นคืนไม่ใช่เพียงโลกชั้นล่างเท่านั้น แม้แต่ดินแดนรกร้างโบราณเองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…’

‘แต่ว่าจากสถานการณ์เช่นนี้ แม้ดินแดนรกร้างโบราณจะมีไอวิญญาณฟื้นคืนเช่นกัน แต่กลับไม่อาจเทียบแกนกลางของแดนต้นกำเนิดหมื่นอย่างโลกชั้นล่างได้’

‘มิน่าขุมอำนาจใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นถึงเข้าไปแย่งชิงอาณาเขตที่โลกชั้นล่าง ต่อไปดินแดนรกร้างโบราณนี้… ต้องถูกกำหนดให้ถูกโลกชั้นล่างอยู่เหนือกว่าแน่’

ในมุมมองของหลินสวิน สภาพสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงที่มาจากไอวิญญาณฟื้นคืนของโลกชั้นล่าง ย่อมต้องเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบได้กับแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิง

ส่วนดินแดนรกร้างโบราณนี้ กลับจะเป็นส่วนที่ขับให้โลกชั้นล่างโดดเด่นขึ้นไปอีก!

“ข้าไปเขาเทพพยับคราม ตามหารากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋”

ไม่นานนักกายมรรคเพลิงแดงก็ออกเดินทางทันที มุ่งหน้าสู่อาณาเขตซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของแดนฐิติประจิม

ก่อนจะกลับสู่โลกชั้นล่าง หลินสวินก็รู้เรื่องทั้งหมดจากปากทางระฆังไร้กฎแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ารากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋ก็คือ ‘โอสถราชันกายสิทธิ์’ ต้นที่เจอเมื่อปีนั้น!

และร่างแยกสองร่างของหลินสวินเคลื่อนไหวพร้อมกัน หนึ่งเพื่อช่วยศิษย์ซูไป๋ สองก็เพื่อตามหาต้นเทพซางอู๋นี้

ขอเพียงเก็บวัตถุดิบเทพนี้ได้ เขาก็จะสามารถควบรวมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้!

จนกระทั่งกายมรรคเพลิงแดงจากไปไกลแล้ว กายมรรควารีดำถึงค่อยปล่อยกู้ซีออกมาจากในสมบัติ

จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิทันที

สวบ!

หลินสวินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจนทั้งร่างประหนึ่งลำแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่ง ทุกครั้งที่พริบไหว เหมือนดั่งดาราเคลื่อนคล้อย พันภูผาหมื่นวารีล้วนแต่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ตลอดทางหลินสวินสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าแม้ไอวิญญาณฟื้นคืนของดินแดนรกร้างโบราณจะสู้โลกชั้นล่างไม่ได้ แต่พลังที่รองรับได้กลับแข็งกร้ากว่าโลกชั้นล่างอยู่มากโข ทำให้พลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้าของเขา ถูกกดไว้เพียงระดับจักรพรรดิขั้นสามสัมบูรณ์เท่านั้น

‘ก็ไม่รู้ว่าพวกผู้อาวุโสในปีนั้นยังอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิหรือไม่…’

ขณะที่เร่งเดินทางหลินสวินก็นึกถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่มากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในปีนั้น

ตอนนั้นผู้เฒ่าอิ๋นของหอฤทธิ์เทพเป็นคนพาข้ามผ่านเส้นทางห้วงอากาศ ถึงสามารถไปถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิได้

ตอนนั้นหลินสวินได้รู้จักสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมาย อย่างซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อ

เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น แววตาหลินสวินก็แรกฏความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง

ตอนนั้นปราณของเขาเพิ่งอยู่ระดับอริยะแท้ ถูกเหล่ากึ่งจักรพรรดิมองเป็นคนรุ่นหลัง แต่ตอนนี้เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่สะเทือนไปทั่วฟ้าดารานานแล้ว

กาลเวลาแปรผัน ไม่อาจเทียบได้กับกาลก่อน!

สองวันถัดมา

พื้นที่ที่ห่างไปไกลโพ้น เส้นสีดำเส้นหนึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวขึ้นๆ ลงๆ พาดขวางกลางฟ้าดิน ยืดยาวประหนึ่งไร้สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ไพศาล ใหญ่จนทำให้คนมองไม่เห็นความสูงและความยาวของมัน

แต่เมื่อมองโดยละเอียดแล้ว กลับแยกได้ว่านั่นคือกำแพงเมืองที่คดเคี้ยวกลางฟ้าดินแถบหนึ่ง กว้างใหญ่หาใดเปรียบ สูงตระหง่านยิ่งยวด พาดผ่านฟ้าดิน!

แค่มองจากไกลๆ ก็ทำให้คนรู้สึกว่าเล็กจ้อย เพราะกำแพงนี้ใหญ่โตเกินไป ทั้งสี่ด้านของกำแพงยังมีดวงดาวโคจร ราวกับคงอยู่มานิรันดร์กาลหมื่นยุคจนถึงตอนนี้

ยิ่งใหญ่!

สง่างาม!

สูงตระหง่าน!

แม้แต่ดวงดาวทั้งหมดยังทำได้แค่โคจรไปรอบๆ กำแพง นี่จะต้องใหญ่โตขนาดไหนกัน

นี่ก็คือด่านตะวัน!

หนึ่งใน ‘ฐานทัพ’ จำนวนมากของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ!

ปีนั้นที่หลินสวินมาครั้งแรก ก็เคยถูกภาพนี้ทำเอาสั่นสะท้าน

และยามนี้เมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างอดไม่ได้เช่นเคย

กำแพงเมืองนี้สร้างโดยการรวบรวมดวงดาวนอกดินแดนด้วยฝีมือของเหล่าจักรพรรดิสมัยดึกดำบรรพ์ พาดขวางกลางฟ้าดิน ประหนึ่งปราการนิรันดร์ขวางกั้นศัตรูภายนอก

และฐานทัพยักษ์เช่นนี้ ก็มีอยู่มากมายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ!

กล่าวอย่างไม่เกินจริง การที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิถูกยกย่องว่าเป็น ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’ ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินก็รู้มานานแล้วว่าสมรภูมิหลักของศึกมรรคสิบทิศในสมัยดึกดำบรรพ์ ก็คือใกล้ๆ กับกำแพงเมืองด่านจักรพรรดินี้

ตอนนั้นเพื่อต้านพลังระเบียบต้องห้ามของจอมจักรพรรดิไร้นาม ไม่รู้ว่ามีมหาจักรพรรดิเท่าไหร่ที่พลีชีพหลั่งเลือดในนี้ สร้างตำนานไร้เทียมทานแห่งยุคซึ่งหลอมขึ้นมาจากโลหิตและอัคคี

และหลังจากศึกมรรคสิบทิศปิดฉากลง กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็กลายเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณ ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ก็ยังคงปกป้องอยู่ที่นี่ ต้านทานศัตรูแปดดินแดนที่มาจากภายนอก

“ผู้มาเป็นใคร”

จู่ๆ เสียงตะโกนสายหนึ่งดังออกมาจากด่านตะวันอันยิ่งใหญ่นั้น

จากนั้นเงาร่างสวมเกราะสีเขียว หนวดเครารุงรัง หน้าตาเด็ดขาด ทั่วร่างแผ่ไอเลือดเหล็กน่าครั่นคร้ามพุ่งแหวกอากาศออกมา

ละอองแสงมหามรรคไหลหลั่งรอบกายเขาประหนึ่งกระแสน้ำตกเชี่ยวกราก ไอสังหารปั่นป่วนลมเมฆ มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ประสบการณ์โชกโชน

และเมื่อเห็นอีกฝ่าย หลินสวินก็อดอึ้งไปไม่ได้ ยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสซุ่นจี้ ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับ”

อีกฝ่ายก็คือซุ่นจี้ ครั้งแรกที่มากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในปีนั้น หลินสวินก็เคยถูกซุ่นจี้ที่เฝ้าด่านซักไซ้

ก็เห็นสายตาซุ่นจี้อึ้งงันไปครู่หึ่ง ก่อนจะร้องออกมาว่า “ที่แท้เป็นเจ้าหนูอย่างเจ้านี่เอง! เจ้ากลับมาอีกทำไมหรือ”

ใบหน้าเขาแต้มรอยยิ้ม ก้าวไปกอดหลินสวินอย่างกระตือรือร้น

“ข้ามาช่วยคนน่ะขอรับ” หลินสวินกล่าว เขามองออกทันทีว่าหลายปีที่ไม่ได้เจอกัน ซุ่นจี้เหยียบย่างสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะทะลวงได้ไม่นาน ปราณจึงอยู่แค่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งเท่านั้น

“ช่วยคนหรือ” ซุ่นจี้ชะงัก “ใครกัน”

“ซูไป๋” หลินสวินกล่าว

ซุ่นจี้นึกออกทันที “ที่แท้เป็นเจ้าหนุ่มนั่น เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะแห่งยุคจริงๆ พลังปราณทั้งร่างเทียบเคียงได้กับเจ้าเมื่อปีนั้น หลังจากมาถึงด่านตะวันก็สร้างผลงานการศึกไปไม่น้อย ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่ง เพียงแต่…”

พูดถึงตรงนี้เขาก็เผยสีหน้าเศร้าสลด น้ำเสียงเองก็เปลี่ยนเป็นต่ำลึก “เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่เจ้าเด็กนี่ไปสังหารศัตรูนอกด่าน กลับถูกซุ่มโจมตีกะทันหัน ถึงขั้นเป็นตายไม่อาจรู้ จนบัดนี้ยังไม่กลับมาเลย”

“ตอนนั้นในด่านมีสัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนมากออกเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง มุ่งหน้าไปช่วยชีวิต แต่ในสนามรบวุ่นวายและโกลาหลยิ่ง พวกเราค้นหาอยู่นานก็ไม่เจอร่องรอยของเขา…”

“เฮ้อ เจ้าไม่รู้ เพราะการหายตัวไปของเจ้าหนุ่มนี่ ในใจพวกเราต่างละอายใจนัก”

ซุ่นจี้ถอนหายใจยาว “ถึงอย่างไรคนที่มีพรสวรรค์อย่างเจ้าหนุ่มนี่ บนโลกนี้… ก็หายากจริงๆ…”

พูดถึงตอนท้ายสุด จู่ๆ ซุ่นจี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “จริงสิ เขาเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”

“ศิษย์ฝากนามคนหนึ่งที่รับไว้เมื่อนานมาแล้วขอรับ” หลินสวินตอบกลับ

ซุ่นจี้อึ้ง แววตาซับซ้อน “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่เกรงว่าครั้งนี้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว นอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในตอนนี้ อานุภาพของศัตรูแปดดินแดนเฟื่องฟูยิ่ง ล้วนมีศึกนองเลือดอันโหดร้ายปะทุขึ้นทุกวัน คิดจะไปตามหาคนที่สาบสูญไปคนหนึ่ง… ยากเกินไป”

หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าซูไป๋ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วหรือขอรับ”

ซุ่นจี้พยักหน้า “พวกข้าเคยค้นสนามรบ แต่ไม่พบร่องรอยร่วงหล่นของเด็กคนนี้ หลายคนจึงสงสัยว่าเป็นได้อย่างยิ่งว่าเจ้าหนุ่มนี่คงถูกจับเป็นเสียแล้ว”

“จับเป็น?”

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก “ศัตรูที่ซุ่มโจมตีเขาตอนนั้นเป็นใคร”

ซุ่นจี้กล่าว “กึ่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งของดินแดนโบราณต้าหลัว ทั้งคล้ายว่ายังมีกลิ่นอายของระดับจักรพรรดิอีกคน”

“ดินแดนโบราณต้าหลัวหรือ…”

สายตาหลินสวินลุ่มลึก ดินแดนโบราณต้าหลัวเป็นดินแดนฝึกกระบี่แห่งหนึ่ง ตอนอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดนเมื่อปีนั้นเขาก็เคยประมือกับเจี้ยนชิงเฉินหนึ่งในแปดยอดนภาคราม ผู้สืบทอดหอกระบี่ฟ้าของดินแดนโบราณต้าหลัว

หากดินแดนโบราณต้าหลัวลงมือจับซูไป๋ไปจริงๆ จะเป็นเพราะพรสวรรค์กระดูกกระบี่บนร่างของซูไป๋หรือไม่

นี่มีความเป็นไปได้จริงๆ!

“เหล่าซุ่น เร็วเข้า! การต่อสู้ใกล้จะปะทุแล้ว!” จู่ๆ เสียงเร่งเร้าดังมาจากในด่านตะวัน

ซุ่นจี้อึ้งไป เผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมทันที “แม่งเอ๊ย นี่ไม่ทันถึงสามวัน เจ้าพวกต่างเผ่านั่นก็มาอีกแล้วรึ ยังตามหลอกหลอนไม่เลิกไม่ราจริงๆ…”

เขาหันมองหลินสวิน “สหายน้อย หรือไม่เจ้าพักที่ด่านตะวันสักหน่อยก่อน รอข้ากลับมาจากสังหารศัตรูค่อยมารำลึกความหลังกัน”

“ข้าไปกับท่านด้วย” หลินสวินกล่าว

“เจ้าน่ะรึ เกรงว่าเจ้ายังไม่รู้ชัด กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อปีนั้นแล้ว เมื่อไอวิญญาณฟื้นคืน ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ศัตรูแปดดินแดนเปิดฉากโจมตีอยู่หลายครั้ง มีระดับจักรพรรดิอยู่ในนั้นด้วย…”

ซุ่นจี้ลังเลน้อยๆ แต่กล่าวมาได้ถึงครึ่งเขาก็อึ้งไป เพราะบนร่างหลินสวินมีกลิ่นอายแห่งระดับจักรพรรดิแผ่ออกมาเงียบๆ!

“คุณสมบัติพอหรือไม่” หลินสวินแย้มถามกลับ

“พอ! เกินพอแล้ว!”

นัยน์ตาซุ่นจี้วาวโรจน์ กล่าวชื่นชมอย่างตกใจ “ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่รบรามาไม่รู้กี่ปี เพิ่งจะคว้าโอกาสบรรลุจักรพรรดิได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่นี่เพิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปี เจ้าหนูอย่างเจ้าถึงกับเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่งไปแล้ว!”

“ไปๆๆ เวลาไม่คอยท่า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา ว่าสมรภูมิเลือดบนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิยิ่งใหญ่เพียงใด”

ขณะพูดเขาก็หมุนตัวพุ่งไปในด่านตะวัน

หลินสวินใคร่ครวญแล้วเก็บกู้ซีเข้าไปในสมบัติ ปราณของฝ่ายหลังเพิ่งจะระดับอริยะเท่านั้น หากถูกลูกหลงอะไรจะเป็นอันตรายได้

จากนั้นเขาถึงทะยานตามซุ่นจี้ไป

ในด่านตะวัน

บรรยากาศบีบคั้นกดดัน ในด่านกว้างใหญ่พอๆ กับโลกใบหนึ่ง เงาร่างจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหว ล้วนพุ่งไปยังที่เดียวกัน

เงาร่างพวกนี้ต่างก็แผ่กลิ่นอายสังหารกร้าวแกร่ง มากประสบการณ์ คนที่มีพลังอ่อนด้อยที่สุดยังเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ

ส่วนผู้นำทัพ ถึงกับเป็นระดับจักรพรรดิสองคน เพียงแต่ไม่คุ้นหน้า หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน

หลังจากซุ่นจี้แนะนำ หลินสวินถึงรู้ว่าระดับจักรพรรดิสองคนนั้น คนหนึ่งนามว่า ‘จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋น’ เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสอง

อีกคนนามว่า ‘จักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ย’ ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง

ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมาหลายปีเหมือนซุ่นจี้ และบรรลุระดับจักรพรรดิในช่วงไม่กี่สิบปีนี้เช่นกัน

และเมื่อหลินสวินถามถึงบรรดาผู้อาวุโสที่คุ้นเคยอย่างพวกฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้กลับเผยสีหน้าเศร้าโศกหดหู่ ขอบตาแดงรื้น

เนิ่นนานเขาถึงส่ายหน้าถอนหายใจ “พวกเขาน่ะ… ล้วนล่วงหน้าไปก่อนข้ากันหมดแล้ว…”

…………………………