ตอนที่ 2386 มุ่งหน้าเพียงลำพัง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

หลินสวินรู้สึกเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก

คนคุ้นเคยเหล่านั้น…

ล่วงลับไปนานแล้วหรือ

ไม่ถึงขนาดเจ็บปวดใจอะไร แค่รู้สึกไม่สบายใจ

“ไปเถอะ”

ซุ่นจี้รีบชิงเดินนำไปก่อน

นอกด่านตะวัน

เป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่เวิ้งว้าง หักพังและแห้งเหี่ยว ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้เคยมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่อสู้ที่นี่ และผู้ที่สามารถรอดชีวิตได้ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงคนกลุ่มน้อย

ส่วนใหญ่ล้วนถูกฝังร่างอยู่ที่นี่ กลายเป็นดินถมพื้น

อู…

ฟ้าดินมืดมัว ไอชั่วร้ายปกคลุมเหนือท้องฟ้าราวเมฆคลุ้มหนาทึบ เสียงเป่าเขาสัตว์เป็นระลอกดังลอยมาจากไกลๆ เต็มไปด้วยไอเข่นฆ่า

ทอดมองไปไกลๆ เงาร่างราวกระแสน้ำเหมือนเส้นสีดำแผ่กระจายออกไปกลางฟ้าดินจากจุดไกลๆ เบียดเสียดหนาแน่นนับพันนับหมื่น จำนวนนับไม่หวาดไม่ไหว

นั่นคือกองทัพใหญ่ของผู้ฝึกปราณ กลิ่นอายทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากตัวแต่ละคนเมื่อรวมเข้าด้วยกันก็กลายเป็นเมฆดําอึมครึมปกคลุมเหนือเวิ้งฟ้า

ฟ้าดินเปลี่ยนสี พายุสายฟ้าปั่นป่วน

ในสนามรบกว้างใหญ่ที่เข่นฆ่าดุเดือดนี้ ความตายเปรียบดั่งบทนำที่ไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์ ใช้การเข่นฆ่าและหยาดเลือดแต่งแต้ม

“เยอะยิ่ง!”

ฝั่งดินแดนรกร้างโบราณ ผู้แข็งแกร่งที่ประจำการอยู่แนวหน้าของด่านตะวันล้วนเผยสีหน้าเคร่งขรึม

กระบวนทัพที่ศัตรูเคลื่อนพลในครั้งนี้มโหฬารกว่าก่อนหน้านี้มาก ราวกับแตนแตกรังออกมา ทำให้คนใจสะท้าน

“กี่คน” จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นถามเสียงเข้ม เขาเป็นผู้ควบคุมด่านตะวัน มีบทบาทเป็นเหมือนเจ้านายและผู้บัญชาการของที่แห่งนี้

“หกคน” ดวงตาของจักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ กันเจือแสงเข้มคลุมเครือ หลังมองสำรวจคร่าวๆ ก็เอ่ยตอบ

“ระดับจักรพรรดิหกคนหรือ”

ซุ่นจี้ตะโกนร้องตกใจ “เจ้าพวกตัวดี นี่ดินแดนโบราณต้าหลัวคิดจะทำอะไร ลั่นกลองปลุกใจตีด่านตะวันหรือ”

ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมอึมครึม ล้วนไม่พูดอะไรสักคํา

ทุกคนรู้ชัดว่าการโจมตีของศัตรูครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดา เป็นไปได้สูงว่าหมายจะใช้พลังทั้งหมดตัดสินผลแพ้ชนะ

ครู่หนึ่งจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นกัดฟันแน่น ออกคำสั่งเสียงเข้มว่า “ส่งข่าวขอกำลังสนับสนุน บอกว่าเป็นข่าวฉุกเฉินจากด่านตะวัน! พวกเราสู้จนตัวตายอย่างมากก็ทำได้แค่ประคองไว้… แม่งเอ๊ย ประคองได้นานแค่ไหนก็แค่นั้นแล้วกัน ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ตายในสนามรบทั้งหมดก็ต้องรักษาด่านตะวันนี้ไว้ให้ได้!”

เสียงดุจดั่งฟ้าคำราม ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

ในด่านตะวัน ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณรวมกันก็แค่เกินพันคน และส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

แต่เวลานี้กลับไม่มีใครล่าถอยสักคน!

สีหน้าแต่ละคนล้วนฉายความเด็ดเดี่ยว สงบและเยือกเย็น

“ลุย!”

ซุ่นจี้กัดฟันคำรามลั่น

“ลุย!”

ที่ด่านตะวัน ทุกคนต่างโห่ร้องเสียงดัง เสียงก้องสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าแก่ที่ประจำการอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี หรือผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งเข้าร่วมในไม่กี่ปีมานี้ ต่างรู้แต่แรกแล้วว่าบนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิความเป็นความตายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

อาจเพราะเตรียมใจมานานแล้ว พวกเขาจึงดูสงบเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัดเพียงนั้น

มองความตายเหมือนกลับบ้านเดิม

อู…

ไกลออกไปเสียงเป่าเขาสัตว์กังวานลอยมาใกล้เรื่อยๆ ร่างของศัตรูเหล่านั้นก็เหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ปกคลุมแผ่นดิน กําลังกวาดม้วนเข้ามา

ผู้นําแต่ละคนล้วนเป็นระดับจักรพรรดิที่มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงสะท้านยุค ปลดปล่อยอานุภาพจักรพรรดิสูงสุดที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีออกมา

ในเวลานี้จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้นว่า “ไม่ใช่หก แต่เป็นเก้า”

ประโยคเดียวทำเอาพวกจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋น จักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ย ซุ่นจี้ต่างนัยน์ตาหดรัด สภาพจิตใจหนักอึ้งขึ้น

มหาจักรพรรดิเก้าคนมาเยือนพร้อมกัน!

ศึกนี้จะให้สู้อย่างไร

“แม่งเอ๊ย ลุย!”

จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นดวงตาแดงก่ำ ส่งเสียงคําราม

“ลุย!”

คนอื่นๆ ก็คํารามพร้อมกัน

กําแพงเมืองด่านจักรพรรดิเป็นแนวป้องกันแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ หากถูกทำลาย ศัตรูแปดดินแดนจะต้องบุกเข้ามาเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย!

“สหายน้อย เจ้าจะทำอะไร กลับมา!”

ทันใดนั้นซุ่นจี้หน้าเปลี่ยนสี พบว่าหลินสวินถึงกับมุ่งหน้าออกจากแนวป้องกันด่านตะวัน และทะยานไปยังสนามรบที่อยู่ห่างไกลด้วยตัวคนเดียว

นี่ทำให้ซุ่นจี้ใจหายใจคว่ำ

“ข้าจะไปถามพวกเขาดู ว่าตอนนี้ศิษย์คนนั้นของข้าอยู่ที่ไหน”

เสียงเรียบเรื่อยของหลินสวินลอยมา ตัวคนเดียวเอามือไพล่หลัง มุ่งหน้าไปยังสนามรบนองเลือดที่กว้างใหญ่และรกร้างแห่งนั้นโดยไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ

“เหลวไหล!”

จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นสีหน้าคล้ำเขียว “ซุ่นจี้ เจ้าหนูนี่เป็นใคร ทำไมกล้าไม่ฟังคําสั่ง เคลื่อนไหวโดยพลการ ถ้าเกิดประสบเคราะห์ เจ้าบอกข้าทีว่าควรช่วยหรือไม่ช่วย ถ้าหากช่วยจะช่วยอย่างไร”

เขาโกรธจนผมเคราลุกตั้ง มีโทสะอย่างเห็นได้ชัด

“ข้า…”

ซุ่นจี้สีหน้าเปลี่ยนไปมา กัดฟันแน่นแล้วกล่าวว่า “นี่คือสหายน้อยหลินสวิน ตอนนี้มีปราณระดับจักรพรรดิแล้ว เชื่อว่าในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีความมั่นใจบางอย่าง”

ระดับจักรพรรดิ!

คนมากมายล้วนประหลาดใจ

“เป็นปราณระดับจักรพรรดิจริงๆ” จักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ยเพ่งพิศโดยละเอียดถึงค่อยพยักหน้า

ก่อนหน้านี้หลินสวินเก็บกลิ่นอายไว้มิดชิด อย่าว่าแต่พวกจักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ย แม้แต่ซุ่นจี้ที่เพิ่งพบหน้าหลินสวินเมื่อครู่ก็เกือบจะมองไม่ออก

“ระดับจักรพรรดิ…”

สีหน้าจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นอ่อนลงไม่น้อย แต่ยังคงกล่าวด้วยความโกรธ “ระดับจักรพรรดิแล้วอย่างไร หากมองสถานการณ์ไม่ออกก็ยังอาจประสบเคราะห์! ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดศึกจริงๆ ยังมีโอกาสช่วยกลับมาได้ ซุ่นจี้ รีบให้เขากลับมา!”

ซุ่นจี้พยักหน้าหงึกๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นหลินสวินก็อยู่ห่างออกไปแล้ว และมาถึงเบื้องหน้าส่วนลึกของสนามรบแห่งนั้น

เขาที่ตัวคนเดียวขวางหน้ากองทัพใหญ่ที่แห่ตะลุยบุกสังหารเข้ามา!

ชั่วขณะหนึ่งอย่าว่าแต่ซุ่นจี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่อยู่แนวหน้าของด่านตะวันอย่างพวกจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นยังใจหายใจคว่ำ

ทั้งกระวนกระวายและโมโห เวลานี้จะมาอวดฝีมืออะไร นี่มันเอาตัวไปติดอวนชัดๆ!

ขณะเดียวกันกองทัพใหญ่ดินแดนโบราณต้าหลัวที่ยิ่งใหญ่นั้นต่างแปลกใจ ประหลาดใจยกใหญ่ คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าด่านตะวันจะส่งคนผู้เดียวมุ่งหน้ามา

นี่จะมาตายเปล่าหรือ

ระดับจักรพรรดิกลิ่นอายน่าสะพรึงทั้งกลุ่มที่เป็นผู้นำโบกมือคราหนึ่ง กองทัพใหญ่ข้างหลังพลันชะงักเท้าทันที

ขณะเดียวกันสายตาของระดับจักรพรรดิเหล่านี้ต่างจับจ้องบนตัวหลินสวิน สีหน้าเจือความประหลาดใจ นึกสนุก ดูถูก ยิ้มเจ้าเล่ห์…

“ด่านตะวันรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว เลยส่งพวกตัวเล็กตัวน้อยอย่างเจ้ามาตายเปล่าหรือ”

ชายชราร่างผอมที่ดูภูมิฐานคล้ายนักพรต เท้าเหยียบกระบี่โบราณคนหนึ่งพูดขึ้น ดวงตาเย็นชา ฉายแววเหยียดหยาม

“ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับไปบอกพวกแพะสองขาที่ด่านตะวันว่ารีบยอมแพ้แต่โดยดี และเลิกต่อต้านโดยเร็ว มิฉะนั้นเมื่อพวกข้าบุกเหยียบด่านตะวัน ก็เป็นวันพินาศของพวกเจ้า!”

ชายชุดคลุมสีม่วงตัวสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งตะโกน เสียงราวฟ้าร้องสะเทือนจักรวาล

หลินสวินกวาดสายตามองไปยังผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณต้าหลัวเหล่านี้แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “ใครรู้บ้างว่าตอนนี้ซูไป๋อยู่ที่ไหน ตอบข้ามา แล้วจะไว้ชีวิตให้”

คำพูดเรียบเรื่อย แต่กลับดังก้องชัดเจนในหูของศัตรูทุกคน

นี่ทำให้ศัตรูเหล่านั้นอดตกตะลึงไม่ได้

เจ้าหมอนี่ตัวคนเดียวเท่านั้น แต่ถึงขั้นกล้าข่มขู่พวกเขาต่อหน้ากองทัพนับหมื่นหรือ

นี่มันบ้าชัดๆ!

“ซูไป๋?” ชายชราร่างผอมที่เท้าเหยียบกระบี่โบราณขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงเจ้าหนุ่มที่มีกระดูกกระบี่คนนั้นหรือ เขาเป็นต้นกล้าที่หายากจริงๆ แต่น่าเสียดาย ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้พบเขาอีกแล้ว”

“ดูท่าเจ้าจะรู้จักศิษย์คนนั้นของข้า ไม่เลว เจ้ามีชีวิตต่อได้อีกหน่อย” หลินสวินเหลือบมองชายชราร่างผอมปราดหนึ่ง

“รนหาที่ตาย ฆ่าก่อนแล้วค่อยพูด!”

ชายชุดม่วงที่ตัวสูงใหญ่กำยำคนนั้นกล่าวพลางตวัดทวนศึกสีทองขึ้นมา พุ่งไปกลางห้วงอากาศแล้วกวาดมือ แสงสีทองหอบม้วน ห้วงอากาศพันจั้งระเบิดถล่มครืน

“แย่แล้ว!”

หน้าด่านตะวัน พวกจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋น จักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ย ซุ่นจี้ล้วนหน้าเปลี่ยนสี จำคนที่ลงมือได้ว่าเป็นพวกร้ายกาจระดับจักรพรรดิของดินแดนโบราณต้าหลัว มีปราณระดับจักรพรรดิขั้นสอง ในการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ก็สำแดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งยวด

ในด่านตะวันมีผู้แข็งแกร่งหลายคนถูกคนผู้นี้ฆ่าตาย

และในเวลานี้ เมื่อเห็นคนผู้นี้ลงมือกับหลินสวิน จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร

แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทำเพียงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้าเบาๆ

ปึง!

ทวนศึกสีทองที่ฟันลงมาถูกเขากำไว้ในมือทันที ง่ายดายแผ่วเบา ราวบีบแมลงวันตัวหนึ่ง

จากนั้น เมื่อเขาออกแรงที่ข้อมือ

ตูม!

ทวนศึกสีทองระเบิดตรงๆ กลายเป็นละอองแสงสีทองโปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า

ภายใต้การถูกสะเทือนกลับ เงาร่างชายสูงใหญ่กำยำคนนั้นซวนเซ เกือบจะพลัดตกจากห้วงอากาศ

เขาหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

แต่ขณะเดียวกันเมื่อหลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงมรรคไร้ขอบเขตก็กวาดม้วนออกมาราวขุนเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด บดขยี้ห้วงอากาศ ส่องสว่างภูผาธารา

ทันใดนั้นร่างของชายฉกรรจ์ที่มีปราณระดับจักรพรรดิขั้นสองนั่นก็ถูกซัดสะเทือนจนแหลกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน กลายเป็นเถ้าถ่านโปรยร่วงลงมา

สังหารจักรพรรดิด้วยการโบกแขนเสื้อคราเดียว!

ฉากนองเลือดเช่นนี้สะท้านสะเทือนทั่วลานในทันที

ทัพผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณต้าหลัวที่อานุภาพแกร่งกร้าวล้วนอึ้งงัน ต่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ด้านฝั่งดินแดนรกร้างโบราณ พวกซุ่นจี้ จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋นล้วนปากอ้าตาค้าง สูดหายใจสะท้าน อาการเหมือนเห็นผี

ก่อนหน้านี้พวกเขายังกังวลว่าหลินสวินจะประสบเคราะห์ แต่พริบตาเดียวเขากลับกำจัดมหาจักรพรรดิคนหนึ่งได้อย่างสบายๆ!

นี่ดูเหลือเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“แค่ขยะแบบนี้ก็กล้ามาโหวกเหวก ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย”

หลินสวินดีดนิ้วเบาๆ นัยน์ตาผุดแววเย็นเยียบ “ดูท่าคงไม่ต้องถ่วงเวลาอีกต่อไปแล้ว”

“รีบลงมือพร้อมกันเร็ว!”

“ฆ่า!”

ในชั่วขณะนี้ระดับจักรพรรดิของดินแดนโบราณตาหลัวทั้งกลุ่มไม่กล้าลังเลอีก พุ่งโจมตีเต็มกําลัง เรียกศาสตราจักรพรรดิออกมาพลางสำแดงวิชามรรค แต่ละคนเผยฝีมือมรรคจักรพรรดิประหนึ่งมืดฟ้ามัวดิน

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ล้วนไม่เพียงพอให้หันมอง

ก็เห็นเขาเหยียบย่างกลางอากาศ รวบนิ้วตวัดวาดต่อเนื่อง ปราณกระบี่พร่างพราวเป็นสายๆ ก็พุ่งโฉบออกมา

ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนประทับนัยเร้นลับสุดหยั่ง ดุดันไร้ทัดเทียม เผด็จการถึงที่สุด

เมื่อพุ่งออกมาพร้อมกัน ปราณกระบี่ระดับนั้นคล้ายพุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ฉีกทึ้งจักรวาลทั้งแถบนี้ กำจัดหมื่นชีวิตสิ้นซาก!

พรูด!

ชัวขณะเดียวก็มีระดับจักรพรรดิคนหนึ่งถูกผ่าเป็นสองท่อน ศพถูกปราณกระบี่ไพศาลหลอมระเหย ร่างกายและดวงจิตล้วนดับสิ้น

พรูดๆๆ!

จากนั้นระดับจักรพรรดิคนแล้วคนเล่าล้วนถูกกำจัดไปคนแล้วคนเล่า

ศาสตราจักรพรรดิอะไร วิชามรรคอะไร ล้วนถูกปราณกระบี่พร่างพราวนั่นบดขยี้ ไม่ว่าจะต้านอย่างไรล้วนเหมือนตั๊กแตนขวางรถ ไม่อาจต้านได้แม้แต่น้อย

เพียงไม่กี่พริบตา

ระดับจักรพรรดิเก้าคนที่นำกองทัพใหญ่มาเหล่านี้ นอกจากชายชราผอมแห้งคนนั้น ที่เหลือล้วนถูกหลินสวินสังหารตายคาที่!

เร็วเกินไป!

และดุดันน่าสะพรึงเกินไป!

เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นก็เหมือนจอกแหนตะไคร่น้ำ ถูกกำจัดทิ้งตามใจ ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย

เดิมทีพวกจักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋น ซุ่นจี้ต่างเตรียมพร้อมลงมือ วางแผนว่าหากหลินสวินถูกล้อมจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเขากลับมาให้ได้

แต่ใครเลยจะคาดคิด ไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้ลงมือสักนิด ภายใต้เงื้อมมือของหลินสวิน ก็สำแดงภาพนองเลือดที่เข่นฆ่ามหาจักรพรรดิเป็นฉากๆ…

……………………..