หยวนชิงเหิงคิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้ยังพยายามล้วงข้อมูลเพิ่มมากขึ้นจากปากตน ครู่ต่อมากลับรับปากอย่างรวดเร็วว่าจะปล่อยตนไป
นางอึ้งไป ยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง กล่องสำริดที่ปกคลุมด้วยลวดลายแน่นขนัดใบหนึ่งปรากฏ ก่อนยื่นให้หลินสวินผ่านอากาศ
“กล่องนี้ก็ถือเป็นสมบัติจักรพรรดิที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง สามารถครอบคลุมทะเลสี่ทิศ บรรจุของล้ำค่ามากมาย ยกให้เจ้าหมดเลย”
หลินสวินโคจรปราณเปิดกล่องสำริดออก จิตรับรู้สอดส่องเข้าไปในนั้น ก็เห็นไม้เทพที่เหมือนสร้างขึ้นจากสำริดฝังรากอยู่ในนั้น กิ่งก้านแข็งแรงทนทาน คล้ายดาบดุจกระบี่ เป็นรากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋นั่นเอง
เขาหยิบสมบัตินี้ออกมาแล้วเก็บไป ก่อนยื่นกล่องสำริดคืนให้ “ในเมื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไร”
หยวนชิงเหิงอดอึ้งไปไม่ได้ จากนั้นแค่นเสียงเย็น “ไม่เอาก็ช่าง”
หลินสวินระบายยิ้ม ไม่ได้พูดมากความ หมุนตัวออกจากโลกฟ้าดาราแห่งนี้
หยวนชิงเหิงไล่หลังเขามาติดๆ
จนกระทั่งมาถึงบนเขาพยับคราม หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง กระบวนผนึกที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินนั่นก็ถูกทำลายทิ้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้หยวนชิงเหิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งออกอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้าจะรักษาคำพูด การต่อสู้ยื้อยุดก่อนหน้านี้ ข้าจะไม่เอาความก็แล้วกัน”
กล่าวจบอาภรณ์นางปลิวไสว ทะยานพุ่งไกลออกไป
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ขัดขวาง เขารู้ดียิ่งว่าหากหญิงผู้นี้จะไปให้ได้จริงๆ เกรงว่าตนก็คงรั้งนางไม่ได้
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไร” ไกลออกไปหยวนชิงเหิงหมุนตัวกลับมากลางอากาศ นัยน์ตางามทอดมองมาทางหลินสวิน
“หลินเต้ายวน” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
หยวนชิงเหิงร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ได้พูดมากความอีก หันตัวแล้วจากไป เงาร่างวาบประกายแล้วอันตรธานหายลับไปกลางอากาศ ร่องรอยแม้เพียงเสี้ยวยังไม่เหลือทิ้งไว้
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก็หันหน้ามองไปทางต้นเทพชางอู๋บนเขาพยับคราม สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะเอาต้นไม้นี้ออกไป
ถึงอย่างไรก็เหลือเพียงเปลือกว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเวลาผันผ่าน เกรงว่าใช้เวลาไม่นานก็จะเน่าเปื่อยสลายหายไป
“ถึงเวลากลับโลกชั้นล่างแล้ว”
หลินสวินไม่ได้ชักช้า หมุนตัวแล้วจากไปทันที
ตลอดทางกลับนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่หยวนชิงเหิงเคยพูดอย่างห้ามไม่อยู่
โลกยอดนิรันดร์ โลกพันจักรวาล พลังระเบียบ เผ่าจักรพรรดิอมตะ… ข้อมูลที่อยู่ในนั้น สามารถทำให้หลินสวินย่อยได้อีกนาน
‘ท่านย่าซิง’
ขณะเดียวกันนั้น กลางฟ้าเวิ้งว้างแถบหนึ่ง หยวนชิงเหิงเอ่ยพูดในใจ ‘ก่อนหน้านี้เหตุใดท่านถึงให้ข้าหยุดมือ เจ้าคนที่ชื่อหลินเต้ายวนนั่นร้ายกาจขนาดนั้นจริงหรือ’
ในห้วงนิมิตของนาง กระสวยบินสีเงินอันหนึ่งลอยผลุบโผล่ ละอองแสงราวโปรยปรายชั่วนิรันดร์ เวลานี้เสียงเมตตาสายหนึ่งดังลอยออกมาจากในนั้น
‘คุณหนู มรรควิถีบนตัวเจ้าหนุ่มนี่หาใช่คนทั่วไปจะเทียบได้ ต่อให้คุณหนูใช้ไพ่ตายออกมา จริงอยู่ว่าอาจจะจับเขาได้ แต่เกรงว่าสิ่งที่ต้องเสียไปจะมหาศาล ไม่สู้ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว อย่างไรเสียระหว่างพวกเจ้าก็ไม่ได้มีความอาฆาตแค้นอะไรกัน’
หยวนชิงเหิงอึ้งไป กล่าวว่า ‘ท่านลงมือก็ยังไม่ไหวหรือ’
เสียงเมตตานั้นเอ่ยเตือน ‘คุณหนู อย่าลืมว่าที่เจ้าเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงร่างแยกสองร่างของเจ้าหนุ่มคนนั้น มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งถึงขั้นสามารถเคี่ยวกรำจนร่างแยกสู้กับคุณหนูได้ คนเช่นนี้… ไม่ใช่จะถูกโจมตีพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ’
หยวนชิงเหิงแค่นเสียงเย็น ดวงตาคู่งามวาบแววขัดใจ กล่าวว่า ‘หากสู้สุดกำลังจริงๆ ต่อให้ร่างเดิมของเขามาเอง ข้าก็มั่นใจว่าจะจับเขาได้ แต่ท่านพูดถูก ในเมื่อไร้ความแค้น ข้าทำไปก็ไม่คุ้ม’
‘ตามความเห็นข้า ชายผู้นี้สามารถบรรลุมกุฎจักรพรรดิในทางเดินโบราณฟ้าดาราได้ ต้องไม่ใช่บุคคลชั้นยอดในความหมายทั่วไปจะเทียบชั้นได้เด็ดขาด หากมีโอกาสรั้งเขาไว้ข้างกาย ให้เจ้าได้ใช้งาน วันหน้าต้องช่วยให้คุณหนูสร้างวิชาอมตะชั้นยอดได้แน่นอน’
เสียงเมตตานั้นเอ่ยเตือน
คิ้วดำของหยวนชิงเหิงขมวดเข้าหากันน้อยๆ จมสู่การใคร่ครวญ
ครู่ใหญ่นางจึงส่ายหน้ากล่าว ‘ท่านย่าซิง คนประเภทนี้กระดูกแข็งมาก มีหรือจะยอมอยู่ใต้ผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นข้ามองเจ้าหมอนี่แล้วไม่รื่นตาเอาเสียเลย หากมีโอกาสพบกันอีกต้องต่อยเขาก่อนสักหมัด ระบายความคับแค้นก่อนค่อยว่ากัน’
ท่านย่าซิงส่งเสียงหัวเราะขื่นระลอกหนึ่ง
ในโลกยอดนิรันดร์ คุณหนูดุจดั่งไข่มุกเจิดจรัสกลางฝ่ามือของตระกูลหยวน แม้แต่เจ้าตระกูลที่เกรียงไกรทรงพลังบางส่วนเห็นเข้ายังต้องให้เกียรติสามส่วน
อาจเป็นเพราะฐานะสูงเกียรติเกินไปหน่อย ทำให้แม้ว่านางจะฉลาดหลักแหลม มรรควิถีสูงล้ำ แต่กลับไม่เคยผ่านประสบการณ์ระหกระเหินในโลกมากนัก
แต่จากการขัดเกลาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก
ถึงอย่างไรการออกมาทัศนาจรครั้งนี้ เดิมก็เพื่อขัดเกลาจิตมรรคของคุณหนู นอกจากความเป็นความตาย เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น
‘ท่านย่าซิง ต่อไปพวกเราจะไปไหนหรือ’ หยวนชิงเหิงกล่าว
‘ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ ช่วงแรกสุดเคยมีจตุโบราณสถาน อยู่อันดับต้นๆ ของโลกพันจักรวาล ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วมีบุคคลที่ครอบครองพลังแข็งแกร่งดุจดั่งตำนานบางส่วน ที่หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ก็เรียกได้ว่าแข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อ สามารถทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะสั่นกลัวได้’
ท่านย่าซิงกล่าว ‘แต่พร้อมๆ กับที่แหล่งสถานศุภโชคและแหล่งสถานอัศจรรย์หายไป แหล่งสถานคุนหลุนและแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างประสบเคราะห์ใหญ่พร้อมๆ กัน ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จึงค่อยๆ เสื่อมโทรมลง…’
ในเสียงเจือแววทอดถอนใจ
หยวนชิงเหิงกล่าว ‘จตุโบราณสถานวิเศษอัศจรรย์ขนาดนั้นจริงหรือ’
‘ไม่ใช่เพียงวิเศษอัศจรรย์’
เห็นได้ชัดว่าท่านย่าซิงล่วงรู้ความลับมากมาย ‘จะว่าไป จตุโบราณสถานนี้แต่ละแห่งล้วนเป็นสถานที่เร้นลับที่สุดในโลก แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็ยังไม่ค่อยพบเห็นสถานที่งดงามเทียบชั้นกับจตุโบราณสถานนี้ได้สักเท่าไหร่’
‘แต่ว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นอดีตนานนมมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งสถานคุนหลุนหรือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ล้วนสูญเสียพลังต้นกำเนิดที่มีแต่เดิมไป ไม่อย่างนั้นเกรงว่าป่านนี้พวกเฒ่าชราในโลกยอดนิรันดร์คงแย่งกันบุกเข้ามาแล้ว’
ท่านย่าซิงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ ‘คุณหนู ครั้งนี้ในเมื่อพวกเรามาถึงทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้ว ไม่สู้ไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กับแหล่งสถานคุนหลุนสักเที่ยว เท่าที่ข้ารู้ เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ตระกูลลั่วผู้นั้น ปีนั้นก็เคยพบความพ่ายแพ้อย่างไร้รูปครั้งใหญ่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ตรงนั้นก็คือที่ตั้งประตูภูเขาคีรีดวงกมล…’
หยวนชิงเหิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ‘คีรีดวงกมลหรือ’
‘ใช่ ก็คือคีรีดวงกมลแห่งนั้นแหละ’ ท่านย่าซิงกล่าว
นัยน์นาของหยวนชิงเหิงปรากฏแววแปลกไป ก่อนกล่าวว่า ‘เช่นนั้นต้องไปชมดูสักหน่อยจริงๆ แล้ว ข้าอยากรู้มานานแล้วว่าคีรีดวงกมลที่เร้นลับนั่นที่แท้แล้วจะแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงกับทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นมองเป็นศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้’
ขณะสนทนาเงาร่างของหยวนชิงเหิงค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป
…
โลกชั้นล่าง
นครต้องห้าม ภูเขาชำระจิต
ตั้งแต่สองกายมรรคของหลินสวินจากไป จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว
ในช่วงเวลานี้ ร่างแยกของหลินสวินต่อสู้ในสนามรบด่านจักรพรรดิ สู้กับแปดดินแดน เรียกคลื่นลมโกลาหลครั้งใหญ่ไม่รู้เท่าไหร่
และยามที่ขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งในดินแดนรกร้างโบราณถูกทำลายล้างต่อเนื่อง ทั่วหล้าล้วนสั่นสะเทือนและแตกตื่น ร่างแยกทั้งสองของหลินสวินก็กลับมาอย่างเงียบๆ
ช่วงพลบค่ำโพล้เพล้
ประกายอัสดงในภูเขาชำระจิตดุจเปลวเพลิง ละอองศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน
บนยอดเขา กายมรรคทั้งห้าของหลินสวินรวมตัวกัน ต่างแลกเปลี่ยนและหลอมรวมจิตสำนึกซึ่งกันและกัน ทำให้หลินสวินเข้าใจเรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้นในโลกชั้นล่างในช่วงครึ่งปีกว่ามานี้ได้ทันที
แต่ล้วนเป็นเรื่องเล็กไม่ควรค่าให้ใส่ใจอะไร
หลินสวินปล่อยลูกศิษย์ซูไป๋และกู้ซีออกมาจากสมบัติ และแนะนำพวกเขาให้คนอื่นๆ ในภูเขาชำระจิตได้รู้จัก
จากนั้นก็ให้ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ต่อ
ตอนนี้โลกชั้นล่างเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงชนิดไม่เคยมีมาก่อนขึ้นทุกระยะ หากฝึกปราณที่โลกชั้นล่าง ถึงขั้นยังได้ประโยชน์มากกว่าในดินแดนรกร้างโบราณเสียอีก
สำหรับเรื่องนี้ ซูไป๋และกู้ซีต่างตอบรับอย่างยินดี
และนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ซูไป๋เริ่มเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักยุทธ์ก่อเกิด รับหน้าที่ดูแลกฎ กู้ซีก็เข้าร่วมสำนักยุทธ์ก่อเกิดเช่นกัน แต่ไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นรูปธรรม หากแต่คอยติดตามอยู่ข้างกายซูไป๋ ช่วยเขาจัดแจงเรื่องยิบย่อยต่างๆ
คืนวันนั้นกายมรรคไม้เขียวของหลินสวินเคลื่อนไหว มุ่งหน้าสู่แดนลับบัวเขียว
แดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค
ร่างต้นของหลินสวินกำลังหยั่งรู้และนั่งสมาธิ
เบื้องหน้าเขา เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยอยู่ ปรากฏเพลิงหงส์ระเบียบสีม่วงพร่างพรวเจิดจรัส สลายพลังบีบคั้นของระเบียบจากฟ้าดิน
เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้ว
ทุกๆ ช่วงหนึ่งหลินสวินจะหยั่งรู้นัยเร้นลับแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคอยู่ที่นี่ และเมื่อความเข้าใจที่เขามีต่อมหามรรคทั้งปวงเริ่มหยั่งลึกไม่หยุด ก็ทำให้ความเร็วในการหยั่งถึงของเขาพุ่งทะยานต่อเนื่อง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาครอบครองกฎเกณฑ์มหามรรคชนิดใหม่ห้าร้อยกว่าชนิดแล้ว!
‘พลังแกนหลักของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคกำลังปลดปล่อยและกระจายไม่หยุด จากสภาพเช่นนี้ อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาสองสามร้อยปีกว่าพลังแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคแห่งนี้จะแห้งเหือดไปโดยสมบูรณ์’
‘น่าเสียดาย พลังมหามรรคสมบูรณ์ที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ในตอนนี้ เมื่อวันเวลาผันผ่านก็มีแต่จะน้อยลงเรื่อยๆ เท่านั้น ไม่พ้นสิบปี เกรงว่าคงหยั่งถึงพลังต้นกำเนิดมหามรรคสมบูรณ์ไม่ได้อีกแล้ว…’
ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกเร่งรัดขึ้นมาจางๆ
ต้องเร่งทำเวลาแล้ว
‘หืม?’
ทันใดนั้นหลินสวินคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หยัดตัวลุกขึ้นแล้วเก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ก่อนเดินออกมานอกแดนลับนี้
นอกแดนลับ ก็เห็นกายมรรคไม้เขียวรออยู่ตรงนั้นแล้ว
จิตดั้งเดิมของร่างต้นหลินสวินหลอมเข้ากับกายมรรคไม้เขียวทันที และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่ประสบพบเจอมาในช่วงหลายปีนี้
ครู่ใหญ่ต่อมา เขารับรากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋มาจากมือกายมรรคไม้เขียวแล้วเก็บลงไป
ตอนนี้เขารวบรวมรากปฐมจิตวิญญาณของสี่ไม้เทพอย่างชางอู๋ ฝูซาง เจี้ยนมู่ คุนอู๋ รวมถึงเจตวัตถุอย่างวารีแรกปฐม ทรายวิญญาณดาราขุ่นใส ดินปราณแรกกำเนิด ดินอัศจรรย์ห้าสีได้ครบหมดแล้ว!
นี่ก็หมายความว่า เขาในตอนนี้สามารถเริ่มหลอมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้แล้ว
ขอเพียงทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เท่ากับมีโอกาสไปหยั่งรู้กฎเกณฑ์แรกกำเนิด!
หลินสวินไม่มีทางลืมว่าตั้งแต่อดีตมาจนบัดนี้ ในประวัติศาสตร์ของทางเดินโบราณฟ้าดารา ผู้ที่สามารถหลอมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดแทบจะมีอยู่เพียงไม่กี่คน!
และหากสามารถหล่อเลี้ยงต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ ไม่เพียงจะหยั่งรู้กฎเกณฑ์แรกกำเนิดได้ ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้มรรควิถี หลอมตีกฎเกณฑ์มหามรรคทั่วร่าง ทำให้โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ปลดปล่อยพลังแรกกำเนิดที่แท้จริงออกมา!
‘ช่างเถิด รอตอนที่ข้าไม่สามารถหยั่งถึงนัยเร้นลับแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่สมบูรณ์ได้อีก ค่อยมาหลอมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิด…’
หลังใคร่ครวญเล็กน้อยหลินสวินก็ตัดสินใจ
จัดลำดับความสำคัญตามความเร่งรีบ
ภายหน้าไม่ว่าตอนไหนล้วนสามารถหลอมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้ แต่โอกาสที่จะหยั่งรู้นัยเร้นลับของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคมีเพียงแค่ครั้งเดียว และเวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว…
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงสื่อเจตจำนงสายหนึ่งออกมา ให้กายมรรคไม้เขียวมุ่งหน้าไปยังภูเขาชำระจิต ตั้งใจว่าให้เหลือกายมรรคเพียงหนึ่งเดียวดูแลภูเขาชำระจิต ส่วนกายมรรคอื่นๆ ก็มุ่งหน้ามาปิดด่านในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคด้วยกันกับร่างต้นของเขา!
——