ในท้ายที่สุด กายมรรควารีดำก็อยู่ดูแลที่ยอดเขาชำระจิต
ส่วนร่างแยกทั้งสี่อย่างไม้เขียว ทองขาว ดินเหลือง เพลิงแดงกับร่างต้นของหลินสวิน นับตั้งแต่นี้ไปได้เข้ามาปิดด่านในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค
ดอกไม้บาน วันเวลาผันผ่านรวดเร็ว
เมื่อเวลาผ่านไป ไอวิญญาณของโลกชั้นล่างก็เปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ต้นหญ้าต้นไม้ทุกต้นล้วนมีลักษณะใหม่ภายใต้การบำรุงเลี้ยงของไอวิญญาณ
ไม่รู้ว่ามีแดนลับเกิดใหม่และถ้ำสวรรค์แดนมงคงปรากฏออกมามากน้อยเท่าไร ชักนำให้ผู้ฝึกปราณเข้าแย่งชิง และทำให้เกิดพายุฝนนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงขั้นที่พื้นที่แร้นแค้นที่ประหนึ่งอยู่ห่างไกลชายขอบบางส่วน จนถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นสถานที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์!
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ อาณาเขตที่อยู่ภายใต้แดนหมื่นมรรคยังคงแผ่ขยายไม่หยุด ยืดขยายไม่สิ้น…
ในนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด ย่อมเป็นนครต้องห้ามอย่างไม่ต้องสงสัย
‘แดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรค’ แห่งนี้ ถูกมองว่าเป็นแกนกลางของไอวิญญาณฟื้นคืน แทบจะทุกช่วงระยะหนึ่งจะเกิดวาสนามรรคสะท้านโลกหนึ่งครา ทำให้โลกหล้าฮือฮา
น่าเสียดาย ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ฝึกปราณทั่วไป แม้แต่ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นในนครต้องห้ามก็ทำได้เพียงมองดูตาปริบๆ ต่อให้พวกเขาจะอิจฉาและน้ำลายหกแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าไปแย่งชิง
เหตุผลนั้นง่ายมาก วาสนามรรคสะท้านโลกเหล่านี้ล้วนถูกมองว่าเป็นของหวงแหนของสำนักยุทธ์ก่อเกิด! ใครที่คิดไปแย่งชิงก็ต้องล่วงเกินสำนักยุทธ์ก่อเกิด!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครยังจะกินดีหมีหัวใจเสือกล้าสอดมือเข้าไป
ต้องเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน!
ควรรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ผลงานการต่อสู้ทั้งหมดของหลินสวินในดินแดนรกร้างโบราณ กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ และแปดดินแดน ล้วนถูกส่งกลับมายังโลกชั้นล่างนานแล้ว และสร้างความสะท้านสะเทือนไปทั้งโลก
ถึงขั้นที่ทำให้หลินสวินครองฉายา ‘จักรพรรดิอันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณ’ เพราะเหตุนี้!
และสำนักยุทธ์ก่อเกิดที่มีหลินสวินควบคุมดูแล ย่อมไม่มีใครกล้าท้าทายแน่นอน
อันที่จริงต่อให้ไม่มีหลินสวินลงมือ ด้วยรากฐานของสำนักยุทธ์ก่อเกิดในตอนนี้ กวาดมองดูทั่วหล้าก็เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจชั้นเลิศที่สุดแล้ว
โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผู้สืบทอดที่สำนักยุทธ์ก่อเกิดรับเข้ามามีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังปรากฏอัจฉริยะมากความสามารถที่สะดุดตายิ่งยวดอีกกลุ่ม โดดเด่นเป็นผู้นำ ยากจะเทียบได้
เหมือนดังคำกล่าวประโยคนั้น อัจฉริยะบุคคลทั่วหล้า หวนคืนสู่ก่อเกิด!
และพร้อมๆ กับวันเวลาที่ผ่านไป พลังปราณของผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดก็พัฒนาขึ้นไม่หยุด สร้างบันทึกหน้าใหม่แห่งโลกไม่หยุดหย่อน
สามารถพูดได้ว่าการผงาดของสำนักยุทธ์ก่อเกิดนั้นเป็นอานุภาพที่ไม่อาจต้านได้ไปนานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นนายเหนือหัวที่แท้จริงของโลกชั้นล่าง!
สิ่งเดียวที่ทำให้สรรพชีวิตในโลกชั้นล่างรู้สึกโชคดีคือ สำนักยุทธ์ก่อเกิดเพียงยึดครองอาณาเขตในนครต้องห้ามเท่านั้น จะไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนอกนครต้องห้ามเด็ดขาด
นี่ก็ทำให้ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ มีโอกาสขยายอาณาเขตของตนและเติบใหญ่ขึ้นได้
ถึงอย่างไรแดนหมื่นมรรคในยามนี้ก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่ เทียบได้กับโลกใหญ่แห่งหนึ่งนานแล้ว
นอกจากนครต้องห้ามแล้ว โลกหล้านี้ยังมีถ้ำสวรรค์แดนมงคลและแดนลับเกิดใหม่อีกมากมาย วาสนาที่บังเกิดในนั้นก็นับไม่ถ้วน เพียงพอให้ขุมอำนาจใหญ่ใดๆ เข้าค้นหาและแย่งชิงแล้ว
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก หลินสวินไม่ใส่ในนานแล้ว
ต่อให้เป็นกายมรรควารีดำที่ดูแลอยู่บนยอดเขาชำระจิต ก็ปรากฏตัวออกมาเฉพาะยามเป็นเรื่องสำคัญมากเท่านั้น
เวลาอื่นๆ ล้วนเก็บตัว ไม่สนใจเรื่องราวในโลก
แต่ระหว่างที่ร่างต้นของหลินสวินและร่างแยกอื่นๆ กำลังปิดด่าน กายมรรควารีดำก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ อนุมานสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเช่นกัน
กล่องสำริดที่ถูกผนึกเป็นชั้นๆ ใบหนึ่ง
นี่เป็นกล่องที่เสวียนซั่งเฉินหัวหน้าตระกูลเสวียนได้มาจากท่านลู่ และส่งมอบให้หลินสวิน
ตามที่ท่านลู่กล่าว ในกล่องนี้มีสิ่งที่เหมือนกับสมบัติที่ลั่วชิงสวินมารดาของหลินสวินทิ้งเอาไว้ ภายในหนึ่งร้อยปี ถ้าหลินสวินสามารถเปิดกล่องสำริดนี้ได้ ก็สามารถไปหาลั่วชิงสวินได้
หากเปิดไม่ได้ในหนึ่งร้อยปี จะต้องทำลายกล่องนี้ให้สิ้นซาก!
ยามนั้นที่เขารับกล่องสำริดนี้มา หลินสวินเคยคาดเดาว่านี่น่าจะเป็นการทดสอบที่สำคัญยิ่งครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ท่านลู่จงใจกลั่นแกล้งตนเด็ดขาด
และยามนี้ผ่านไปสิบกว่าปีแล้วนับจากที่หลินสวินได้รับกล่องสำริดมา แต่การหยั่งรู้พลังผนึกบนกล่องสำริดนี้ของเขา ยังห่างจากหนึ่งส่วนอีกไกล
อันที่จริงพลังผนึกนี้ประกอบด้วยกระบวนผนึกมากกว่าหมื่นชั้น รัดพันไปมา เห็นได้ชัดว่าเป็นท่านลู่วางกระบวนด้วยตัวเอง ด้วยความเชี่ยวชาญด้านลายมรรคของหลินสวิน ยามอนุมานก็ยังรู้สึกกินแรงยิ่ง
ทว่าจากที่เขาคาดเดา ภายในร้อยปีน่าจะเพียงพอให้ตนแก้พลังผนึกบนกล่องสำริดนี้อย่างสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกับที่กายมรรควารีดำกำลังอนุมานกล่องสำริดที่ท่านลู่ทิ้งไว้ให้
แดนลับบัวเขียว
ร่างต้นของหลินสวินและร่างแยกทั้งสี่กำลังเร่งทำเวลาหยั่งรู้นัยเร้นลับของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค
หนึ่งปี
สามปี
ห้าปี
…บนเขาไร้ซึ่งประวัติศาสตร์ ในความหนาวเหน็บไม่รู้เดือนปี[1] สำหรับผู้ฝึกปราณ ยามปิดด่านเวลาผันผ่านรวดเร็วเหมือนชั่วดีดนิ้ว
จนกระทั่งปีที่เก้านับตั้งแต่กายมรรควารีดำและกายมรรคเพลิงแดงของหลินสวินกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ และห็เป็นปีที่สิบสามที่ร่างต้นของหลินสวินปิดด่านหยั่งรู้
ในวันนี้
แดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค หลินสวินกับร่างแยกทั้งสี่ล้วนทยอยตื่นจากการหยั่งรู้ ต่างฝ่ายต่างสบตากัน และเผยสีหน้าผิดหวังออกมา
เดิมทีจากการคาดเดาของเขาเมื่อปีนั้น อย่างน้อยยังสามารถหยั่งรู้ได้อีกสิบปี แต่ใครเลยจะคาดว่าในเก้าปีที่ผ่านมานี้ ในพลังแกนกลางของแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค ไม่มีนัยเร้นลับต้นกำเนิดมหามรรคที่สมบูรณ์อีกแล้ว ที่เหลืออยู่แทบทั้งหมดล้วนเป็นมหามรรคที่บกพร่อง
มหามรรคที่บกพร่องเช่นนี้ ต่อให้หยั่งรู้ไป การหยั่งถึงที่ได้รับก็มีจำกัด ถึงขั้นไม่อาจเคี่ยวกรำไปจนถึงขั้นสมบูรณ์ได้
“ช่างเถอะ ก็ได้เวลาจากไปแล้ว”
ร่างต้นของหลินสวินยืนขึ้น
สวบๆๆ… ร่างแยกทั้งสี่ก็รวมเข้าไปในร่างต้นของเขาทันที
หลินสวินเก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแล้วหมุนตัวจากไป
ร่างต้นของเขาปิดด่านที่นี่สิบสามปี ร่างแยกทั้งสี่ร่างก็ผิดด่านอยู่ด้วยกันเก้าปี จนถึงตอนนี้กฎเกณฑ์มหามรรคใหม่ที่เขาครอบครองมีห้าพันกว่าชนิดแล้ว
ดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่กฎเกณฑ์มหามรรคห้าพันกว่าชนิดนี้มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน บางชนิดเรียกได้ว่าเล็กมาก บางชนิดเรียกได้ว่าเป็นยิ่งใหญ่
ต่อให้ในหมู่ขนาดใหญ่ หรือใหมู่ขนาดเล็ก ต่างก็มีความแตกต่างไม่เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร นัยเร้นลับมหามรรคเหล่านี้ล้วนเป็นแก่นแท้ส่วนหนึ่งของการก่อเกิดฟ้าดินสรรพสิ่ง เมื่อสั่งสมเข้าด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องมีเวลาที่เกิดการแปรสภาพ
เช่นในยามแจ้งมรรคย้อนบรรพ์ กฎเกณฑ์มหามรรคที่สั่งสมเหล่านี้ ก็สามารถกลายเป็นทุนทรัพย์อย่างหนึ่งของการแจ้งมรรคที่หนาแน่นหาที่เปรียบไม่ได้!
อันที่จริงกวาดมองดูทั่วหล้าฟ้าดาราในยามนี้ ในรุ่นเดียวกันเกรงว่าจะหาคนมาเทียบกับหลินสวินในด้านจำนวนมหามรรคที่ครอบครองไม่ได้
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นมหามรรคถึงห้าพันกว่าชนิด ไม่มีชนิดใดไม่สมบูรณ์ ไม่มีชนิดใดที่อนุมานไม่ถึงนัยเร้นลับแก่นแท้และดั้งเดิม!
แค่จุดนี้ก็สะเทือนอดีตปัจจุบันได้แล้ว
‘ในกระดานหมากหมื่นมรรคที่เฒ่าประลองหมากมอบให้ก็ประทับกลิ่นอายต้นกำเนิดหมื่นมรรคอยู่ด้วย ภายหน้ายามหยั่งรู้ไม่หยุด สามารถสัมผัสถึงนัยเร้นลับมหามรรคดั้งเดิมที่มากขึ้นได้…’
ระหว่างออกจากแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค หลินสวินสองมือไพล่หลัง ทะยานผ่านแดนลับต่างๆ พลางใคร่ครวญไปด้วย
‘ต่อไปก็สามารถควบรวมต้นอ่อนของต้นแรกกำเนิดได้แล้ว…’
ขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญก็มาถึงแดนลับที่เจ้าคางคกปิดด่านอยู่
หลายปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดอาหลู่ก็ได้ต้อนรับจุดเปลี่ยนทะลวงระดับแล้ว และบรรลุจักรพรรดิในคราวเดียว อีกทั้งในการเคี่ยวกรำของด่านมหาเคราะห์บรรลุจักรพรรดิ ได้ปลุกพลังแห่งพรสวรรค์สายเลือดที่อยู่ในร่างขึ้นมา พลังกายเปลี่ยนเป็นวิปริตหาใดเปรียบ ในรุ่นเดียวกันยากจะเป็นคู่ต่อสู้ได้
มีเพียงเจ้าคางคกที่หลายปีมานี้ยังไม่มีสัญญาณจะทะลวงระดับ
“พี่ใหญ่”
เมื่อหลินสวินมาหา เจ้าคางคกที่ปิดด่านอยู่ก็สัมผัสได้ในทันที อดทอดถอนใจพูดอย่างหดหู่ไม่ได้ว่า “ยังไม่ได้ ข้าสัมผัสถึงจุดเปลี่ยนของการแจ้งจักรพรรดิไม่ได้สักนิด”
พลังปราณของเขาถึงขั้นสัมบูรณ์ของระดับกึ่งจักรพรรดินานแล้ว แต่กลับล่าช้าไม่อาจหาจุดเปลี่ยนบรรลุจักรพรรดิได้ ครั้นหันมองพวกอาหลู่ เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน อาหู ต่างกลายเป็นจักรพรรดิไปนานแล้ว ทำให้จิตใจอดหดหู่เซื่องซึมไม่ได้
“รีบอะไร ยิ่งตกตะกอนนาน วิชามรรคที่สร้างยามบรรลุจักรพรรดิก็ยิ่งใหญ่”
หลินสวินตบไหล่เจ้าคางคกเบาๆ ยิ้มกล่าว “เจ้าอย่าลืมสิ ตอนพวกเราพบกันครั้งแรกเจ้าเคยบอกว่าเจ้าคือบุคคลที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในโลกหล้า บิดาของเจ้าถึงได้ตั้งชื่อให้ว่าจินตู๋อี ในเมื่อเป็นหนึ่งไม่มีสอง เช่นนั้นจุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิย่อมต้องไม่เหมือนกับคนอื่นๆ”
เจ้าคางคกยิ้มหยัน “พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก ดีชั่วอย่างไรข้าก็พบเห็นคลื่นลมมามาก มีหรือจะไม่รู้เรื่องการฝึกปราณ ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าต้องรอกี่ปี และไม่ว่าต้องพบเจออะไร การบรรลุจักรพรรดินี้ข้าก็จะไม่ตัดใจเด็ดขาด”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ แล้วถาม “เช่นนั้นเจ้าจะฝึกปราณที่นี่ต่อหรือจะออกไป”
“ออกไป!”
เจ้าคางคกกล่าวอย่างไม่ลังเล “แค่การปิดด่านอย่างเดียวรู้สึกว่าไม่พอ ข้าตั้งใจว่าจะจากไปเพียงลำพัง ท่องเที่ยวในโลกภายนอกสักครา บางทีอาจสามารถหาจุดเปลี่ยนบรรลุจักรพรรดิเจอก็ได้”
“เช่นนี้ก็ดี”
ดังนั้นหลินสวินกับเจ้าคางคกจึงจากมาพร้อมกัน
ระหว่างทางหลินสวินเรียกพวกอาหู อาหลู่ เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนที่กำลังเสาะหาวาสนาในแดนลับต่างๆ ออกมา และออกจากแดนลับบัวเขียวไปด้วยกัน
ยอดเขาชำระจิต
หลินสวินจัดงานเลี้ยง ดื่มกินและพูดคุยกับพวกเจ้าคางคก พร้อมทั้งเอ่ยแผนการของตนออกมา
หลังจากควบรวมต้นอ่อนของต้นแรกกำเนิดได้แล้ว เขาจะไปจากโลกชั้นล่างและกลับไปแหล่งสถานคุนหลุนอีกครั้ง ภายหน้า… เป็นไปได้มากว่าจะไม่กลับมาในช่วงระยะเวลายาวนาน
หลังจากพูดเรื่องของตัวเองแล้ว หลินสวินก็ถามถึงแผนการของพวกเจ้าคางคกแต่ละคน
“ข้าจะออกไปท่องโลกภายนอกเพื่อค้นหาจุดเปลี่ยนบรรลุจักรพรรดิ” นี่คือแผนการของเจ้าคางคก หลินสวินรู้อยู่ก่อนแล้ว
สายตาเขามองไปยังพวกอาหู
“ข้าแล้วแต่อาจารย์อาเล็ก”
อาหูยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ตัวคนเดียว”
“ข้าก็เช่นกัฯ”
เสี่ยวอิ๋นตอบโดยไม่ต้องคิด
“ข้าก็เหมือนเสี่ยวอิ๋น” เสี่ยวเทียนยังคงมีท่าทางเหมือนเด็กสาวเขินอาย ดวงตาโตฉ่ำชื้น เสียงพูดแผ่วบาง อ่อนโยนราวกับสายน้ำ”
“ข้า…”
ไม่รออาหลู่เอ่ยปาก หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าก็เหมือนกับพวกเขา”
อาหลู่เกาหัวพลางหัวเราะแฮะๆ
“เช่นนี้แล้วกัน พวกเจ้าก็อยู่ที่โลกชั้นล่างก่อนชั่วคราว”
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ในการแปรเปลี่ยนของไอวิญญาณฟื้นคืน ไม่ช้าก็เร็วโลกชั้นล่างจะกลายสภาพเป็นโลกที่มหัศจรรย์เทียบได้กับแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิง พวกเจ้าฝึกปราณที่นี่ กลับจะสามารถได้รับโอกาสทะลวงปราณมากกว่าระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ ถ้าตามข้าจากไปจะเป็นผลเสียมากกว่าดี”
ได้ยินดังนี้อาหูก็ไม่ได้ค้านอะไร หรือควรพูดว่า นางคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าหลินสวินจะจัดการเช่นนี้ จึงพยักหน้ารับน้อยๆ
……………………….
[1] บนเขาไร้ซึ่งประวัติศาสตร์ ในความหนาวเหน็บไม่รู้เดือนปี หมายถึง ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้ไม่รู้วันเวลาและเรื่องราวใดๆ