หยวนชิงเหิงกำลังดื่มชา ท่วงท่าสงบนิ่ง
ปฏิกิริยาของหลินสวินเดิมก็อยู่ในความคาดหมายของนาง อันที่จริงหลังจากรู้เรื่องแดนใหญ่พันศึก คนที่ไม่เคยไปโลกยอดนิรันดร์มาก่อนล้วนรู้สึกถึงแรงกดดันไม่มากก็น้อย
บางคนถึงกับถอดใจไปเลย!
ต่อให้แข็งแกร่งเช่นบรรพจารย์จักรพรรดิก็ยังต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
ถึงอย่างไรแดนใหญ่พันศึกก็อันตรายเกินไป
ครู่หนึ่งหลินสวินก็เงยมองหยวนชิงเหิง ฝ่ายหลังวางถ้วยชาลงถามว่า “รู้สึกอย่างไร”
“อยากไปโลกยอดนิรันดร์ก็ต้องฝ่าแดนใหญ่พันศึกหรือ” หลินสวินกล่าว
หยวนชิงเหิงเอ่ย “ถ้ามีพลังปราณเหนือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ สำหรับพวกเขาแล้วการจะฝ่าแดนใหญ่พันศึกก็เป็นเรื่องง่าย”
“การทดสอบนี้เป็นใครกำหนด” หลินสวินถาม
หยวนชิงเหิงอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะถามคำถามเช่นนี้ นางนิ่งคิดแล้วถึงตอบว่า “ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้”
หลินสวินเอ่ยขึ้นว่า “ด้วยกำลังของยักษ์ใหญ่เหล่านั้นในโลกยอดนิรันดร์ สามารถเอาชนะแดนใหญ่พันศึกนี้ได้หรือไม่”
หยวนชิงเหิงอึ้งไปอีกครา เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว
กลับพบว่าหลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่สมมติดู ถ้ากำจัดแดนใหญ่พันศึกนี้ไปก็เท่ากับไม่มีกำแพงกั้น เช่นนี้แล้วไม่ว่าใครต่างสามารถไปยังโลกยอดนิรันดร์ได้โดยอิสระไม่ใช่หรือ”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร”
นัยน์ตาของของหยวนชิงเหิงหดรัด “ถ้าเป็นเช่นนั้น เกรงว่าขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ในโลกยอดนิรันดร์คงถูกจักรวาลมิติอื่นๆ ในโลกพันจักรวาลท้ารบ ต้องเกิดหายนะนับไม่ถ้วนเพราะเหตุนี้ ถึงตอนนั้นกลัวว่าโลกยอดนิรันดร์จะต้องโกลาหลครั้งใหญ่”
หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องที่เจ้าพูดมา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แดนใหญ่พันศึกจึงกลายเป็นธรณีประตูตามธรรมชาติอย่างหนึ่งขวางไม่ให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก้าวย่างเข้าไป ขณะเดียวกันก็เท่ากับสกัดกั้นหายนะมากมายให้กับขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ในโลกยอดนิรันดร์”
หยวนชิงเหิงอึ้งงัน จมสู่ความเงียบ
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้เลย
“ตั้งธรณีประตูไว้จุดหนึ่ง ยับยั้งภยันตรายที่หมายจะบุกเข้ามายึดผลประโยชน์ที่ตนมี นี่อาจเป็นคุณค่าที่แท้จริงของแดนใหญ่พันศึกก็เป็นได้”
หลินสวินเอ่ยคล้ายขบคิด “ใครคิดทำลายธรณีประตูนี้ บางทีอาจเท่ากับเป็นศัตรูของทั้งโลกยอดนิรันดร์ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่แดนใหญ่พันศึกยังสามารถดำรงมาได้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน”
หยวนชิงเหิงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง จากความคิดของเจ้าแล้ว ควรจะมีพลังเช่นไรถึงจะทำลายธรณีประตูนี้ได้”
หลินสวินกล่าว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่บังอาจลองคาดเดา แต่อย่างน้อย… ก็คงมีพลังที่สามารถต้านทานกับทั้งโลกยอดนิรันดร์ได้กระมัง”
หยวนชิงเหิงพลันยิ้มขึ้นทันที “สหายยุทธ์ บนโลกนี้ไม่เคยมีใครสามารถต้านทั้งโลกยอดนิรันดร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เรื่องนี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้น”
ล้อเล่นอะไรกัน
โลกยอดนิรันดร์เหนือล้ำกว่าโลกพันจักรวาล ถูกมองเป็นแดนแห่งอมตะนิรันดร์ มีเผ่าจักรพรรดิอมตะกระจายตัวอยู่ไม่รู้เท่าไร
และเหนือเผ่าจักรพรรดิอมตะ ยิ่งมีเผ่าเทพนิรันดร์ปกครอง!
ใครจะไปต้านทานได้
หากมีคนเช่นนี้จริง โลกยอดนิรันดร์มีหรือจะถูกเรียกว่า ‘นิรันดร์’
ดังนั้นในความคิดของหยวนชิงเหิง คำพูดนี้ของหลินสวินเดิมทีก็เป็นการสมมติอันไร้สาระยิ่งนัก ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้
หลินสวินยิ้มบางๆ ไม่พูดเรื่องนี้อีก เมื่อก่อนไม่มี ภายหน้า… ก็จะไม่มีหรือ
ไม่แน่เสมอไป!
“เอาล่ะ ชาก็ดื่มแล้ว ได้คุยกันแล้วด้วย ข้าควรไปได้แล้ว”
หยวนชิงเหิงลุกขึ้น ชุดกระโปรงเขียวไหวกระเพื่อม เรือนร่างอ้อนแอ้นเดี๋ยวเห็นชัดเดี๋ยวเลือนลางท่ามกลางทะเลเมฆถาโถม เพิ่มความงดงามอัศจรรย์
หลินสวินลุกขึ้นเอ่ยว่า “จะจากไปเร็วเพียงนี้เชียวหรือ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องอยากให้แม่นางชี้แนะ…”
หยวนชิงเหิงแค่นหัวเราะเบาๆ “สิ่งที่เจ้าอยากรู้ล้วนอยู่ที่โลกยอดนิรันดร์ ทำไมไม่ไปดูเองเล่า ข้าจะไม่ติดกับบอกข้อมูลให้เจ้ารู้อีกแล้ว”
หลินสวินยิ้มจางๆ กุมหมัดคารวะ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าคนแซ่หลินก็ขออวยพรให้แม่นางเดินทางโดยสวัสดิภาพ กลับบ้านอย่างปลอดภัย”
หยวนชิงเหิงคิดเล็กน้อยแล้วก็โยนถุงหอมสีเขียวอ่อนที่พกติดตัวใบหนึ่งให้หลินสวิน “ในถุงหอมนี้เลี้ยงนกกระจอกเขียวไว้ตัวหนึ่ง รู้เรื่องต่างๆ ในแดนใหญ่พันศึก ให้เจ้าแล้วกัน”
หลินสวินถือไว้มือ บนถุงหอมปักอักษร ‘หยวน’ โบราณที่แปลกประหลาดไว้ตัวหนึ่ง ถืออยู่ในมือแล้วเบาเหมือนขนนก มีกลิ่นหอมซึมซามถึงใจคนแผ่กระจายออกมา
“เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่นางแล้ว”
หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ ภายหน้าเขาก็ต้องไปฟากฝั่งฟ้าดาราสักครั้งอยู่แล้ว หากมีสมบัติเช่นนี้ช่วยเหลือ ย่อมลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
หยวนชิงเหิงลังเลครู่หนึ่ง ยังคงพูดว่า “ถุงหอมนี้เป็นสิ่งที่ท่านย่าข้าปักขึ้นเองกับมือ เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดี ภายหน้าหากได้พบกันที่โลกยอดนิรันดร์จริงๆ จะต้องเอามาคืนข้า”
หลินสวินอึ้งไป
กลับพบว่าหยวนชิงเหิงหันตัวทะยานออกไปบนทะเลเมฆกลางอากาศแล้ว ประหนึ่งรุ้งเทพสีเขียวสายหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็ไม่พบร่องรอยเสียแล้ว
มีเพียงถุงหอมในมือที่ยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวล
สักพักหลินสวินก็เก็บถุงหอมไว้ ในใจพอจะเดาได้ว่า เกรงว่าที่อีกฝ่ายมาคราวนี้คงเพราะอยากให้ตนไปโลกยอดนิรันดร์แห่งนั้นดูสักครั้ง
ทว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องทำเช่นนี้ นี่กลับทำให้หลินสวินไม่แน่ใจนัก
“มอบถุงหอมให้ก่อนลา คนงามจากไปแล้ว อาจารย์อาเล็กกลับนิ่งเหม่อ หรือจะรับไมตรีจากโฉมตรูได้ยาก”
ไกลออกไปอาหูเดินมาตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบได้ เม้มปากอมยิ้ม ดวงตาเปล่งปลั่งสุกสกาวทั้งสองยิ้มหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยว
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “ข้ากับนางเกือบกลายเป็นศัตรูกัน จะไปคิดเป็นอื่นได้อย่างไร”
อาหูร้องอ๋อยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยขาดเรื่องทั้งรักทั้งฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางผู้นั้นงดงามดุจกล้วยไม้ สง่างามเหนือเซียน ที่หาได้ยากก็คือมีความสูงส่งจากภายใน ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้มีชาติกำเนิดธรรมดา ชายใดพบเข้าจะไม่ชอบได้หรือ อาจารย์อาเล็กถูกดึงดูด… ก็ปกติน่า”
หลินสวินถลึงตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ “หาเรื่องส่งเดช อีกอย่าง ข้าไม่ใช่เคยพูดไว้หรือว่าอย่าเรียกข้าว่าอาจารย์อาเล็ก”
อาหูหัวเราะคิกคัก เสียงไพเราะกังวาน
ถ้าว่ากันด้วยรูปโฉม ความจริงแล้วอาหูย่อมไม่ด้อยไปกว่าหยวนชิงเหิง นางมีทั้งความงามดุจเซียน ความเย้ายวนดุจมาร ยามนี้เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของนาง สยบชายหนุ่มในสำนักยุทธ์ก่อเกิดให้ตกลงไปในห้วงรักอย่างคลั่งไคล้จนถอนตัวไม่ขึ้นไปไม่รู้เท่าไร
กระทั่งว่าขนาดเฒ่าชราบางคนยังต้านทานไม่ได้ ไม่กล้าสบตาอาหูตรงๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกชักนำให้จิตมรรคปั่นป่วน
ยังดีที่ปกติอาหูไม่ค่อยพบปะผู้คน เรื่องนี้จึงไม่ถึงกับส่งผลกระทบต่อทั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิด
หาไม่ด้วยความงามของนาง สามารล่มเมืองได้โดยสิ้นเชิง
“อาหู อยากให้อาจารย์อาเล็กหาคู่บำเพ็ญให้เจ้าหรือไม่” จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยขึ้น
อาหูกะพริบตาเปี่ยมเสน่ห์ “เอาสิ ข้าไม่เรื่องมาก ขอเพียงพอจะเทียบกับอาจารย์อาเล็กไหวก็พอ”
หลินสวินครุ่นคิดจริงจังแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ออกจะยากเสียหน่อย แต่ในโลกยอดนิรันดร์แห่งนั้นคงมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่”
อาหูนิ่งไป “ท่านจะเอาจริงหรือ”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “เรื่องของเจ้าข้าไม่กล้าทำส่งๆ หรอก”
อาหูกลอกตายกใหญ่ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านคิดดูก่อนเถอะว่าจะจัดการแม่นางจิ่งเซวียนกับแม่นางซย่าจื้ออย่างไร! อ้อจริงสิ ตอนนี้มีแม่นางที่มอบถุงหอมเพิ่มมาอีกคน ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าอาจารย์อาเล็กจะเก่งกล้าสามารถปานไหน จะวางตำแหน่งพวกนางแต่ละคนอย่างเหมาะสมได้หรือไม่”
หลินสวิน “…”
ขณะที่กำลังจะพูดอะไรอีก อาหูก็ยิ้มละไมหันหลังจากไปแล้ว
หลินสวินยิ้มพลางส่ายหัว หมุนตัวกลับไปที่พัก
……
เวลาผ่านไปไวดุจกระสวย ผ่านไปอีกสามปีอย่างรวดเร็ว
วันนี้ ในโลกต้นกำเนิดแห่งหนึ่งในแดนลับบัวเขียว
โครม!
เสียงกระหึ่มประหนึ่งฟ้าดินแรกอุบัติเสียงหนึ่งดังขึ้น ฟ้าดินต่างสั่นสะเทือนรุนแรง สรรพสิ่งไหวคลอนตามไปด้วย
เงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งยืนกลางอากาศอยู่ไกลลิบ
เบื้องหลังเขาเหมือนมีเงาต้นไม้เทพต้นหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ ลำต้นเทียมฟ้า กิ่งก้านบดบังฟ้าดิน ด้านบนเชื่อมต่อไปถึงห้วงฟ้า ด้านล่างผ่านทะลุใต้ดิน แสงเทพมากมายไหลลู่ประหนึ่งแรกกำเนิด สะท้อนหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า!
และหลินสวินที่อยู่หน้าต้นไม้เทพ ก็เป็นดั่งเทพเทวาหนึ่งเดียวที่ยืนตระหง่านอยู่กลางหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า!
เสียงดังสนั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดินก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุดนี้
ครู่ใหญ่เงาต้นไม้เทพก็หายลับไป ฟ้าดินคืนสู่ความเงียบสงัด
หลินสวินที่ยืนอยู่กลางอากาศเผยสีหน้าปรีดา
สำเร็จแล้ว!
หลังจากจดจ่อหลอมรวมมาสี่ปี ในที่สุดเขาก็หลอมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้สำเร็จ!
ยามนี้ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขามีต้นไม้น้อยสีเขียวมรกตต้นหนึ่งหยั่งรากลง ณ ใจกลางโลก เพิ่งสูงหนึ่งฉื่อกว่าเท่านั้น ลำต้นหนาเท่าแขนทารก บนกิ่งก้านมีเพียงใบอ่อนสีเขียวเหมือนหยก เปล่งปลั่งกระจ่างใสพ่วงอยู่ประปราย
แต่ทั้งต้นไม้น้อยนี้กลับอบอวลด้วยไอแรกกำเนิดอันถาโถม ตัดสลับเป็นพลังกฎเกณฑ์อันน่าพิศวงและคลุมเครือ ไหลหลั่งพลิ้วลอย
เมื่อมีต้นไม้น้อยนี้อยู่ ภูผาธาราทะเลสาบท้องทะเล สุริยันจันทราดารา ต้นไม้ใบหญ้าทั้งโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์… ล้วนเปล่งคลื่นอัศจรรย์ออกมาราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ
นี่ก็คือต้นกล้าของต้นแรกกำเนิด!
ควบรวมขึ้นจากรากปฐมจิตวิญญาณไม้เทพทั้งสี่ รวมกับเจตวัตถุหายากอย่างพวกดินอัศจรรย์ห้าสี ดินปราณแรกกำเนิด
มันเป็นวัตถุเทพที่เรียกได้ว่าหายากยิ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นสมบัติล้ำค่าที่ทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิยังเฝ้าฝันหมายปองมาแต่กาลก่อนจนตอนนี้ ทว่ากวาดตามองไปหมื่นกาล มองหาทั้งฟ้าดารา คนที่สามารถควบรวมวัตถุเทพเช่นนี้ขึ้นมาได้ก็มีเพียงไม่กี่คน!
หากครอบครองมัน ก็เท่ากับได้ครอบครองโอกาสหยั่งรู้กฎเกณฑ์แรกกำเนิด พอกล้าอ่อนนี้เติบใหญ่ ก็จะมีกฎเกณฑ์แรกกำเนิดปรากฏมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือ ต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดยังมีคุณประโยชน์ยิ่งต่อการสร้างเสถียรภาพให้มรรควิถีและการหลอมมหามรรค
เมื่อพลังปราณเพิ่มสูง ต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดก็จะเติบโตตามไป และกลิ่นอายแรกกำเนิดที่มันแปรสภาพออกมายามเติบใหญ่ก็สามารถคืนสู่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงส่งผลให้มรรควิถีของทั้งตัวหลินสวินได้รับการยกระดับ!
นี่เป็นประโยชน์ที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะยามต้นแรกกำเนิดเติบใหญ่ขึ้นจริงๆ ถึงกับทำให้โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของหลินสวินเริ่มมีรากฐานแรกกำเนิด ก่อเกิดหมื่นวิญญาณได้
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินตั้งตาคอยที่สุด ก็คือกฎเกณฑ์แรกกำเนิดอันสมบูรณ์ชนิดหนึ่ง!
“สี่ปี จากเมล็ดเป็นต้นอ่อน กระทั่งแปรสภาพเป็นต้นกล้า ในที่สุดต้นไม้นี้กับมรรควีถีของข้าก็หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่บดบังฟ้าดิน!”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาลุ่มลึก “และตอนนี้ ก็ถึงเวลาจากไปแล้ว…”
——