หลินสวินที่เดิมต้องการออกเดินทางหลังจากควบรวมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้ กลับถูกเรื่องยินดีที่ไม่คาดฝันมาขัดขวางไว้
ก็ในวันนั้นเอง พื้นผิวรังมังกรสีทองปรากฏรอยแตก!
เปรี๊ยะ… เปรี๊ยะ…
เมื่อหลินสวินเอารังมังกรสีทองออกมาอย่างระมัดระวัง ก็ได้ยินเสียงแตกกรอบแกรบแผ่วเบาระลอกหนึ่งดังขึ้น เศษเสี้ยวลายมรรคแปลกประหลาดชิ้นแล้วชิ้นเล่าเริ่มร่วงพรูลงมา
หลังจากเศษทุกชิ้นร่วงลงมาก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับหิมะละลาย
ทว่าหลินสวินไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
มือทั้งสองของเขากำแน่น
ตัวแข็งทื่อ
ดวงตาเบิกกว้าง จ้องรังมังกรสีทองที่แปรสภาพไม่หยุดนั้นเขม็ง
สภาวะจิตที่ในอดีตมั่นคงดั่งหินผา ขนาดเผชิญหน้ากับความเป็นความตายยังเยือกเย็นราบเรียบ ไหวหวั่นอย่างรุนแรงในตอนนี้
ความรู้สึกกังวล ตื่นเต้น กระสับกระส่ายอย่างไม่เคยประสบมาก่อนก็โหมพัดขึ้นในอกราวกับพายุที่จู่ๆ ก็อุบัติขึ้น ทำให้ตัวเขาเหมือนคันธนูที่ถูกขึงจนตึง
เปรี๊ยะ… เปรี๊ยะ…
เสียงแตกแผ่วเบายังดังอยู่ เวลาเหมือนถูกยืดยาวออกไปให้เชื่องช้าหาใดเทียบ
ในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นร่างงามอันคุ้นตานั้น
ท่ามกลางแสงเทพสีทองที่นุ่มนวลและงดงาม นางนอนนิ่งๆ เช่นนั้น เส้นผมดั่งน้ำตกสยายออก ใบหน้าขาวสะอาดแจ่มกระจ่างเจือประกายแสงงดงามสงบนิ่ง
จ้าวจิ่งเซวียน!
ผ่านไปหลายปี เมื่อได้พบหญิงสาวที่เขาพึงใจผู้นี้อีกครั้ง หลินสวินรู้สึกเพียงว่าหัวใจจะหยุดเต้น ความรู้สึกปั่นป่วนยุ่งเหยิงไม่อาจหยุดลงได้สักนิด
เดิมทีหลินสวินอ้าปากจะเอื้อนเอ่ย แต่ครู่ต่อมาก็นิ่งไป
ราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ทั้งตัวเหม่อลอย ดวงตาจ้องเขม็งในอ้อมแขนของจ้าวจิ่งเซวียน
ตรงนั้นมีเด็กทารกตัวเปล่าเปลือยคนหนึ่งกำลังคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวจิ่งเซวียน ดวงตาโตสีดำสนิทใสกระจ่างทั้งสองข้างเบิกกว้าง มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
เท้าน้อยๆ ขาวผ่องทั้งคู่ของเขาขดคู้อยู่ แม้จะเป็นเด็กทารกที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นบนโลก แต่หว่างคิ้วก็เปี่ยมกลิ่นอายงามสง่าแล้ว โดยเฉพาะดวงตาทั้งสอง เหมือนจ้าวจิ่งเซวียนมารดาของเขายิ่งนัก
ส่วนสันจมูกน้อยโด่งๆ ของเขา ปากเล็กที่เม้มน้อยๆ อยู่นั้นละม้ายกับหลินสวินมาก
ตูม!
หลินสวินเพียงรู้สึกคล้ายสมองจะระเบิด สั่นสะท้านไปทั้งตัว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าตัวจ้อยนี่คือลูกชายที่ทำให้ตนตั้งตาคอย ทั้งยังตื่นเต้นกระวนกระวายมานานปี
แต่หลินสวินคิดไม่ถึงสักนิดว่าช่วงเวลานี้จะมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ ไม่ทันได้ตั้งตัวขนาดนี้ เล่นเอาเขาไม่ได้เตรียมการรับมือไว้สักนิด
ชั่วขณะหนึ่งจึงชะงักงันอยู่ตรงนั้น
“อ้อแอ้ๆ” เสียงอ่อนเยาว์ระลอกหนึ่งดังขึ้น ดูแหลมเล็กนัก แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลัง
ขณะเดียวกันเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ดูท่านพ่อโง่งมของเจ้าสิ พูดไม่เป็นเสียแล้ว”
ในที่สุดหลินสวินก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา เขาสูดหายใจเข้าออกลึกๆ สองสามครั้งถึงค่อยเห็นว่ารังมังกรสีทองสลายไปแล้ว จ้าวจิ่งเซวียนยืนขึ้นมาแล้ว
นางสวมชุดหยกลายเมฆโปร่งสบายและงามสง่า ผมดำดั่งสีหมึกมัดไว้ลวกๆ ด้วยเชือกแดงเส้นหนึ่ง เรือนร่างสูงอรชรมีเสน่ห์นุ่มนวลเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมาสามส่วน แขนเรียวยาวทั้งสองข้างขาวผุดผ่องเปล่งปลั่ง อุ้มบุตรชายไว้ในมือเบาๆ
ยามเนตรกระจ่างมองดูหลินสวิน ล้วนเต็มไปด้วยแววอ่อนโยนหวานละมุน
ผ่านไปนานขนาดนี้ ยามตื่นมาก็ได้พบกับคนที่นางคะนึงหาในทันที นี่ทำให้ในใจนางเองก็ตื่นเต้นไม่หยุด
“จิ่งเซวียน”
หลินสวินทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวเข้าไปกอดจ้าวจิ่งเซวียนเอาไว้ แต่ก็กังวลถึงทารกในอ้อมแขน ถึงขั้นว่าอ้อมกอดนี้กอดอย่างระมัดระวังอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้
จ้าวจิ่งเซวียนหลุดขำ หลุบตามองดูทารกน้อยแล้วเอ่ยว่า “เรียกท่านพ่อสิ”
“ท่านพ่อ”
ดวงตาดำของทารกน้อยจดจ้อง ร้องเรียกเสียงใส
หลินสวินอึ้งไปทันที คำพูดยังติดขัดแล้ว “ขะ เขา… เขาเพิ่งเกิดก็พูดได้แล้วหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ เจือความภูมิใจอันมีเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นแม่ “เจ้าก็ไม่ดูบ้างว่าเป็นลูกใคร จะไปเทียบกับคนธรรมดาได้อย่างไร”
ในสายตาของมารดา ลูกของตนดีที่สุดในโลกเสมอ
หลินสวินยิ้มพลางยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าบอบบางอ่อนนิ่มนั้นอย่างระมัดระวัง ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าพูดถูก ยามแรกกำเนิดของข้า ข้าก็จำสิ่งที่ได้รู้และสัมผัสในรังมังกรสีทองนั่นในช่วงหลายปีมานี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว”
เด็กทารกเอ่ยเสียงใส “แม้ข้ากับท่านแม่ไม่ได้ตื่นขึ้นมา แต่ใช้จิตสำนึกพูดคุยกันตลอด แยกแยะความลึกลับของมหามรรค ล่วงรู้ความมหัศจรรย์ของหมื่นลักษณ์ทั่วหล้าได้นานแล้ว ท่านอย่ามองข้าเป็นเด็กน้อยอีกล่ะ”
เขาเบิกตากว้างอย่างแข็งขัน เผยแววจริงจัง
เพียงแต่เขายังมีรูปลักษณ์ของเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ดี งามดั่งหยกสลัก ยามพูดจายังมีน้ำเสียงเด็กน้อย กลับดูน่ารักนัก
จิตใจหลินสวินปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง แขนทั้งสองอุ้มทารกน้อยไว้เบาๆ แล้ววางลงตรงหน้าตน โต้ตอบและสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สักพักเขาก็ต้องยอมรับ ว่าลูกที่ตนกับจิ่งเซวียนให้กำเนิดขึ้นมานี้ไม่อาจเอาสามัญสำนึกมาประเมินได้จริงๆ
พิเศษเกินไปแล้ว ในร่างอ่อนเยาว์นั้นมีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่สมบูรณ์อยู่เส้นหนึ่ง นั่นคือพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินขั้นแรก เหมือนกับที่หลินสวินมีเมื่อเขายังเด็กไม่มีผิด
ส่วนในเลือดที่หลั่งไหลอยู่ในร่างของทารกน้อย ก็มีโลหิตเจินหลงอันบริสุทธิ์หาใดเทียบประทับอยู่ มหาศาลหนักแน่น เจิดจ้าเปล่งประกาย
นี่เท่ากับว่าเพิ่งเกิดก็ถึงกับมีพลังพรสวรรค์ที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าสองชนิดแล้ว!
ขนาดเส้นเอ็นกระดูก ผิวหนัง อวัยวะตันห้ากลวงหก เส้นปราณจุดชีพจร… ต่างมีท่วงทำนองมรรคและแสงสมบัติอันลึกลับไหวเคลื่อนอยู่!
“ท่านพี่ ตอนลูกคนนี้อยู่ในครรภ์ข้าก็ได้แช่ตัวในบ่อเจินหลงของเผ่าข้าด้วยกัน หล่อเลี้ยงอยู่ในแหล่งสมบัติบรรพชนมังกร ต่อมาก็ได้รับพรสวรรค์สมบูรณ์จากเผ่าข้าอีก…”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเสียงนุ่มอยู่ข้างหนึ่ง “หลายปีมานี้ข้ามักจะใช้จิตสำนึกพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขา เล่าความลับมหามรรค หมื่นลักษณ์สรรพสิ่ง แม้เพิ่งเกิดแต่ก็ไม่อาจเทียบกับเด็กทั่วไปได้”
หลินสวินร้องอืมพลางอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกของพวกเรา ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ยังเป็นลูกของเรา”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่สัตว์ประหลาด” ทารกน้อยเอ่ยอ้อแอ้
หลินสวินยิ้ม ถูหน้าอย่างใกล้ชิดแล้วพูดว่า “จิ่งเซวียน เจ้าตั้งชื่อให้ลูกหรือยัง”
“มีแต่ชื่อเล่นว่าเป๋าเป่า” จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ย “ส่วนชื่อจริง ให้ท่านพ่ออย่างเจ้ามาตั้งจะเหมาะกว่า”
หลินสวินนิ่งคิดทันที
ในขณะเดียวกันเด็กทารกที่มีชื่อเรียกชั่วคราวว่าหลินเป๋าเป่านี้ก็ถึงกับตื่นเต้นขึ้นมา ดวงตาหมุนกลิ้งไปมา คล้ายกังวลว่าท่านพ่อจะตั้งชื่อไม่เพราะให้เขา
“เขาเกิดมาไม่ธรรมดา พรสวรรค์ล้ำเลิศ ทั้งยังชาญฉลาดเกินคนทั่วไป ในกาลเวลาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน นี่เรียกได้ว่าเป็นตัวอ่อนฝึกปราณฟ้าประทานแล้ว”
ครู่ใหญ่หลินสวินก็พึมพำว่า “แต่นี่เป็นทั้งข้อดีและความยุ่งยากของเขา ภายหน้าเมื่อเติบใหญ่ ง่ายนักที่จะทำให้นิสัยใจคอมีปัญหา”
จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไป พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เป็นลูกพวกเราเชียวนะ ขอเพียงใส่ใจสั่งสอน เขาจะเดินผิดทางได้อย่างไร”
“ท่านพ่อ ข้าจะไม่กลายเป็นคนชั่ว” หลินเป๋าเป่าก็เอ่ยเสียงใส
หลินสวินยิ้ม แต่ในใจกลับนึกถึงศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่ออย่างอดไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นถึงตัวอ่อนฝึกปราณฟ้าประทานคนหนึ่ง มีฉายาเป็นเลิศในหมื่นกาล ชาญฉลาดถึงขีดที่สุด พรสวรรค์เลิศล้ำ
แต่เส้นทางการเติบโตของศิษย์พี่สี่กลับทำให้นิสัยใจคอเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง!
หลินสวินไม่ต้องการให้ลูกของตนซ้ำรอยเขา
“เอาเถอะ ให้ข้าคิดดีๆ ก่อนค่อยตั้งชื่อให้เด็กคนนี้” หลินสวินคิดไปคิดมาก็ยังไม่แน่ใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจรอไปอีก
“ก็ดี”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า
ต่อมาสองสามีภรรยาก็พูดคุยกันเบาๆ บอกเล่าความในใจ จนกระทั่งกว่าหลินเป๋าเป่าจะหลับไปในอ้อมกอดก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว
ช่วยไม่ได้ กำลังวังชาของเด็กคนนี้ไม่เหมือนเด็กทารกทั่วไป
“ท่านพี่ หลายปีมานี้เจ้าคิดถึงข้าไหม” เนตรดาราจ้าวจิ่งเซวียนดุจสายน้ำ เจือความรู้สึกแรงกล้า เอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่มีวันไหนไม่คิดถึง” หลินสวินยิ้ม เขามองดูหลินเป๋าเป่าที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน ยิ่งดูยิ่งชอบ
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าควรจะชดเชยอะไรให้ข้าบ้างหรือเปล่า” จ้าวจิ่งเซวียนคลอเคลียเข้ามาหา ร่างอรชรเพรียวบางเปลี่ยนเป็นโอนอ่อน ลมหายใจคลอเคลีย
หลินสวินอึ้งไป เอ่ยทอดถอนใจว่า “หลายปีมานี้ผิดกับพวกเจ้าแม่ลูกจริงๆ”
ขณะที่พูดเขาก็ทอดสายตามองไปยังหลินเป๋าเป่าพลางยิ้มละไม “ตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่าความรู้สึกของการเป็นพ่อ… แตกต่างออกไปจริงๆ ด้วย…”
จู่ๆ จ้าวจิ่งเซวียนพลันแค่นหัวเราะ ยืดกายขึ้นจ้องหลินสวิน “มีลูกก็ไม่แลข้าแล้วสินะ”
หลินสวินอึ้งไป รีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าจะกล้าได้อย่างไร เพียงแต่ข้าเพิ่งได้พบลูกไม่ใช่หรือ ในใจก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะ…”
ไม่ทันพูดจบลูกน้อยในอ้อมอกก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนอุ้มไปแล้ว “ค่อยดูเขาทีหลังก็ไม่สาย ตอนนี้เจ้ามองข้าให้ดีๆ เสีย”
นางวางหลินเป๋าเป่าเข้าไปในสมบัติ จากนั้นแก้เชือกสีแดงที่รวบผมทั้งศีรษะไว้ออก เนตรดาราดุจวารีจ้องมองหลินสวิน
เทียบกับแต่ก่อนแล้ว จ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้เปล่งเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่ที่ละมุนละไม ทรวงอกอิ่มเอิบ เอวบางมือเดียวโอบรอบ ชุดหยกลายเมฆที่เรียบง่ายสง่างามบนตัวก็บดบังร่างเพรียวที่เรียกได้ว่าอรชรนั้นของนางไม่ได้แม้สักนิด
“น่ามองไหม” จ้าวจิ่งเซวียนถาม
หลินสวินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “น่ามอง เกรงว่านางเซียนบนสวรรค์ยังด้อยไปสามส่วน”
จ้าวจิ่งเซวียนแค่นหัวเราะ “พูดจาไม่จริงใจ”
หลินสวินเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจการกระทำผิดปกติของจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้อยู่บ้าง เอ่ยลองเชิญอย่างอดไม่ได้ว่า “จิ่งเซวียน เจ้าโกรธหรือ”
“ข้าจะโกรธทำไม โง่งม!” จ้าวจิ่งเซวียนค้อนเขาแรงๆ ทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะ ราวกับดอกไม้ผลิบานหลังฝน เปล่งประกายตระการตา
หลินสวินถูกหัวเราะใส่จนงงไปหมด
โง่งมอะไร
เห็นหลินสวินยังไม่เข้าใจ จ้าวจิ่งเซวียนก็ถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “ดูท่าหลายปีนี้เจ้าจะไม่คิดถึงข้าสักนิด”
หลินสวินนึกออกทันใด เหมือนดั่งหัวสมองกระจ่างแจ้ง หัวเราะยาวๆ อย่างอดไม่ได้ก่อนอุ้มจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นแล้วเดินไปไกล
“เจ้าทำอะไร” จ้าวจิ่งเซวียนลนลานอยู่บ้าง
“เจ้าว่าทำอะไรล่ะ” หลินสวินเอ่ยร้ายๆ “เจ้าไม่ใช่อยากทำอะไรสักหน่อยหรือ”
ใบหน้างามขาวสะอาดคล้ายหยกของจ้าวจิ่งเซวียนซับสีเลือดขึ้นทันที ร้อนฉ่าไปหมด ใบหน้าของนางซุกอยู่กับอกหลินสวิน ผิวพรรณราวกับหยกอุ่นกลิ่นกำจร อ่อนนุ่มหอมกรุ่น
“เจ้าสารเลว!” นางว่าแรงๆ
“ถ้าข้าไม่สารเลว ก็ต้องกลายเป็นคนโง่งมแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าตัวเองโง่งมสินะ…”
ระหว่างที่สนทนาอย่างชิดเชื้อเจือความอ่อนโยน หลินสวินก็อุ้มนางหายลับไปในขอบฟ้าแล้ว
ที่ขอบฟ้า แสงอัสดงดุจเปลวเพลิง คล้ายเขินหน้าแดงไปเช่นกัน