ครึ่งเดือนผ่านไป
หลินสวินพาจ้าวจิ่งเซวียนกับบุตรชายหลินเป๋าเป่ามาปรากฏตัวบนภูเขาชำระจิต ชั่วขณะเดียวก็ดึงดูดความสนใจจากสายตาไม่รู้เท่าไร
“ฮือๆๆ น่ารักเกินไปแล้ว!” อาหูบีบใบหน้าของเด็กน้อย ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย เสียงยังเปลี่ยนไปด้วย
“นายท่านน้อย ภายหน้าข้าเสี่ยวอิ๋นจะคุ้มครองท่านเอง!” เสี่ยวอิ๋นกอดอกยิ้มเอ่ย
เสี่ยวเทียนที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า
สิบกว่าปีผ่านไป สือหลินหลางกลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่งแล้ว แต่งกายชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน งดงามอ่อนเยาว์ ตอนนี้ยังก้าวมาข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ อุ้มหลินเป๋าเป่าไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบหน้าผากเด็กน้อยหมับๆ ไปสองครั้ง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความพะเน้าพะนอ “น้องเป่าหน้าตาดีจริง!”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
หลินเป๋าเป่าเครื่องหน้าหมดจด ได้รับข้อดีของพ่อแม่มาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครเห็นต่างชื่นชอบอย่างอดไม่ได้
แต่กลับพบว่าหลินเป๋าเป่าดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของสือหลินหลางไม่หยุด ร้องออกมาว่า “แม่นางผู้นี้ เจ้าเบียดข้าแล้วนะ”
ทุกคนอึ้งไป แววตาประหลาด
สือหลินหลางกลับหน้าแดง รีบร้อนคลายมือลงพลางส่งให้จ้าวจิ่งเซวียน แล้วพูดติดๆ ขัดๆ ว่า “น้องเป่าไม่ใช่เพิ่งเกิดหรือ แต่ทะ… ทำไมถึงพูดได้แล้ว”
หลินเป๋าเป่าเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “พูดน่ะง่ายจะตาย ข้าแยกแยะมหามรรคทั้งปวงได้ตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว เก่งกว่าเจ้าไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
ทุกคนต่างอึ้งค้าง อุทานไม่หยุด
บุตรเทพฟ้าประทานยังธรรมดาไปเลย!
เสียงตุ้บดังขึ้น จ้าวจิ่งเซวียนเขกหัวหลินเป๋าเป่า เอ่ยสั่งสอนว่า “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ทีหลังถ้ากล้าไม่เคารพอีก ระวังแม่จะจัดการเจ้า”
หลินเป๋าเป่าร้องอ้อคำหนึ่ง เอ่ยเสียงน่าสงสารว่า “พี่สาวตัวน้อย เมื่อกี้ข้าทำผิด เจ้าจะต้องอภัยให้ข้านะ หาไม่แล้วท่านแม่ของข้าจะตีข้า”
สือหลินหลางยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กอย่างเจ้าได้อย่างไร”
หลินเป๋าเป่าก็ยิ้มแล้ว
สวบ!
เจ้านกดำมาแล้ว สายตาประเมินหลินเป๋าเป่าอย่างกระตือรือร้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนู ข้าทำนายดูแล้ว เจ้ากับข้ามีวาสนา ถ้าเจ้ายินดีกราบข้าเป็นอาจารย์… เห็นหม้อดำใบนี้ไหม ภายหน้าก็จะเป็นของเจ้า!”
หลินเป๋าเป่าชำเลืองมองหม้อดำที่สะพายอยู่กับตัวเจ้านกดำใบนั้นก็กลอกตายกใหญ่ “นกเฒ่าอย่างเจ้าชั่วนัก หม้อดำนี้ให้เจ้าแบกไปเถอะ”
เจ้านกดำอารมณ์เสีย เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าหนู เจ้าได้นิสัยพ่อเจ้ามาจริงๆ!”
ทุกคนหัวเราะยกใหญ่อย่างอดไม่ได้
ไกลออกไปหลินสวินเดินมา ข้างกายมีซูไป๋กับกู้ซีตามหลัง เห็นภาพครื้นเครงกลมเกลียวนี้ก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้
ความจริงในใจยิ่งรู้สึกเสียดายเสียแล้ว
เดิมทีเขาจัดแจงทุกอย่างไว้หมดแล้ว คิดจะจากไปหลังจากควบรวมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดสำเร็จ แต่เพราะการเกิดของหลินเป๋าเป่ากลับทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน
ถึงกับ ออกจะอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไปแล้ว
……
เวลาห้าปีผ่านไปไวเหมือนดีดนิ้ว
ภูเขาชำระจิต
เด็กชายตัวน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งนอนเฉื่อยอยู่กลางพุ่มดอกไม้พุ่มหนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย สิ่งที่เป็นหมอนให้เขาก็คือเสือดำลายพร้อยท่าทางทรงพลังตัวหนึ่ง
เพียงแต่บัดนี้เสือดำที่ในอดีตดุร้ายหาใดเทียบตัวนี้กลับเชื่องเหมือนแมวน้อย แววตาถึงกับเจือแววประจบ
เด็กชายตัวน้อยมีนามว่าหลินฝาน
นามนี้ได้บิดาของเขาหลินสวินตั้งให้
เกิดมาไม่ธรรมดา แต่กลับมีนามว่าฝานที่หมายถึงธรรมดา ความจริงแล้วเรื่องนี้มีความคาดหวังของหลินสวินอยู่อย่างหนึ่ง เขาหวังว่าภายหน้าแม้เจ้าหนูน้อยจะมีความสามารถเทียมฟ้า ก็จะจำได้เสมอว่าสรรพชีวิตบนโลกเกิดมาแตกต่างกัน จะธรรมดาหรือไม่ธรรมดาล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือตนเองรับรู้ฟ้านี้ ดินนี้ สรรพชีวิตเหล่านี้อย่างไร
ธรรมดา
ชื่อนี้สามัญจริงๆ
ตัวหลินฝานเองยังต่อว่าต่อขานอยู่หลายครั้ง
ขนาดจ้าวจิ่งเซวียนกับเหล่าญาติมิตรคนอื่น พอได้รู้ชื่อที่หลินสวินตั้งให้ต่างก็อึ้งไปอย่างอดไม่ได้
เจ้าหนูที่พรสวรรค์เย้ยฟ้าปานนี้ แก่นกระดูกล้ำเลิศปานนี้ เฉลียวฉลาดหัวไวปานนี้ เรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่งในหมื่นกาล แต่ดันมีชื่อว่า ‘ฝาน’ นี่จะธรรมดาสามัญเกินไปแล้ว!
แต่หลินสวินไม่ได้เปลี่ยนใจ
ชื่อของเขาก็แปลว่าเสาะหาธรรมดาๆ แต่กลับมีความคาดหวังของลั่วชิงสวินผู้เป็นมารดาอยู่
สำหรับลูกของตน หลินสวินก็หวังให้เขารู้ว่า สำหรับคนไม่ธรรมดาอย่างเขาแล้ว คำว่า ‘ธรรมดา’ มีความหมายเช่นไร
“นายท่านน้อย เหตุใดถึงไม่ไปเล่นสนุกเล่า” เสี่ยวอิ๋นปรากฎตัวอยู่ไกลๆ
“เจ้าหมายถึงไปเล่นอะไรเด็กๆ อย่างพ่อแม่ลูกกับเด็กน้อยพวกนั้นหรือ นั่นน่าเบื่อเกินไป” หลินฝานถามเนือยๆ
เสี่ยวอิ๋นอึ้งไป “เช่นนั้นท่านอยากเล่นอะไร”
ห้าปีผ่านไป หลินฝานอายุห้าขวบแล้ว แสดงสติปัญญากับพรสวรรค์อันเหนือคาดออกมา ไม่ว่าจะเรียนอะไร เรียนนิดเดียวก็แจ่มแจ้งหมด น่าตื่นตะลึงยิ่ง ก่อให้เกิดเสียงอุทานไม่รู้เท่าไร
ให้เขาไปเล่นกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันพวกนั้น… ก็ออกจะไม่เหมาะจริงๆ
หลินฝานเอ่ย “ข้าอยากออกจากภูเขาชำระจิตแห่งนี้ไปดูว่าท้องฟ้านี้กว้างใหญ่เพียงใด ผืนดินหนาหนักเพียงไหน มหามรรคมีอยู่เท่าไร ไปดูหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า การอุบัติและเสื่อมไปในโลก ไปดู…”
เขาพูดออกมาหลายอย่างในคราวเดียว ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งพูดก็ยิ่งฝันใฝ่ ผุดลุกขึ้นมา สายตามองไปรอบๆ อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วจึงสื่อจิตเสียงเบาว่า ‘เสี่ยวอิ๋น เจ้าแอบพาข้าออกไปได้ไหม’
เสี่ยวอิ๋นรีบร้อนส่ายหัว ‘ไม่ได้ ท่านยังเด็กเกินไป’
หลินฝานโอดครวญทันที กลับไปนอนเกียจคร้านอยู่บนพุ่มดอกไม้ดังเดิม “ห้าขวบแล้วนะ ไม่เด็กแล้วจริงๆ… ตอนนี้ข้าถึงเข้าใจได้ในที่สุดว่าทำไมพ่อข้าถึงอยากตั้งชื่อข้าให้ว่าฝาน นี่เขาอยากให้ข้าใช้ชีวิตธรรมดาสินะ…”
ไกลออกไปหลินสวินเห็นภาพนี้ก็เลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “จิ่งเซวียน เจ้าว่าถ้าข้าผนึกพรสวรรค์ของเจ้าเด็กคนนี้ไว้ จากนั้นให้เขาไปเคี่ยวกรำและฝึกตนเอาเอง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างกันจิตใจหดรัด พูดว่า “ฝานเอ๋อร์เพิ่งห้าขวบเอง ดูเหมือนฉลาดเกินคน แต่ความจริงแล้วก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่ดี เจ้าทำแบบนี้จะไม่เท่ากับข่มพรสวรรค์ของเขาหรือ”
“เด็กหรือ”
หลินสวินขันอย่างอดไม่ได้ “เขาเทียบกับเด็กทั่วไปไม่ได้ มิหนำซ้ำ ข้าผนึกพรสวรรค์ของเขาก็เป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง พอเขาผ่านประสบการณ์มากเข้า การเคี่ยวกรำแต่ละครั้งก็จะปลดผนึกออกชั้นหนึ่ง ได้รับพลังที่เหมาะสมไป เช่นนี้แล้วเขาถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ว่าไม่ว่าเป็นพลังแบบไหน ไม่ว่าจะได้มาจากพรสวรรค์หรือได้มาเพราะการฝึกปราณในภายหลัง ล้วนต้องมีลักษณะที่เข้ากับเขาได้ทั้งนั้น”
“เจ้าก็รู้ว่าบนเส้นทางแห่งมหามรรคนี้ จิตใจเป็นเช่นไรจึงสำคัญที่สุด”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ จ้าวจิ่งเซวียนก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “แต่เกรงว่าฝานเอ๋อร์จะลำบากไม่น้อยเพราะเรื่องนี้”
“เจ้ากับข้าก็ไม่ใช่ลำบากมากหรอกหรือ”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอย่าดูถูกเด็กคนนี้ เกรงว่าเขาจะรู้นานแล้วว่าไม่ใช่แค่พรสวรรค์ของเขาเท่านั้น ชาติกำเนิดของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่น”
ห้าปีมานี้หลินสวินอยู่เคียงข้างจ้าวจิ่งเซวียนกับลูกมาตลอด เห็นทุกการกระทำของหลินฝานในช่วงห้าปีนี้ทั้งหมด
กล่าวโดยภาพรวม หลินฝานฉลาดเกินไป นิสัยใจคอก็ไม่อาจเทียบกับเด็กทั่วไปได้ กระทั่งบางครั้งสิ่งที่คิดยังเหนือกว่าผู้ใหญ่บางคน
‘ความน่าเบื่อ’ ที่ว่าของเขา บางครั้งเป็นเพราะทัศนคติที่ดูถูกเสียมากกว่า
หลินสวินรู้ดีว่าถ้าไม่ใช้สักวิธีขัดเกลาหลินฝาน นิสัยใจคอของเด็กคนนี้จะต้องมีปัญหาแน่!
พอคิดดู เด็กคนหนึ่งเกิดมาไม่ธรรมดา พรสวรรค์เย้ยฟ้า ชาญฉลาดไร้ผู้ใดเทียบได้ บิดาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนแรกในรอบแสนปี มารดาเป็นลูกหลานเผ่าเจินหลง
ผู้อาวุโสที่อยู่รอบตัวเขาเหล่านั้นอย่างอาหู เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน ต่างเป็นระดับจักรพรรดิทั้งนั้น
ทั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิดยังถึงขั้นมองเขาเป็นไข่ในหิน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความรักมากมายรวมอยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว ห้าปีมานี้อย่าว่าแต่อุปสรรคเลย ขนาดความขัดข้องใจเล็กๆ น้อยๆ ยังพบได้น้อยนัก นิสัยใจคอจึงไม่ได้ผ่านการฝึกฝนและตกตะกอนอย่างที่ควรเป็นสักนิด
“ต่อให้เป็นการขัดเกลา ก็ไม่เห็นต้องผนึกพลังพรสวรรค์ของเขาเลยนี่” จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนไม่วางใจ
หลินสวินยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ”
ขณะที่พูดเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าหลินฝานแล้ว “อยากออกไปฝึกข้างนอกไหม”
หลินฝานผุดลุกขึ้น เงยดวงหน้าน้อย เอ่ยอย่างสัตย์ซื่อว่า “อยากมากๆ ขอรับ”
เมื่ออายุมากขึ้น เขาก็ยำเกรงท่านพ่อของตนไปตามสัญชาตญาณ
“ข้าจะผนึกพลังพรสวรรค์ของเจ้าไว้ แล้วจะปล่อยเจ้าออกไป เป็นอย่างไร” หลินสวินเอ่ย
หลินฝานยิ้มแฉ่งพูดว่า “ข้าเดาได้นานแล้วว่าท่านพ่อจะต้องใช้วิธีการบางอย่างเพื่อขัดเกลาข้าแน่ ดังนั้นจึงคิดได้นานแล้ว”
หลินสวินพยักหน้า ทอดถอนใจในใจอยู่ครู่หนึ่ง เพิ่งห้าขวบก็คิดเรื่องพวกนี้ได้ เกรงว่าภายหน้าเด็กน้อยคนนี้… จะยิ่งเหมือนปีศาจแล้ว
“ไปปลอบท่านแม่เจ้าหน่อย” หลินสวินเอ่ย
“ได้ขอรับ” หลินฝานขานรับแล้วกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงไปไกล เขาในตอนนี้ถึงมีท่าทางที่เด็กน้อยพึงมีอยู่บ้าง
‘หยกไม่ได้เจียระไนไร้จำหลัก… ข้าอยากให้เจ้าเป็นเด็กธรรมดาอีกหน่อยดีกว่า จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้’
หลินสวินใคร่ครวญในใจ ‘แต่ในเมื่อธรรมชาติของเจ้าเป็นแบบนี้ ก็ต้องรับการขัดเกลาที่คนทั่วไปไม่อาจเผชิญ มีแต่ทำแบบนี้จึงจะไม่ถึงกับเดินทางผิด’
……
วันนี้หลินสวินสำแดงวิชาลับ ใช้วิธีพิเศษผนึกพลังพรสวรรค์ในตัวหลินฝานเอาไว้เป็นชั้นๆ เรื่องนี้นอกจากจ้าวจิ่งเซวียนแล้วเขาไม่ได้บอกใคร
คืนวันนั้น
หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน หลินฝานกินข้าวร่วมโต๊ะสามคนพ่อแม่ลูก จ้าวจิ่งเซวียนเตรียมอาหารเลิศรสไว้พร้อมพรั่ง
ตอนกินข้าว หลินสวินเอ่ยว่า “ฝานเอ๋อร์ เดี๋ยวพ่อจะจากไปแล้ว อาจไม่กลับมาพักใหญ่”
หลินฝานอึ้งไป ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ ไม่ได้งุนงง กลับนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเอ่ยจริงจังว่า “ลูกเข้าใจ ด้วยมรรควิถีของท่านพ่อ ถ้าไม่มีเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ย่อมไม่มีทางรั้งอยู่กับข้ากับท่านแม่แน่”
ขณะพูดเขาก็ยิ้มแฉ่งให้จ้าวจิ่งเซวียน “ท่านแม่วางใจ มีฝานเอ๋อร์อยู่ จะต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านได้อย่างดี ภายหน้านะ ให้ข้ามาปกป้องท่านแม่เอง!”
จ้าวจิ่งเซวียนขอบตาแดงเรื่อ ลูบศีรษะน้อยๆ ของหลินฝานแล้วเอ่ยว่า “ยังดีที่เจ้าจิตใจดี ไม่เหมือนท่านพ่อเจ้า พบกันยังไม่ทันห้าปีก็จะจากไปแล้ว”
หลินสวินอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยทันที
ก็พบว่าหลินฝานยิ้มระรื่นพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าไม่อยากให้ท่านจากไปจริงๆ นะขอรับ ท่านพาท่านแม่ไปด้วยกันเสียเลยเถอะ”
“อย่าฝัน!”
ไม่ทันรอให้หลินสวินเอ่ยปาก จ้าวจิ่งเซวียนก็ยื่นมือไปหยิกหูหลินฝานรอบหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังเจ็บจนแยกเขี้ยวกัดฟัน สูดหายใจไม่หยุด
ผู้เป็นแม่รู้จักลูกดีที่สุด นางจะเดาไม่ออกได้อย่างไร ว่าเด็กนี่หมายใจว่าหลังจากพวกเขาจากไป ก็เท่ากับเขาไม่มีสิ่งผูกมัด หนีไปเที่ยวเล่นได้โดยสมบูรณ์
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!” หลินฝานร้องลั่น น้ำตาแทบเล็ด
หลินสวินยิ้มอย่างอดไม่ได้ ฉลาดเกินคนปานไหนแล้วอย่างไร สุดท้ายก็หนีการสั่งสอนของพ่อแม่ไม่พ้นอยู่ดี
“ยิ้มอะไร นึกว่าเดี๋ยวก็จะจากไปแล้ว ก็จะไปเถลไถลข้างนอกได้อย่างไม่มีข้อผูกมัด อิสระเสรีแล้วหรือ”
สายตาเย็นเยียบของจ้าวจิ่งเซวียนมองไป
หลินสวินยิ้มค้าง สบตากับหลินฝาน สองพ่อลูกต่างสลดใจ