หลินสวินจะจากไปแล้ว

ข่าวนี้ไม่ได้เป็นความลับในหมู่ญาติมิตรคนสนิทอยู่แล้ว

ในใจทุกคนอดอาวรณ์อยู่บ้างไม่ได้

แต่พวกเขายิ่งรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องลูกหลินฝาน หลินสวินอาจจะจากไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้วก็ได้

“นี่เป็นกุญแจเขตแดนไว้เปิดแดนลับดวงกมล ในช่วงหลังจากที่ข้าจากไป ถ้าพบอันตรายที่ไม่อาจคลี่คลายได้ ก็พาทุกคนในสำนักยุทธ์ก่อเกิดไปยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์”

ยอดภูเขาชำระจิต

หลินสวินเอากุญแจเขตแดนที่ศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อมอบให้ส่งให้กับอาหู

อาหูเก็บไว้อย่างดี

“ในสมบัตินี้เป็นผลึกมรรคต้นกำเนิดที่ข้ารวบรวมได้ในช่วงหลายปีนี้กับสมบัติที่ข้าไม่ได้ใช้จำนวนหนึ่ง ลุงจง ให้ท่านมาดูแล”

หลินสวินส่งยันต์หยกเก็บของชิ้นหนึ่งให้หลินจง

“นายน้อย ท่านวางใจเถอะ!” ลุงจงเอ่ยหนักแน่น

“นี่เป็นจานกระบวนกับธงกระบวนที่ใช้โคจรกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญ เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน พวกเจ้าดูแลด้วยกัน จำไว้ อานุภาพของกระบวนค่ายกลนี้แกร่งกล้าถึงที่สุด มีเพียงรอให้โลกชั้นล่างแปรสภาพจนรองรับพลังระดับบรรพจารย์จักรพรรดิได้แล้วถึงโคจรได้”

หลินสวินมอบจานกระบวนกับธงกระบวนค่ายกลให้เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียน

ก่อนหน้านี้เขากำชับวิญญาณค่ายกลเสี่ยวอู่ให้วางกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญทั้งภูเขาชำระจิตใหม่แล้ว

มีกระบวนค่ายกลนี้อยู่ สามารถปกป้องภูเขาชำระจิตจากการจู่โจมของระดับบรรพจารย์ได้

ไม่นานนักหลังจากหลินสวินจัดแจงเรื่องต่างๆ เรียบร้อยก็อยู่กับสองแม่ลูกจ้าวจิ่งเซวียนตามลำพังครู่หนึ่ง

“ฝานเอ๋อร์ ตอนข้าไม่อยู่ จำไว้ว่าอย่ายั่วโมโหแม่เจ้า หาไม่แล้วข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” หลินสวินมองดูหลินฝานผู้เป็นบุตรชาย

หลินฝานเอ่ยหนักแน่นว่า “ท่านพ่อ มีข้าอยู่ บนโลกนี้ไม่มีใครกล้าทำให้ท่านแม่โกรธหรอกขอรับ”

หลินสวินร้องอืม มองดูจ้าวจิ่งเซวียนที่สีหน้าดูเศร้าหมองเล็กน้อย ความรู้สึกผิดผุดขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้

เขาชำเลืองมองหลินฝาน เจ้าหนูน้อยหมุนตัวจากไปอย่างรู้งาน

จากนั้นเขาจึงกอดจ้าวจิ่งเซวียนไว้ เอ่ยเบาๆ ว่า “ต่อให้ข้ากำลังจะจากไป แต่ก็เหลือพลังเจตจำนงส่วนหนึ่งไว้ดูแลที่นี่ แม้จะบอกว่าเป็นพลังเจตจำนง แต่ก็บรรจุความทรงจำกับพลังของข้าไว้ส่วนหนึ่ง ภายหน้าถ้าเกิดเรื่องที่รับมือได้ยาก เจ้าก็ปลุกพลังเจตจำนงของข้าให้ตื่นแล้วพาฝานเอ๋อร์จากมาด้วยกัน”

ขณะพูดเขาก็มอบยันต์อักษรชิ้นหนึ่งให้จ้าวจิ่งเซวียน

จ้าวจิ่งเซวียนรับยันต์อักษรเอาไว้ จู่ๆ ขอบตาก็แดงเรื่อ เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้า… จะกลับมาเมื่อไร”

“เรื่องนี้ยังบอกไม่ได้” หลินสวินถอนใจเบาๆ

ไปคราวนี้หนทางยาวไกล ยามกลับมา เกรงว่าคงไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าไรแล้ว

จ้าวจิ่งเซวียนช้อนตาขึ้น จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้นของหลินสวิน เอ่ยหนักแน่นว่า “ข้ากับฝานเอ๋อร์จะรอเจ้ากลับมาเสมอ”

หลินสวินร้องอืม

ในวันนั้นหลินสวินจากมาเพียงลำพังอย่างเงียบเชียบ

นอกจากญาติมิตรเหล่านี้แล้ว ไม่ได้ทำให้ผู้ใดในสำนักยุทธ์ก่อเกิดรับรู้ ข่าวที่ว่าเขาจากไปจึงถูกปิดไว้โดยสมบูรณ์

……

ในนครต้องห้าม หลินสวินเดินอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง

บนถนนมีรถม้าสัญจรขวักไขว่ คนเดินไปมาเหมือนผืนแพร แต่กลับไม่มีใครสังเกตการมีอยู่ของหลินสวินสักคน

เพียงช่วงสั้นๆ เขาก็เดินผ่านสถานที่ที่สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณและหอดูดาวหลวงเคยตั้งอยู่ แต่รูปลักษณ์เปลี่ยนไปนานแล้ว

เมื่อออกไปจากนครต้องห้าม เขาก้าวย่างไปตามภูผาธารา เดินไปบนผืนดินกว้างใหญ่ ผ่านเมืองหมอกอำพรางมณฑลซีหนาน ตอนนั้นเขาในวัยเยาว์เคยได้พบกับหลิวชิงเยียนที่นี่โดยบังเอิญ

เดินผ่านเมืองตงหลิน ตอนนั้นเขากับซย่าจื้อเคยจากกันที่นี่

เดินผ่านที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายกระหายเลือด ป้ายหินหน้าค่ายที่สลักว่า ‘ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์’ นั้นยังอยู่

เดินผ่านหมู่เขาสามพันคีรี หมู่บ้านเฟยอวิ๋นในตอนนั้นหายลับไประหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ไอวิญญาณฟื้นคืนนานแล้ว ภูผาธารากลายเป็นอาณาเขตที่ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารต่างๆ แยกกันยึดครองไปแล้ว

หลินสวินยืนอยู่ที่นี่พักใหญ่จึงเดินจากไป

เรื่องราวในอดีตเป็นดั่งหมอกควัน ไม่อาจไล่ตามได้

ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงหน้าซากปรักหักพังที่ทรุดตัวร่วงโรยแห่งหนึ่ง ที่นี่รกร้างมานานแล้ว

เดิมที่นี่เป็นคุกใต้เหมืองแห่งหนึ่ง

ครั้งยังเยาว์ เขาก็เติบโตขึ้นที่นี่โดยมีท่านลู่เลี้ยงดู

ที่นี่มีความทรงจำสมัยเด็กของเขาประทับอยู่

ตัวการหลักที่เคยทำลายที่นี่ให้พังพินาศด้วยมือเดียวนั้น ถูกหลินสวินฆ่าไปนานแล้ว

แต่ท่านลู่…

กลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเช่นเคย

ไม่นานนักหลินสวินก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงตาดำแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น

จากไปคราวนี้ จะต้องสะสางทุกเรื่องให้ได้!

เขาดีดปลายผม

ระฆังไร้กฎที่ห้อยอยู่ที่ปลายผมเหมือนตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เอ่ยว่า “จะไปแล้วหรือ”

หลินสวินพยักหน้า “ขอท่านอาวุโสนำทาง”

“ได้”

ระฆังไร้กฎส่งเสียงวิ้ง แปลงเป็นแสงเคลื่อนสายหนึ่งพุ่งออกไป

วันนี้ หลังจากกลับโลกชั้นล่างมายี่สิบกว่าปี หลินสวินก็เดินทางไกลอีกครั้ง!

……

ภูเขาชำระจิต

“ท่านแม่ ท่านพ่อจากไปแล้ว พวกเรากลับไปเถอะ” หลินฝานเอ่ยเสียงใส

จ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว นี่ทำให้เขาเป็นห่วงอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ฝานเอ๋อร์”

“ขอรับ?”

“ท่านพ่อเจ้าไปแล้ว เจ้าล่ะ จะออกไปท่องโลกภายนอกเมื่อไร”

“ข้าหรือ…” หลินฝานกลอกตาไปมา พูดหยั่งเชิงว่า “ไม่งั้นก็วันนี้เลยไหม”

ทันใดนั้นเสียงร้องโอดโอยระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น จ้าวจิ่งเซวียนดึงหูของเจ้าหนูน้อยไว้ แล้วต่อว่าอย่างร้ายกาจ “แก่หนึ่งเด็กหนึ่ง ไม่มีความเห็นใจกันทั้งคู่!”

ไกลออกไปพวกเสี่ยวอิ๋นเบือนหน้าหนีอย่างรู้งาน ในใจล้วนเศร้าซึมอยู่น้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

……

สามวันผ่านไป

แหล่งสถานคุนหลุน

หลินสวินมุ่งหน้าเลียบไปตามแม่น้ำเซียนเหิน ด้วยชำนาญเส้นทาง ไม่นานนักก็มาถึงหน้าบริเวณที่ผาสยบมรรคอยู่

ระฆังไร้กฎนำทางอยู่ด้านหน้า สยบพายุมหามรรคที่อาละวาดกลางฟ้าดินนั้น ทำให้หลินสวินมาถึงบริเวณผาสยบมรรคนั้นได้อย่างปลอดภัยตลอดทาง

ฟิ้วๆๆ…

พลังมหามรรคที่แตกละเอียดซัดสาดไปในอากาศไม่หยุดหย่อนราวกับมังกรร้ายสีดำตัวแล้วตัวเล่า ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนที่หลินสวินจากไปเท่าไร

หลินสวินออกเดิน ก้าวตรงไปยังผาสยบมรรค

แต่พอมาถึงยอดเขากลับพบเพียงต้าหวงหมอบอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง กำลังหลับปุ๋ยอยู่

อย่าว่าแต่ศิษย์พี่รองจ้งชิว แม้แต่ซีก็ไม่อยู่

หลินสวินอึ้งไป

ตอนนั้นที่เขาจากไป ศิษย์พี่รองจ้งชิวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีพลังกำราบจักรพรรดิสวรรค์ดำรง

มิหนำซ้ำจากคำพูดของจ้งชิว อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาราวร้อยปี จึงจะสามารถกำจัดจักรพรรดิสวรรค์ดำรงได้โดยสมบูรณ์

ตอนนั้นด้วยกังวลว่าระหว่างที่กำราบจักรพรรดิสวรรค์ดำรงจ้งชิวจะถูกรบกวน ต้าหวงกับซีจึงอยู่คุ้มกันที่นี่ ทว่าตอนนี้…

กลับเหลือแต่ต้าหวงแล้ว!

“เจ้าหนูมาได้สักที” ต้าหวงที่หลับปุ๋ยอยู่ลืมตาขึ้น บ่นงึมงำประโยคหนึ่งก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจยาวๆ

“นี่เกิดอะไรขึ้น” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้

ต้าหวงหาวแล้วเอ่ยว่า “อย่าตระหนกไป ทุกคนสบายดี เจ้ามาดูนี่ก่อน”

พอมันสะบัดอุ้งเท้า ยันต์มรรคแปลกประหลาดชิ้นหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในมือหลินสวิน

วิ้ง…

เมื่อหลินสวินถ่ายพลังเข้าไปในยันต์มรรค จอภาพหนึ่งก็ปรากฏออกมาทันที

ภาพทิวทัศน์ผาสยบมรรคฉายออกมาจากจอ ศิษย์พี่รองจ้งชิวนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาปิดสนิท

ต้าหวงนั่งยองๆ อยู่ด้านหนึ่ง

ส่วนซีนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้าน

ทุกอย่างดูสงบดี

แต่พอเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น จู่ๆ เงาร่างสูงตระหง่านสะดุดตาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมเกราะสีเขียว หลังสะพายทวนศึกสีเงินหนึ่งเล่ม ผมยาวสีขาวโพลนทั้งหัวรวบเป็นมวย เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้เทียบเทียม

ประกายสายฟ้าสีทองที่แปลกประหลาดตัดสลับอยู่ในนัยน์ตาเขา มีภาพฟ้าถล่มดินทลาย สุริยันจันทราลอยจมอยู่ในนั้น ดูน่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ

พอคนผู้นี้ปรากฏตัว กระแสปั่นป่วนของเศษเสี้ยวมหามรรคที่แผ่คลุ้งอยู่กลางฟ้าดินนี้ต่างหยุดลง ถูกพลานุภาพของเขาคนเดียวกำราบ!

ภาพนี้ปลุกต้าหวง ซี และศิษย์พี่รองให้ตื่นขึ้นทันที ทั้งสามต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียด

เพราะพลังระเบียบอันน่ากลัวดุจไม่เสื่อมคลายเป็นริ้วๆ หลั่งไหลอยู่บนร่างของชายคนนั้นอย่างกราดเกรี้ยว!

แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ก็ในตอนนี้เองที่ชายหนุ่มหล่อเหล่าในชุดเกราะสีเขียว ผมขาวราวหิมะคนนั้นกลับคุกเข่าลงข้างหนึ่งกลางอากาศ ก้มหัวกุมมือคารวะให้ซีแล้วเอ่ยว่า ‘ข้าน้อยจวินเฟิงเลี่ย รับคำสั่งให้มารับคุณหนูกลับบ้านขอรับ!’

ประโยคเดียวทำให้ซี ศิษย์พี่รอง และต้าห่วงต่างอึ้งไป

โดยเฉพาะซี นางลุกขึ้นทันที เนตรกระจ่างจ้องชายหนุ่มผมขาวคนนั้น คล้ายย้อนนึกอะไรขึ้นมาได้ กลิ่นอายทั้งร่างผันแปรไม่หยุด

‘เจ้า… หาข้าเจอได้อย่างไร’ ซีถาม

‘ยามคุณหนูเหยียบย่างบนเส้นทางอมตะ ก็ปลุกประทับบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในร่างแต่กำเนิดให้ตื่นขึ้น และ ‘ป้ายศิลาเทพบรรพชน’ ที่อยู่ในตระกูลก็สัมผัสได้ จึงอาศัยกลิ่นอายนี้ให้ข้าน้อยเสาะหาตามมาถึงที่นี่’

ชายหนุ่มผมขาวที่เรียกตัวเองว่าจวินเฟิงเลี่ยเอ่ยเสียงขรึม เขาคุกเข่าลงข้างเดียว ก้มหัวกุมมือคารวะตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเคารพอย่างที่สุด

นี่ดูน่าเหลือเชื่อนัก

เพราะตามการสันนิษฐานของหลินสวิน เกรงว่าคนเช่นนี้จะเหยียบย่างเหนือระดับบรรพจารย์ อยู่ในเส้นทางมรรคอมตะไปนานแล้ว!

แต่บัดนี้เขากลับให้ความเคารพปานนั้น ยำเกรงซีอย่างสมบูรณ์โดยไม่ปิดบังสักนิด

‘อย่างนี้นี่เอง…’

ซีพึมพำ นางคล้ายนึกอะไรขึ้นได้

‘ขอคุณหนูออกเดินทางทันที ผู้อาวุโสในตระกูลต่างรอให้คุณหนูกลับไปอยู่’ จวินเฟิงเลี่ยเอ่ยเสียงเข้ม

‘ถ้าข้าไม่กลับไปกับเจ้าล่ะ’ ซีถาม

จวินเฟิงเลี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า ‘ยามข้าน้อยมุ่งหน้ามา ตระกูลสั่งมาแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาคุณหนูกลับไป ขอคุณหนูอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย’

‘พูดเช่นนี้ ถ้าข้าไม่ไป เจ้าก็จะบังคับพาข้ากลับไปหรือ’ ซีถามต่อ

จวินเฟิงเลี่ยเงียบไป ไม่ได้ปฏิเสธ

ศิษย์พี่รองจ้งชิวอ้าปากจะพูดอะไร แต่กลับถูกซีขวางไว้ ‘ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ในใจข้าสัมผัสได้ว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังคาด เป็นอย่างที่คิดจริงๆ…’

ขณะที่พูด สายตาของนางก็มองไปยังจวินเฟิงเลี่ย ‘ฆ่าคนใต้เขาลูกนี้ผู้นั้นซะ’

‘ขอรับ’

จวินเฟิงเลี่ยลุกขึ้น เงาร่างสูงใหญ่สะดุดตานั้นเปล่งพลานุภาพน่าสะพรึงไร้สิ้นสุดออกมา ดั่งจอมสวรรค์อมตะผู้หนึ่ง

ก็ในตอนนี้เอง จักรพรรดิสวรรค์ดำรงที่ถูกกำราบอยู่ใต้เขาคำรามกราดเกรี้ยว ‘ข้าเป็นผู้อาวุโสหกแห่งเผ่าอมตะตระกูลลั่ว ถ้าเจ้าฆ่าข้า…’

ยังไม่ทันพูดจบ ก็พบว่าจวินเฟิงเลี่ยลงมือกดฝ่ามือหนึ่งออกไปแล้ว

ตูม!

ประทับฝ่ามือสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งสำแดงอานุภาพบดบังฟ้า เหนี่ยวนำแสงมรรคอมตะนับไม่ถ้วน บดขยี้ห้วงอากาศให้สิ้นซากดังครั่นครืน

ชั่วพริบตา จักรพรรดิสวรรค์ดำรงที่ถูกกำราบอยู่ใต้ภูเขาลูกนั้นก็ถูกกำจัด จิตสิ้นวิญญาณสลาย

ภาพนี้ทำให้ศิษย์พี่รองและต้าหวงต่างนัยน์ตาหดรัด

สำหรับศิษย์พี่รองแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ดำรงไม่ถึงกับแข็งแกร่ง สิ่งเดียวที่ทำให้ศิษย์พี่รองหวาดกลัว มีเพียงพลังระเบียบต้องห้ามที่เขาครอบครองอยู่ก็เท่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไร ดีชั่วจักรพรรดิสวรรค์ดำรงก็เป็นบุคคลที่สามารถเขย่าขวัญทั่วหล้าฟ้าดาราได้ผู้หนึ่ง แต่กลับถูกกำจัดด้วยฝ่ามือเดียวในพริบตา

นี่จะน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!