ระดับจักรพรรดิขั้นหก ชื่อว่าแจ้งมายา
ทั้งถูกเรียกว่าขั้น ‘ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’
เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของผู้ฝึกปราณจะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดอย่างหนึ่ง ไม่ถูกจำกัดด้วยพลังฟ้าดินอีก
ขอแค่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ไม่ดับสูญ ก็สามารถหลอมทุกพลังกลางฟ้าดินเป็นมรรควิถีบริสุทธิ์ได้ ทำให้พลังของตนนองเนืองไม่ขาด!
หากเป็นเมื่อก่อน ยามผู้บำเพ็ญมรรคฝึกปราณต้องพึ่งพาถ้ำสวรรค์แดนมงคล ต้องหยั่งรู้ฟ้าดินหมื่นลักษณ์ ต้องครอบครองพลังแห่งใต้หล้า
บนทางเดินโบราณฟ้าดารา แน่นอนว่ามากอิทธิพล ย้ายภูผาถมสมุทรได้
แต่ถ้าจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเข้ามาในโลกจักรวาลที่แปลกใหม่ ท่ามกลางกฎเกณฑ์มหามรรคที่ไม่คุ้นเคย มรรควิถีทั้งตัวย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกกำราบ ได้แต่ใช้พลังที่ตนครอบครองมายืนหยัด
เหมือนกับโลกชั้นล่าง ดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา… โลกที่แตกต่างกัน กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ปกคลุมก็ไม่เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกชั้นล่างหรือดินแดนรกร้างโบราณ ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ปกคลุมไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก
แต่เมื่อออกจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเข้ามาในมิติจักรวาลใหม่ ก็หมายความว่าต้องเผชิญหน้ากับระเบียบมหามรรคและพลังระเบียบใหม่ทั้งหมด
มรรควิถีที่ ‘คนต่างถิ่น’ ครอบครองอยู่เดิมมีโอกาสสูงว่าจะถูกกำราบ ถึงขั้นถูกต่อต้าน
นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิถึงมีโอกาสมุ่งหน้าไปต่างมิติจักรวาลน้อยมาก
ด้วยมีแค่ระดับจักรพรรดิที่เดินทางในโลกจักรวาลต่างๆ ตัดผ่านระเบียบมหามรรคที่แตกต่างกันได้
แต่เช่นเดียวกัน บางทีระดับจักรพรรดิอาจก้าวผ่านโลกจักรวาลที่ต่างกันได้ แต่ก็ถูกขับไล่จากพลังมหามรรคที่ไม่คุ้นเคยเช่นกัน ทำให้พวกเขาใช้พลังมหามรรคที่แปลกใหม่นั้นได้ยากมาก
เหมือนก่อนหน้านี้ยามหลินสวินเดินทาง หากไม่ใช่ว่ามรรควิถีทั้งตัวแข็งแกร่งเพียงพอ แค่กฎเกณฑ์มหามรรคที่ปกคลุมโลกจักรวาลต่างๆ นั้นก็พอจะสร้างแรงกดดันมหาศาลให้เขาได้
แต่ขอแค่บรรลุถึงระดับจักรพรรดิขั้นหกก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
ที่เรียกว่า ‘ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’ ความหมายก็คือไม่สนว่าอยู่ในมิติจักรวาลไหน ไม่สนว่าเผชิญหน้ากับระเบียบมหามรรคแห่งฟ้าดินอะไร ทั้งหมดล้วนมองข้ามได้!
นัยสำคัญของมันอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงบริสุทธิ์ที่ระดับจักรพรรดิสร้างขึ้น ระดับจักรพรรดิแจ้งมายา ไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดิน สามารถหลอมพลังทุกอย่างมาใช้ประโยชน์ได้
ต่อให้เป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย กฎระเบียบมหามรรคที่แปลกใหม่ ก็สามารถสร้างประโยชน์แก่ตนได้
ตอนนี้สิ่งที่หลินสวินใกล้จะได้เจอ ก็คือมหาเคราะห์เพื่อก้าวสู่ขั้นแจ้งมายา
…
บนดาวเคราะห์รกร้าง หลินสวินนั่งขัดสมาธิ สีหน้าราบเรียบไม่ไหวติง มรรควิถีทั้งตัวล้วนเก็บงำถึงขีดสุด ทั้งหมดล้วนบรรจุอยู่ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์
ส่วนโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ก็เหมือนภูเขาไฟที่สั่งสมพลังมาหลายปีจนใกล้ปะทุลูกหนึ่ง ส่งเสียงกัมปนาทเป็นจังหวะราวกับอสนีบาต
ทั่วดาวเคราะห์มหึมาล้วนสั่นสะเทือนอย่างแปลกประหลาด
นี่คือส่วนลึกของจักรวาลที่ล่มสลายแห่งหนึ่ง มหามรรคหมดกำลัง เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง
แต่หลินสวินก็เลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นี่ด้วยเหตุนี้ หนึ่งด้วยพลังมหามรรคไม่คงอยู่ สองด้วยที่แห่งนี้รกร้างไร้ผู้คน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรบกวน
สามวันต่อมา
ทั้งตัวหลินสวินไม่เผยกลิ่นอายอีกแม้แต่น้อย ทั่วร่างถูกฝุ่นละอองปกคลุม นิ่งเงียบราวกับท่อนไม้ ไม่มีสัญญาณชีพ เหมือนก้อนหินและเศษฝุ่นที่อยู่ใกล้เคียง
แต่ดาวเคราะห์มหึมาใต้ตัวเขากลับสั่นสะเทือนเป็นจังหวะไม่หยุด ราวกับหายใจเข้าออก
โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ในตัวเขาก็เหมือนลุกโชนโหมกระหน่ำ มีสัญญาณว่าจะเดือดพล่านและพุ่งทะยานออกมา
ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นมีเมฆดำทะมึนปรากฏโดยไร้สุ้มเสียง กลิ่นอายของด่านเคราะห์ดุจกระแสน้ำหลาก ปกคลุมอยู่บนเวิ้งฟ้าเหนือศีรษะของหลินสวินในพริบตา
ดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์
กลิ่นอายของด่านเคราะห์ที่กดดันและชวนประหวั่นนั่น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วไปต่างสิ้นหวังและพังทลายได้จริงๆ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
เหตุการณ์นี้สืบเนื่องไปหนึ่งวันเต็มๆ
รอบดาวเคราะห์มหึมานี้ล้วนถูกเมฆาเคราะห์สีดำที่หนาแน่นแข็งแกร่งปกคลุมทั่วจนมืดมิด แผ่กลิ่นอายทำลายล้างที่ทรงอานุภาพไร้ขอบเขตออกมา
ท่ามกลางความเงียบสงัดดุจความตาย มีเสียงกึกก้องดังขึ้นทันใด
ราวกับเสียงอสนีสายแรกยามเบิกฟ้าผ่าดิน
ฟ้าดาราที่ล่มสลายและแห้งแล้งแถบนี้พลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย ดาวรกร้างนับไม่ถ้วนระเบิดดังสนั่นกลายเป็นฝุ่นผง
เปรี๊ยะ!
ดาวเคราะห์มหึมาใต้ตัวหลินสวินก็แตกระแหง แบกรับเสียงอึกทึกครึกโครมและการระเบิดกะทันหันนั้นไม่อยู่
เวลานี้เองหลินสวินที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันลืมตาแล้วหยัดร่างขึ้น
พร้อมกับการเคลื่อนไหวยามเขาลุกขึ้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่ถูกบีบและพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอยู่ก่อนแล้วระเบิดออกราวกับภูเขาไฟ
ตูม!
พลังมหามรรคที่น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุดแผ่กระจายออกมาจากร่างของหลินสวิน ในความรางเลือนเหมือนมีหุบเหวหนึ่งปรากฏ ในเหวลึกมีเตาหลอมใบหนึ่ง รอบเตาหลอมวิวัฒน์โลกจักรวาลที่เจิดจรัสไร้ขอบเขตออกมา สุริยันจันทราดารา หลักการฟ้าดิน ภูผาธาราหมื่นลักษณ์… ล้วนกลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดโปรยปราย
กระทั่งต่อมาต้นแรกกำเนิดต้นหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นดิน ปลดปล่อยไอคลุมเครือออกมา ปกคลุมลักษณ์ประหลาดทั้งหมดไว้ภายในทันที พร่าเลือนขุ่นมัว ไม่อาจพรรณนาได้
หลินสวินยังคงเป็นหลินสวิน เพียงแต่อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวเวลานี้กลับแข็งแกร่งในพริบตา แหวกผ่านเมฆาเคราะห์สีดำแน่นหนาเหนือศีรษะนั้น
โครมครืน…
ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ประกายอสนีแล่นปราด แสงอสนีคลั่งระบำเหมือนถูกยั่วโทสะ อสนีบาตไร้สิ้นสุดฟาดผ่าลงมาราวกับธารสวรรค์พลิกตลบ
พลังที่อสนีบาตแต่ละสายปลดปล่อยออกมาล้วนน่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ เพียงเล็กน้อยก็สามารถสังหารระดับจักรพรรดิบนโลกได้
เวลานี้เหมือนธารสวรรค์ทลายเขื่อนระบายความโกรธ เหตุการณ์นั้นถึงขั้นทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิต่างใจสั่นระรัวได้
ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่ต้องเป็นด่านเคราะห์แห่งยุคแน่!
แต่หลินสวินที่อยู่ใต้ด่านเคราะห์ไม่หลบหลีก กลับเป็นว่าพุ่งขึ้นไปรับ สองแขนเหยียดออก เงาร่างสูงตระหง่านราวกับเหวลึกที่พาดขวาง ปลดปล่อยพลังกลืนกินลบทำลายไร้ใดเปรียบออกมา
ทั้งตัวเขาถูกกระแสสายฟ้าไร้สิ้นสุดฝังกลบทันที อสนีบาตเจิดจ้าแล่นปราดแน่นขนัด เสียงอสนีสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังกึกก้อง
เปิดฉากพิบัติเคราะห์ราวกับวันสิ้นโลกในชั่วขณะเดียว
แต่เพียงชั่วขณะ
ก็เห็นกระแสอสนีเคราะห์โหมกระหน่ำนั้นราวกับถูกวังวนมหึมาแห่งหนึ่งม้วนกลืน ถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง ถูกลบทำลายไม่หยุด
กระทั่งต่อมาอสนีเคราะห์ได้หายไปจากฟ้าดิน เหลือเพียงเงาร่างสูงใหญ่ดุจเหวลึกนั้นของหลินสวินที่ยืนตระหง่าน ส่องประกายสว่างไสวไร้ขอบเขต
เมื่อมองอย่างละเอียด รูขุมขนบนตัวเขายังคงมีรัศมีสายฟ้าของอสนีเคราะห์ที่ไม่สมบูรณ์เวียนวน แต่เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย อานุภาพถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
“แค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น มาอีก”
หลินสวินเงยหน้ามองส่วนลึกของเวิ้งฟ้า ส่วนลึกของนัยน์ตามีจิตต่อสู้ราวกับเปลวเพลิงลุกโหม
ตูม!
เมฆาเคราะห์ม้วนซัดราวถูกยั่วโทสะถึงขีดสุด ภาพวันสิ้นโลกนานัปการปรากฏ จากนั้นอสนีบาตหลากสายก็วิวัฒน์เป็นมายาเหมือนเทพมารเรือนพันเรือนหมื่น แผดเสียงคำรามพุ่งสังหารมาทางหลินสวิน
ราวกับกองทัพเทพมารออกศึก!
หลินสวินยิ้มอย่างไม่แยแส พุ่งตัวขึ้นไปพลางสำแดงมรรคและวิชาของตน ทุกการเคลื่อนไหวล้วนปลดปล่อยอานุภาพราวทลายฟ้ามลายดิน
พลันเห็นกองทัพเทพมารนั้นถูกตีพ่ายยับเยินเป็นแถบๆ กลายเป็นละอองแสงอสนีทั่วฟ้า จากนั้นก็ถูกเงาร่างของหลินสวินดูดกลืนโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เขารุกเข้าไปเหมือนผ่าลำไผ่ ห้อตะบึงฆ่าฟัน ทรงพลังไร้เทียมทาน
ไม่รอให้กองทัพเทพมารถูกสังหารจนราบคาบ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มีภาพประหลาดสารพัดสารพันพุ่งออกมาอีกครั้ง
มีแดนนรกอาบเลือดดำควบรวมกันแล้วปกคลุมลงมา
มีธารดาราส่องประกายเจิดจรัส รวมดาวนับหมื่นแสนไว้ด้วยกัน
มีแท่นบูชาเก่าแก่ เจดีย์สมบัติลึกลับ อาศรมประหลาด ตำหนักเทพกว้างใหญ่ ภูเขามรรคสูงตระหง่านทยอยปรากฏ…
แต่ละภาพนั้นทำให้คนไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่านี่คือพลังที่มหาเคราะห์มรรคจักรพรรดิสำแดงออกมาได้!
แม้แต่หลินสวินยังอดตะลึงไม่ได้ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังแล้วพุ่งตัวขึ้นไป
เขาปลดปล่อยตัวตนอย่างสมบูรณ์ สำแดงพลังถึงขีดสุด ในหัวไม่นึกถึงเรื่องอะไร ความคิดอะไรล้วนไม่มี มีเพียงจิตต่อสู้ราวกับลุกโหมพลุ่งพล่านอหังการ
ตูม โครม!
ฟ้าดาราแถบนี้ถูกกลิ่นอายด่านเคราะห์ทำลายล้างไร้สิ้นสุดปกคลุมอย่างสมบูรณ์ เกิดลักษณ์อสนีประหลาดนานัปการบ่อยครั้งจนสะเทือนใต้หล้า
เงาร่างหลินสวินกรำศึกอยู่ในนั้น ไม่ทันไรก็บาดเจ็บสะสม บ้างถูกกำราบ บ้างถูกถล่มจู่โจม บ้างถูกรุมทึ้ง บ้างถูกเฆี่ยนตี…
แต่เขายังคงกรำศึกไม่หยุด ราวกับไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้จักความเป็นตาย เงาร่างสูงใหญ่และแข็งกร้าวดุดันนั้นถึงกับไม่เคยถูกบดขยี้
เนิ่นนานอสนีเคราะห์ด่านนี้จึงแตกซ่านไปช้าๆ
ในที่นั้นเหลือเพียงเงาร่างแหลกละเอียดของหลินสวิน
แต่สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งตัวเขายังคงพลุ่งพล่าน จิตต่อสู้ไร้ใดเปรียบยังคงแข็งแกร่ง เจตจำนงทั้งตัวไม่สั่นคลอนชั่วกาล!
มหาเคราะห์ด่านนี้น่ากลัวกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ถึงขั้นเกินจินตนาการของเขาแล้ว
แต่ยามนี้หลินสวินไม่มีทางล่าถอย
และไม่เคยคิดถอยหนี!
ชีวิตนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาผงาดยามเป็นเด็กหนุ่มจนถึงปัจจุบัน เคยผ่านเคราะห์สวรรค์มาไม่รู้เท่าไหร่ ทุกครั้งราวกับสู้สุดชีวิตท่ามกลางความเป็นตาย อันตรายและน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปสามารถสัมผัสได้
แต่เขาไม่เคยถอยหนีมาก่อนสักครั้ง
แน่นอนว่าครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทั้งไม่มีใครรู้ดีกว่าหลินสวินเช่นกัน ว่าหลังจากผ่านมหาเคราะห์แห่งยุคที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาดถึงขั้นวิปริตมากมายนั่นแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับก็อยู่เหนือความคาดหมายมาก
ไม่ปล่อยโอกาสให้หลินสวินหอบหายใจมากนัก อสนีเคราะห์ด่านหนึ่งรวมตัวกันอีกครั้ง
ตูม!
เงาอสนีบาตสูงใหญ่ไร้ใดเปรียบหลากสายพุ่งออกมาจากส่วนลึกของอสนีเคราะห์ ราวกับราชันโบราณจุติลงมาบนโลก อานุภาพที่ทุกเงาร่างแผ่ออกมาถึงขั้นมีกลิ่นอายที่ไม่ด้อยไปกว่าหลินสวินสักนิด ราวกับมกุฎมหาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง!
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือเงาร่างพวกนี้มีทั้งชายและหญิง รูปร่างท่าทางแตกต่างกัน บ้างสวมชุดบัณฑิต ขี่กิเลนเขียว ครอบครองบรรทัดหยก
บ้างถือทวนศึกทองคำ ศีรษะประดับมงกุฎจักรพรรดิ สวมเกราะศึกเปื้อนเลือด
บ้างเงาร่างสูงโปร่ง ละอองแสงพร่าเลือน ท่าทางราวกับเซียน ถือขวดหยกใบหนึ่งไว้
บ้างดุดันเหมือนเทพมาร ควบคุมเพลิงวายุอสนี เหยียบนรกทะเลเลือด
แต่ละคนล้วนมีอานุภาพมกุฎไร้จำกัด!
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวอย่างอดไม่ได้
‘หรือว่าสิ่งที่วิวัฒน์มากจากเคราะห์สวรรค์นี้ คือระดับจักรพรรดิที่เคยฉายแววอัศจรรย์บนหนทางแห่งมกุฎในอดีตถึงปัจจุบัน’
หลินสวินเพิ่งเคยเจอเคราะห์สวรรค์เช่นนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝึกปราณมา เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ยังไม่รอให้หลินสวินคิดมากความ
ตูม!
เงาร่างชวนประหวั่นพวกนั้นเหยียบอากาศแล้วพุ่งโจมตีเข้าใส่หลินสวิน ทำให้หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์ถูกปิดล้อมทันที
แม้ว่าเงาร่างพวกนี้จะไม่ใช่มกุฎมหาจักรพรรดิที่แท้จริง แต่อานุภาพทั้งตัวกลับไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไร อานุภาพของวิชามรรคและสมบัติที่สำแดงออกมาล้วนแข็งแกร่งถึงขีดสุด เป็นพลังของระดับมกุฎจักรพรรดิอย่างแท้จริง!
……………………