การต่อสู้ปะทุขึ้นกลางอากาศ
เงาร่างมกุฎมากมายรวมพลังปิดล้อมหลินสวินคนเดียว พลังที่ปลดปล่อยออกมาตัดทลายท้องนภา ดับทำลายทั่วทิศ น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการ
หลินสวินที่เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัส เวลานี้ยังเจออันตรายครั้งใหญ่ ถึงขั้นถูกกดดันจนแทบเงยหน้าไม่ขึ้น
ไม่เคยมีการข้ามด่านเคราะห์ครั้งไหนยากลำบากและน่ากลัวเหมือนครั้งนี้ อยู่เหนือการคาดเดาทั้งหมดของหลินสวินโดยสิ้นเชิง
แต่เขาก็ไม่อาจคิดมากความแล้ว สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งตัวเดือดพล่านถึงขีดสุด พลังเจตจำนงที่ผ่านการเข่นฆ่าเคี่ยวกรำมาหลายปี ทำให้แม้เขาอยู่ในสภาพคับขันก็รักษาความนิ่งสงบและโปร่งโล่งในสภาวะจิตได้
เขาสังเกตเห็นอย่างฉับไว แม้ว่าคู่ต่อสู้แต่ละคนจะครอบครองพลังมกุฎ แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่กลับขาดสติปัญญาและจิตวิญญาณ ทำให้วิธีโจมตีของพวกเขาขาดการพลิกแพลงและแคล่วคล่อง
นี่คือช่องโหว่อย่างหนึ่ง!
แต่คู่ต่อสู้พวกนี้แข็งแกร่งเกินไป ช่องโหว่นี้จึงถูกปกปิด ยากจะเล็งเห็นและจู่โจมได้
ครู่ใหญ่สถานการณ์ของหลินสวินย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ทั้งตัวแหลกละเอียด กระดูกแตกหัก ดูน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เขาหอบหายใจ มีเพียงเปลวไฟในแววตาที่ลุกโชน
“สุดท้ายก็เป็นแค่สิ่งที่วิวัฒน์มาจากอสนีเคราะห์ ไม่ใช่มกุฎมหาจักรพรรดิที่ยังมีชีวิต ต้องสู้อย่างสุดความสามารถ กำราบด้วยสภาวะจิต มรรควิถี เจตจำนง พละกำลังกันซึ่งหน้า!”
หลินสวินระเบิดเสียงตวาดทันที สภาวะจิตราวกับเทพ เจตจำนงเหมือนเหล็ก ใช้มรรควิถีทั้งหมดออกโจมตีเต็มกำลัง
ฆ่า!
ฆ่า!
ฆ่า!
เขาไม่สนความเป็นตาย ไม่หวาดกลัวการบาดเจ็บ ร่างกายทั้งภายในและภายนอกล้วนเหลือเพียงจิตต่อสู้อันบริสุทธิ์และผงาดผยอง
ตูม!
หนึ่งถ้วยชาผ่านไป ชายสวมเกราะศึกเปื้อนเลือด มือถือทวนศึกทองคำ ศีรษะประดับมงกุฎจักรพรรดิคนหนึ่งถูกหมัดของหลินสวินซัดจนร่างระเบิด กลายเป็นละอองแสงอสนีลอยล่องทั่วฟ้า
เมื่อเงาร่างหลินสวินดูดกลืนละอองแสงอสนีพวกนี้ไป การหยั่งรู้อัศจรรย์ก็ผุดขึ้นในใจ
‘เนี่ยหลงเซี่ยง มกุฎจักรพรรดิอันดับหนึ่งของเขตแดนดาราลอยล่อง สมญา ‘จอมจักรพรรดิหลงเซี่ยง’ เป็นหนึ่งมาเป็นเวลานับพันปี…’
ข้อมูลพวกนี้คลุมเครือเป็นอย่างยิ่ง เป็นแค่การอธิบายอย่างหนึ่ง แต่ไม่อาจรู้รายละเอียดภายในนั้น
ทำให้หลินสวินไม่รู้เลยว่าเขตแดนดาราลอยล่องคือมิติจักรวาลไหนในโลกพันจักรวาล ทั้งเนี่ยหลงเซี่ยงคนนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด
แต่ประสบการณ์นี้กลับทำให้หลินสวินนึกถึงสิ่งที่ประสบใน ‘โลกวัฏจักร’ ของแดนปรินิพพานขึ้นมา นึกถึงอันดับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในทุกระดับนั่น!
ภาพตรงหน้านี้ก็เหมือนการช่วงชิงอันดับระหว่างมกุฎจักรพรรดิอย่างหนึ่ง
แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หลินสวินก็ไม่กล้าแน่ใจ
ซ้ำเขายังไม่มีเวลาคิดมากแล้ว
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป แต่หลังจากซัดคู่ต่อสู้คนหนึ่งจนพินาศ ดูดกลืนละอองแสงอสนีที่แตกซ่านของอีกฝ่ายแล้ว พลังทั้งตัวหลินสวินก็เหมือนได้รับการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์ครั้งหนึ่ง ทำให้เงาร่างที่เดิมบาดเจ็บสาหัสของเขาเกิดอานุภาพใหม่ทั้งหมด
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลินสวินคึกคักขึ้นมา
ฆ่า!
จิตต่อสู้ของเขาดุจเพลิงผลาญ โรมรันอาบเลือด
ไม่นานนักชายชราสวมชุดบัณฑิตขี่กิเลนเขียวและครอบครองบรรทัดหยกคนหนึ่งถูกหลินสวินสังหาร ไม่รอให้ละอองแสงโปรยปรายก็ถูกหลินสวินเขมือบกลืนจนเกลี้ยง
จากนั้นการหยั่งรู้อัศจรรย์นั่นก็ปรากฏอีกครั้ง
‘เฟิงซิงจื่อ มกุฎจักรพรรดิอันดับหนึ่งของเขตแดนดารายอดสดับ สมญา ‘จอมจักรพรรดิอู๋เหิง’ อานุภาพกดข่มจักรวาลเก้าหมื่นปี…’
ขณะเดียวกันพลังรอบตัวหลินสวินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
‘เป็นจริงดังคาด! เมื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เท่ากับจู่โจมอสนีเคราะห์ และพลังแปรนิพพานที่ได้จากด่านเคราะห์ก็ทำให้มรรควิถีของข้าเกิดการเปลี่ยนแปลง!’
นัยน์ตาดำล้ำลึกของหลินสวินเป็นประกาย พอมองคู่ต่อสู้ในที่นั้นอีกครั้ง ก็เหมือนจับจ้องเหยื่อที่ดูน่าอร่อยถูกปากมากมาย
ฆ่า!
เงาร่างเขาพุ่งออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล
…
“กลิ่นอายด่านเคราะห์น่ากลัวยิ่งนัก ใครข้ามด่านเคราะห์อยู่ที่นี่กันแน่”
ใกล้โลกจักรวาลรกร้างล่มสลายแห่งนี้ มีเงาร่างสูงใหญ่ทองอร่ามหนึ่งปรากฏขึ้นฉับพลัน ประกายแสงน่าพรั่นพรึง รัศมีเทพไหลวน
เมื่อพินิจดูก็เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยน ผู้อาวุโสชั้นสูงของภูเขาเทพสรรพวิญญาณแห่งเขตแดนดาราอีกาขาวนั่นเอง!
เวลานี้นัยน์ตาเขาหดรัด ไหวหวั่นไม่หยุด
ในจิตรับรู้ของเขา ส่วนลึกของจักรวาลที่ล่มสลายนั้นเต็มไปด้วยเมฆาเคราะห์ บังฟ้าคลุมตะวันราวกับราตรีนิรันดร์ แค่กลิ่นอายทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ระดับบรรพจารย์อย่างเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปพักหนึ่ง!
บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนหยุดเท้าลงทันที ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ห่วงว่าจะเปื้อนกลิ่นอายของด่านเคราะห์นั้นเข้า
‘ที่แท้ก็เป็นเคราะห์มกุฎจักรพรรดิเพื่อก้าวสู่ระดับจักรพรรดิขั้นหก…’
เนิ่นนานกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนจะเผยสีหน้ากระจ่าง
ในเขตแดนดาราอีกาขาวมีมกุฎจักรพรรดิท่องไปทั่วเช่นกัน ซ้ำในภูเขาเทพสรรพวิญญาณยังมีบุคคลที่เหมือนตำนานเช่นนี้ด้วย
นั่นคือศิษย์น้องของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนฉายา ‘มหาจักรพรรดิชิงซวิ่น’ ครั้งยังเยาว์ก็เป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่ง ฝึกปราณไม่ถึงสามหมื่นปีก็เป็นระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดแล้ว
ตั้งแต่เมื่อสองสามพันปีก่อน มหาจักรพรรดิชิงซวิ่นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกเช่นกัน
ในฐานะที่บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนเป็นศิษย์พี่ แน่นอนว่าย่อมรู้เบื้องลึกของระดับมกุฎจักรพรรดิดีเป็นธรรมดา รู้ว่ายามบุคคลเช่นนี้ทะลวงขั้นปราณ ด่านเคราะห์ที่ต้องเผชิญนั้นจะน่ากลัวหาใดเปรียบ ใช่ว่าระดับจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้
‘ไม่ถูกสิ ปีนั้นยามศิษย์น้องชิงซวิ่นข้ามด่านเคราะห์นี้ยังไม่น่ากลัวเช่นนี้…’
ไม่นานสีหน้าของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เผยความรู้สึกยากจะเชื่อออกมา
ปีนั้นยามมหาจักรพรรดิชิงซวิ่นข้ามมหาเคราะห์ด่านหก บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนเคยคุ้มกันเขาด้วยตัวเอง มีหรือจะไม่รู้ความลับของด่านเคราะห์นี้
แต่ตอนนี้บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนกลับพบอย่างน่าตกตะลึง ว่ามหาเคราะห์ในส่วนลึกของจักรวาลนั้นไม่ใช่แค่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าด่านเคราะห์ที่มหาจักรพรรดิชิงซวิ่นเคยข้าม ถึงขั้นยังเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าเหลือเชื่อมากมายด้วย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนไม่เคยเจอมาก่อน!
‘คนผู้นี้เป็นใคร ทำไมถึงเผชิญหน้ากับมหาเคราะห์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้’
ความอยากรู้อยากเห็นของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนถูกกระตุ้นขึ้นมาในชั่วขณะเดียว เขาที่เดิมคิดเร่งเดินทางตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อลองดู
เวลาเคลื่อนคล้อย
หลายชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ในจิตรับรู้ของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนค่อยๆ เห็นว่าเมฆาเคราะห์สีดำที่บดบังฟ้าคลุมตะวันนั้น ในที่สุดก็มีแนวโน้มว่าจะฟุ้งกระจาย
นี่ทำให้เขามองเห็นเงาร่างที่กำลังข้ามด่านเคราะห์นั้นได้รางๆ
แต่ด้วยระยะที่ห่างไกลกันเกินไป กอปรกับเงาร่างนั้นอาบไล้ด้วยแสงอสนีสว่างไสว เปล่งประกายและเจิดจรัสเกินไป ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจนโดยสิ้นเชิง
‘น่าทึ่งนัก มหาเคราะห์เช่นนี้ยังต้านทานได้ ความสามารถบนมกุฎมรรคาของคนผู้นี้ต้องไม่ด้อยไปกว่าศิษย์น้องชิงซวิ่นแน่ หากอยู่ในเขตแดนดาราแห่งหนึ่งล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง’
บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนอัศจรรย์ใจ
แต่ครู่ต่อมาเขาก็อึ้งไป ลูกตาแทบถลน
‘ทำไม… ทำไมถึงเป็นเขา!?’ บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนเกือบร้องออกมา
ส่วนลึกของจักรวาลไกลโพ้น เมฆาเคราะห์โหมกระหน่ำนั้นหายไปแล้ว ทำให้เขาเห็นรูปร่างของคนที่ข้ามด่านเคราะห์นั้นอย่างชัดเจน
เป็นมือสังหารที่เคยฆ่าระดับจักรพรรดิหกคนของพวกเขาภูเขาเทพสรรพวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อน!
ครึ่งปีก่อน เขาเดินทางอย่างยากลำบาก เสาะหาร่องรอยของอีกฝ่าย แต่เส้นทางดารากว้างใหญ่ เขากล้ายืนยันได้แค่ว่าอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึก
ไหนเลยจะคาดคิดว่ากลับได้เจอกันที่นี่!
พอนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ตนยังตื่นตะลึงและทอดถอนใจ ถึงขั้นเกิดความคิดว่าจะคบค้าด้วย สีหน้าของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมลงเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
‘น่าเสียดาย คนอย่างเจ้าเดิมสามารถฉายแววเจิดจรัสอัศจรรย์ในภายหน้า แต่ในเมื่อเจ้าล่วงเกินภูเขาเทพสรรพวิญญาณของข้า วันนี้… ก็ถูกลิขิตให้ต้องสิ้นชีพ…’
ไอสังหารพลุ่งพล่านผุดขึ้นในใจของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยน เขาสูดหายใจลึก แววตาเยียบเย็น ก้าวเท้าแล้วหายไปจากจุดเดิม
…
ฮู่ว…
เมื่อเห็นเมฆาเคราะห์ทั่วฟ้านั้นสลายไปช้าๆ หลินสวินก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ก่อนหน้านี้เขาซัดเงาร่างของมกุฎมหาจักรพรรดิมากมายจนพินาศ ดูดกลืนพลังอสนีเคราะห์ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้มรรควิถีทั้งตัวเขาเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า มาถึงตอนนี้ก็ก้าวสู่ขั้นไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างราบรื่นแล้ว!
โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ภายในร่างเหมือนดวงตะวันลุกโชนชั่วกาล พลังยิ่งใหญ่พลุ่งพล่านพวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์จะไม่ดับสลาย เหมือนมีอานุภาพหลอมละลายได้ทุกอย่าง สามารถมองข้ามกฎระเบียบมหามรรคแห่งฟ้าดิน ไม่สนกฎเกณฑ์สวรรค์!
หลินสวินสังเกตเห็นว่าหลังจากพลังของตนบรรลุถึงขั้นนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มีการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอย่างหนึ่ง
ระดับจักรพรรดิเก้าขั้น หนึ่งขั้นหนึ่งปราการสวรรค์
สามขั้นแรกคือหนึ่งมารผจญ ถูกมองเป็นปราการใจจักรพรรดิ
เมื่อมองทะลุปราการนี้ กายใจจะเปลี่ยนโลกได้!
ส่วนระดับจักรพรรดิขั้นสี่ถึงขั้นห้า ก็มีหนึ่งพิบัตินามว่าพิบัติพันธนาการ
เมื่อทำลายพันธนาการนี้ ย่อมไม่ต้องกลัวฟ้าดิน!
กล่าวได้ว่าระดับจักรพรรดิขั้นสี่และขั้นห้าก็คือการสั่งสมอย่างหนึ่ง เมื่อถึงระดับจักรพรรดิขั้นหกก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใหม่ทั้งหมด
ตอนนี้หลินสวินทำลายพันธนาการนี้และก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นหกแล้ว มรรควิถีทั้งตัวเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อนในเวลานี้เช่นกัน!
แต่ยังไม่รอให้หลินสวินสัมผัสความเร้นลับที่เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดนี้โดยละเอียด ความรู้สึกถึงอันตรายก็ผุดขึ้นในใจ เงาร่างเขาพุ่งวาบราวกับเป็นสัญชาตญาณ
ตูม!
ห้วงอากาศที่เขายืนอยู่เดิมถูกมือยักษ์สีทองมหึมาหาใดเปรียบข้างหนึ่งบีบจนแหลก
นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันเย็นเยียบ
ขณะเดียวกันในจุดที่ห่างออกไปมีเสียงประหลาดใจหนึ่งดังขึ้น “แค่ระดับจักรพรรดิขั้นหกเท่านั้น ต่อให้เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิ แต่หลบการโจมตีของข้าได้ถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”
จากนั้นเงาร่างของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนก็ปรากฏ สีหน้าเขาเยียบเย็นอำมหิต นัยน์ตาดุจอสนีจับจ้องหลินสวิน “น่าเสียดาย วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้กายสิ้นมรรคสลายเพียงเท่านี้”
บรรพจารย์จักรพรรดิ!
เวลานี้หลินสวินก็ตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาหดรัด
คิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าเหตุใดจู่ๆ ก็มีพวกน่ากลัวเข้ามาโจมตีกะทันหันเช่นนี้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ตูม!
ไม่รอให้หลินสวินใคร่ครวญ บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนลงมือโดยไม่ลังเลแล้ว ทั่วร่างปลดปล่อยแสงมรรคสีทองล้นฟ้าออกมาปกคลุมท้องนภาสิบทิศ
เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ ซัดประทับฝ่ามือออกมาอย่างหนักหน่วง
ประทับฝ่ามือนั้นแฝงกฎเกณฑ์ระดับบรรพจารย์ที่สูงส่งอย่างหนึ่ง มหัศจรรย์เกินคาดเดา มองจากไกลๆ แล้วเหมือนหัตถ์สวรรค์ยื่นคลุมลงมา ต้องการทำลายล้างโลก กำจัดสรรพชีวิต!
อานุภาพของบรรพจารย์จักรพรรดิสะท้อนออกมาอย่างถึงแก่นในยามนี้
ในเวลาเช่นนี้หลินสวินใช้วิธีที่แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่ลังเล
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงกัมปนาท
อภินิหารหยุดเวลาปลดปล่อยแสงแห่งกาลเวลาออกมา
มรรควิถีทั้งตัวถูกกระตุ้นถึงขีดสุดในเวลานี้
เห็นเพียงเงาร่างของบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปกคลุมร่าง ร่างกายและพลังจิตล้วนระเบิดออกพร้อมเสียงกึกก้อง ยังไม่รอให้แผ่กระจายก็ถูกดับทำลายจนราบคาบ!
สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิในพริบตา!
หมดจดชัดเจน เผด็จการไม่เป็นสองรองใครเช่นนั้น!
บรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนที่ก่อนหน้านี้ยังมีอานุภาพไร้ขอบเขต ผงาดผยองอำมหิต ถึงขั้นดับสิ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
วิธีการตายเช่นนี้ดูอัดอั้นและน่าอัปยศเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเชื่อ
ถึงอย่างไรบรรพจารย์จักรพรรดิก็สูงส่งและน่าหวาดกลัวระดับใด แน่นอนว่าเป็นบุคคลที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือโลกหล้า แต่ตอนนี้กลับถูกฆ่าโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนตาค้างได้
แม้แต่หลินสวินเองก็อดอึ้งงันไม่ได้ ตบหน้าผากเหมือนเพิ่งรู้ตัวแล้วกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
“ทำไมข้าถึงลืมไปได้ เพิ่งทะลวงปราณเสร็จ น่าจะเก็บเจ้าเฒ่านี่ไว้ทดสอบพลังของระดับจักรพรรดิขั้นหกสักหน่อย…”
หากบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยนที่ถูกฆ่าตายนั้นได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร…
……………………