บนตัวระดับจักรพรรดิ น้อยนักที่จะพกผลึกมรรคติดตัวยามเดินทาง

แต่มูลค่าของสมบัติและเจตวัตถุที่ระดับจักรพรรดิพกติดตัว แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ผลึกมรรคจำนวนหนึ่งทัดเทียมได้

หนึ่งปีมานี้หลินสวินก้าวผ่านฟ้าดารา ฝ่าฟันอันตราย บรรพจารย์จักรพรรดิที่สังหารล้วนมีหลายคน ระดับจักรพรรดิคนอื่นที่ตายในเงื้อมมือเขาก็มีไม่รู้เท่าไหร่

ทรัพย์หลังศึกที่ได้มาแน่นอนว่าชวนตะลึงอย่างยิ่ง

สิ่งที่แลกเปลี่ยนในเรือนจักรวาลก่อนหน้านี้มีแค่ผลึกมรรคเท่านั้น บางทีจำนวนอาจมหาศาล แต่ไม่ถึงขั้นมีมูลค่ามากเท่าไหร่

ตอนนี้หลินสวินคิดนำทรัพย์หลังศึกที่ใช้ไม่ได้พวกนั้นมาขายด้วยแล้ว

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม

หลินสวินเข้าไปใน ‘หอสี่ยอด’ ภายใต้การนำทางของเจ้าอ้วน

ที่เรียกว่าสี่ยอด ด้วยหมายถึงสี่เผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลเผิง ตระกูลเฮ่อ

ทุกสามพันปี สี่เผ่าจักรพรรดิอมตะจะผลัดกันรับช่วงดูแลเมืองข้ามแดน ทั้งผลัดกันครอบครองหอสี่ยอดด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันผู้ดูแลหอสี่ยอดแน่นอนว่าเป็นตระกูลเฮ่อ

จากคำพูดของเจ้าอ้วน หอสี่ยอดเรียกได้ว่าเป็นร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด รากฐานแข็งแกร่งที่สุดในเมืองข้ามแดน ราคาค้าขายแลกเปลี่ยนก็เรียกได้ว่าเป็นธรรมที่สุด

หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ

ยามหลินสวินเดินออกมาจากหอสี่ยอด ในตัวก็มีผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งเก้าพันก้อน รวมถึงผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นสองสามพันก้อน ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นสามสามพันก้อนเพิ่มขึ้นมาแล้ว

ดูเหมือนจำนวนไม่มาก แต่ทรัพย์สินนั้นตระการตายิ่งนัก ยามแลกเปลี่ยนล้วนทำให้ผู้ดูแลและนักประเมินทรัพย์พวกนั้นอดตะลึงไม่ได้

ตามความเข้าใจที่พวกเขามียามทำการค้าช่วงหลายปีนี้ ต่อให้เป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดินำสมบัติของตนมาขายทั้งหมด เกรงว่าคงได้ไม่ถึงเก้าพันผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งด้วยซ้ำ!

ส่วนเจ้าอ้วนก็หัวสมองมึนงงแล้ว เขาเห็นการค้าที่เรียกว่าชั้นยอดนี้กับตา ในใจมีแค่ความคิดหนึ่ง

ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องเป็นพวกไม่ขาดเงินแน่ ร่ำรวยเกินไปแล้ว!

ความจริงสมบัติที่หลินสวินขายไปทั้งหมด ก็เป็นแค่ทรัพย์หลังศึกที่รวบรวมในช่วงหนึ่งปีนี้เท่านั้น ซ้ำยังเป็นสมบัติส่วนที่นำมาใช้ไม่ได้ด้วย

“ไป พาข้าวนรอบเมืองหน่อย”

หลินสวินสั่งอย่างสบายๆ

เจ้าอ้วนรีบนำทางไปข้างหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย แนะนำทุกอย่างในเมืองข้ามแดนจนน้ำลายแตกฟอง

ในเวลาต่อมาหลินสวินก็เหมือนนักเดินทางคนหนึ่งเที่ยวเตร่ในเมือง

ชิมยอดอาหารเลิศรสที่มาจากแต่ละมิติจักรวาลของโลกพันจักรวาลใน ‘หอรับเซียน’ หอสุราอันดับหนึ่งแห่งเมืองข้ามแดน

อาหารเลิศรสแต่ละอย่างนั้นล้วนเรียกได้ว่าปรุงจากวัตถุดิบชั้นยอดหายาก ไม่ใช่แค่รสชาติโดดเด่น ภายในยังแฝงความอัศจรรย์นานัปการ

อาหารเลิศรสที่ถูกที่สุดยังมีมูลค่าสิบผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นสอง ซึ่งเท่ากับสิบล้านผลึกมรรค…

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง สั่งอาหารเลิศรสหลายหลากมาเต็มโต๊ะ กินกับเจ้าอ้วนอย่างเบิกบานยิ่ง

ก่อนไปยังไม่ลืมห่ออาหารเลิศรสกลับอีกกองพะเนิน คิดว่ารอซย่าจื้อตื่นขึ้นแล้วจะให้นางลองชิม

เมื่อออกจากหอรับเซียน หลินสวินถลุงเงินไปหนึ่งร้อยกว่าผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งแล้ว

ท่าทางราบเรียบ ใช้เงินเป็นเบี้ยนั้นกระตุ้นจนเจ้าอ้วนมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริงเหมือนฝันไป

เขาที่เป็นระดับอริยะคนหนึ่ง มีหรือจะเคยเจอการใช้จ่ายที่สุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้

แน่นอนว่าสำหรับหลินสวินนั้นไม่ถือว่าเป็นอะไร

เมื่อออกจากหอรับเซียน หลินสวินยังไปโรงวายุต่อ ที่แห่งนี้มีชื่อเสียงว่าเป็น ‘แหล่งรวบรวมสิ่งล้ำค่าทั่วหล้า กอปรด้วยสมบัติล้ำค่าหมื่นดินแดน’

เจตวัตถุ ลูกกลอนโอสถ วัตถุดิบเทพ อัญมณี วิชายุทธ์ สมบัติวิเศษประหลาดพิสดารนานัปการที่มาจากแต่ละมิติจักรวาลในโลกพันจักรวาล… มีครบทุกสิ่งที่ควรมี

ถึงขั้นมีสมบัติบางส่วนที่ทำให้ระดับจักรพรรดิซึ่งเห็นสิ่งล้ำค่าทั่วหล้าจนชินตาอย่างหลินสวินใจเต้นไม่หยุด ดังนั้นจึงซื้อมาทั้งหมดโดยไม่เกรงใจ

การกระทำที่ใช้จ่ายราวน้ำไหลนั้น ทำให้แววตาของสาวใช้หน้าตาสะสวยบางคนเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน เหมือนว่าขอแค่หลินสวินพยักหน้า พวกนางต้องโถมใส่อ้อมกอดโดยไม่ลังเลแน่

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือสมบัติที่ทำให้หลินสวินมองว่า ‘มีประโยชน์’ อย่างแท้จริงกลับแทบไม่เจอ

แต่คิดดูแล้วก็ใช่ แม้ว่าพลังปราณของเขาจะอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นหก แต่พลังต่อสู้ทั้งตัวนั้นไม่กลัวบรรพจารย์จักรพรรดินานแล้ว สมบัติมรรคจักรพรรดิทั่วไปยากจะอยู่ในสายตาเขาจริงๆ

กระทั่งเดินออกมาจากโรงวายุ ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งในตัวหลินสวินก็น้อยลงไปอีกหนึ่งพันกว่าก้อน ทำให้เจ้าอ้วนทั้งตกตะลึงทั้งอิจฉาทั้งปวดใจ…

ใครเขาใช้จ่ายกันเช่นนี้!

ต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิก็ไม่กล้าถลุงเงินเช่นนี้แน่!

แต่เจ้าอ้วนกลับจำต้องยอมรับ หลินสวินมีคุณสมบัติให้ถลุงเงินได้ ช่าง… มีเงินมากเกินไปแล้ว!

“สหายยุทธ์ เปลี่ยนสถานที่คุยกันหน่อยได้หรือไม่”

“สหายท่านนี้ ข้าน้อยมาจากหนึ่งในเจ็ดตระกูลเก่าแก่แห่งเขตแดนดารานภา… ขอพูดคุยกับสหายยุทธ์หน่อยได้ไหม”

ระดับจักรพรรดิส่วนหนึ่งไล่ตามมา พากันทักทายหลินสวิน การกระทำของหลินสวินในโรงวายุก่อนหน้านี้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาแล้ว

เมื่อสนทนากันครู่หนึ่ง หลินสวินจึงรู้ว่าระดับจักรพรรดิพวกนี้มาจากมิติจักรวาลต่างๆ จุดประสงค์ที่อยากรู้จักเขาต่างกันออกไป

บ้างหวังให้ตนเข้าร่วมขุมอำนาจของพวกเขา

บ้างหวังผูกมิตรเป็นสหายกับหลินสวิน

บ้างอยากขายสมบัติในมือให้หลินสวินเพื่อจะได้ราคาดี

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินปฏิเสธไปทั้งหมด

ก่อนมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึก เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้

“ไป ไปดูตลาดนัดรวมพลกัน”

หลินสวินเดินไกลออกไป

ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเจ้าอ้วนบอกว่าตลาดนัดรวมพลคือตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองข้ามแดน ที่นั่นมีแผงลอยเรือนพันเรือนหมื่น ผู้แข็งแกร่งที่มาจากมิติจักรวาลต่างๆ ล้วนตั้งแผงซื้อขายสมบัติที่นี่ได้

แน่นอนว่าขอแค่เป็นสถานที่เช่นนี้ ก็มักจะมีเรื่องอย่าง ‘บังเอิญพบสมบัติลับ’ ที่พาให้คนโหยหา

หลังจากเข้ามาในตลาดนัดรวมพล หลินสวินลองเดินดูแล้วเปิดโลกทัศน์ เห็นสมบัติที่ไม่เคยเจอบนทางเดินโบราณฟ้าดารามากมาย

ที่น่าเสียดายคือตลอดทางที่เดินมาเขายังไม่พบสมบัติลับ ทั้งไม่มีของอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ

แต่ยามหลินสวินคิดจากไปก็ถูกคนเรียกรั้งไว้

“สหาย ข้าอยากทำการซื้อขายกับเจ้า”

นี่คือคนกลุ่มหนึ่ง ล้วนบุคลิกไม่ธรรมดา มีกลิ่นอายระดับจักรพรรดิ แต่ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงแก่เด็ก ไม่ว่าพลังปราณในระดับจักรพรรดิจะสูงหรือต่ำ ก็ห้อมล้อมอยู่ข้างกายชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นผู้นำทั้งสิ้น

ราวกับดาวล้อมเดือน

ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ก้าวย่างดั่งมังกรพยัคฆ์ เครื่องหน้าหล่อเหลา ท่าทางโดดเด่น นัยน์ตาผ่องแผ้วดั่งวารี เผยกลิ่นอายสงบราบเรียบ ไม่โศกเศร้ายินดีอย่างหนึ่ง

คนที่เอ่ยปากเรียกรั้งหลินสวินไว้ก่อนหน้านี้ก็คือคนผู้นี้

เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้รวมถึงทุกคนที่อยู่ใกล้เขา เจ้าอ้วนพลันหน้าเปลี่ยนสี เผยความยำเกรงโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

เห็นชัดว่าคนกลุ่มนี้มีที่มาไม่ธรรมดา

“ซื้อขายอะไร”

หลินสวินกวาดมองคนพวกนั้นวูบหนึ่ง เหลือบสายตาไปยังชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ ฝ่ายหลังกลิ่นอายพ้นโลกีย์ แสงเทพซ่อนแฝง ดูเหมือนนิ่งสงบ ความจริงแล้วเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิคนหนึ่ง!

แต่ความตื้นลึกของพลังปราณกลับไม่อาจมองทะลุ สาเหตุอยู่ที่ชุดสีขาวบนตัวชายหนุ่ม เห็นชัดว่าเป็นสมบัติอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ปกปิดพลังของเขาไว้

“ที่นี่คนพลุกพล่าน เชิญมาทางนี้”

ชายหนุ่มชุดขาวพูดพลางมุ่งไปยังที่ห่างไกล เหมือนไม่กังวลว่าหลินสวินจะไม่ตามมา

หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อยแล้วตามไป

เจ้าอ้วนเปิดปากจะพูด แต่ถูกหลินสวินโบกมือห้ามไว้ ‘ระดับของเจ้าต่ำเกินไป หากใช้การสื่อจิตพูดคุยกับข้าต้องถูกอีกฝ่ายได้ยินแน่’

เจ้าอ้วนสะท้าน ปิดปากสนิททันที

ในมุมเปลี่ยวชายหนุ่มชุดขาวยืนนิ่ง จากนั้นก็ให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายถอยไป ครั้นแล้วจึงเคลื่อนสายตามองหลินสวินที่ตามมา

แววตาเขาราบเรียบ น้ำเสียงสบายๆ “ข้าอยากซื้อสมบัติชิ้นหนึ่งในมือสหายยุทธ์ อืม นั่นน่าจะเป็นหินลับกระบี่ก้อนหนึ่ง ด้านบนสลักคำว่าลับจิตดั่งคม”

หลินสวินสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจกลับตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

ปีนั้นหลังจากบดขยี้สำนักโบราณจรัสเทพ ก้อนหินขมุกขมัวที่เคยถูกซีค้นพบ น้ำหนักชวนตะลึงหาใดเปรียบ พอถือไว้ในมือแล้วเหมือนยกภูเขาเทพไว้ลูกหนึ่ง

พื้นผิวของก้อนหินนี้เกลี้ยงเกลาดั่งคันฉ่อง คล้ายถูกกระบี่คมกริบเฉือนตัดนับครั้งไม่ถ้วนในกาลเวลาไร้สิ้นสุด มีรอยแหว่งเว้าเล็กน้อย

และด้านหลังของมันก็สลักอักษรโบราณไว้สี่คำ

ลับจิตดั่งคม!

อักษรสี่คำ แต่ละคำราวกับกระบี่ ซ่อนคมประกายเหมือนจักรพรรดิกระบี่แห่งยุคคนหนึ่ง แฝงความหยิ่งทะนงไว้ภายใน มาดมั่นหาใดเปรียบ แต่สภาวะจิตกลับผ่อนคลายดุจเมฆา เลือนรางเสรี ไม่ถูกผูกมัด อิสระกว้างใหญ่

จากคำพูดของซี แค่เห็นสิ่งนี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าของหินลับกระบี่นี่ต้องเป็นคนที่มีความสามารถไร้เทียมทานไม่เป็นสองรองใครบนมรรคกระบี่ ทั้งสภาวะจิตยังกว้างใหญ่ ดูเสรีดั่งสายลมคนหนึ่งแน่

เสมือนเซียนกระบี่

ยามนั้นหลินสวินก็ชอบคำว่า ‘ลับจิตดั่งคม’ ยิ่งนัก ดังนั้นจึงเก็บหินลับกระบี่นี้ติดตัวมาตลอด

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าในเมืองข้ามแดนนี้ ถึงกับมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งสอดส่องได้!

น่าเหลือเชื่อนัก

เห็นชัดว่าอีกฝ่ายใช้วิชาลับหรือสมบัติบางอย่างสืบรู้การมีอยู่ของหินลับกระบี่นี้ และเป็นฝ่ายมาหาตนด้วยตัวเอง

“ขออภัย ข้าไม่สนใจการค้านี้” หลินสวินปฏิเสธโดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มชุดขาวไม่รู้สึกผิดคาด กล่าวเสียงเรียบ “สหายยุทธ์น่าจะยังไม่รู้ความเป็นมาของหินก้อนนี้ ย่อมไม่รู้ชัดเป็นธรรมดาว่าหินก้อนนี้มีความหมายกับข้ามากเพียงใด เอาอย่างนี้ ขอแค่สหายยุทธ์ยินยอม ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร ขอเพียงข้าทำได้ก็จะไม่ขัดข้อง”

หลินสวินส่ายหัวกล่าว “ข้าไม่ได้ขาดแคลนอะไร หากสหายยุทธ์ไม่มีเรื่องอื่นก็ขอลา”

พูดจบเขาก็หันหลังจากไป

ระดับจักรพรรดิมากมายที่ติดตามข้างกายชายหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ เวลานี้ยืนอยู่ห่างไกล ล้วนเผยสีหน้าเย็นชาอย่างอดไม่ได้ กำลังจะเข้าไปขวางหลินสวิน

“พอแล้ว ให้เขาไปเถอะ”

ชายหนุ่มชุดขาวส่งเสียงห้าม “ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองข้ามแดน ไม่เหมาะจะลงมือ”

สีหน้าเขาเรียบเฉย คล้ายไม่ใส่ใจที่หลินสวินจากไปเช่นนี้

“นายน้อย จะปล่อยคนผู้นี้ไปเช่นนี้หรือ” คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม

ชายหนุ่มชุดขาวคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ส่งคนไปจับตาดูเขา หินลับกระบี่ก้อนนี้เกี่ยวข้องกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานที่ใช้กระบี่สยบโลกพันจักรวาลถึงแสนปีคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชิงมาไว้ในมือ”

“ขอรับ!”

มีคนรับคำสั่งแล้วจากไปทันที

“พวกเราเข้าไปในเมือง ไปจวนเจ้าเมืองเพื่อพบบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนสักหน่อย”

ชายหนุ่มชุดขาวพูดพลางนำทุกคนหันหลังจากไปพร้อมกัน

ขณะเดียวกันเจ้าอ้วนที่ค่อยๆ เดินห่างไปพร้อมกับหลินสวินถอนหายใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอกอย่างอดไม่ได้ เช็ดเหงื่อที่ซึมหน้าผาก ท่าทางเหมือนโชคดีที่รอดพ้นเคราะห์ร้ายมาได้

เห็นชัดว่าพวกชายหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ทำให้เจ้าอ้วนหวั่นหวาดและกดดันอย่างมาก

นี่ทำให้หลินสวินอดเลิกคิ้วไม่ได้พลางกล่าว “พวกเขาเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงตกใจจนเป็นเช่นนี้”

…………………..