หลินสวินเพิ่งก้าวออกมาจากจวนเจ้าเมือง ก็เห็นพวกที่นำโดยฟางเสวียนเจินเดินมาแต่ไกล
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นพิกลในชั่วขณะเดียว อากาศราวกับหยุดชะงัก
ฟางเสวียนเจินหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเฉยชา หยุดเท้าตรงนั้นพลางกล่าว “ดูเหมือน… พวกเราจะเจอกันที่แดนใหญ่พันศึกแล้ว”
หลินสวินก็ยิ้มแล้ว “ข้าก็คาดหวังว่าจะได้รู้ความลับเกี่ยวกับ ‘ลับจิตดั่งคม’ จากปากเจ้า”
พูดจบเขามุ่งตรงไปข้างหน้า เฉียดผ่านพวกฟางเสวียนเจินไปเช่นนั้น
เห็นว่าเงาร่างของเขากำลังจะหายไป
ฟางเสวียนเจินหันหลังขวับ เอ่ยเสียงกระจ่างชัด “สหาย ไม่มีเรื่องค้างคาที่ต้องหารือกันแล้วจริงรึ”
หลินสวินไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง แค่โบกมือน้อยๆ ไม่นานเงาร่างก็หายไปในฝูงชนไร้ขอบเขต
‘ฮึ! เห็นชัดว่าเจ้าหมอนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา นายน้อย มิสู้คืนนี้พวกเราลงมือโดยตรง หลังจากฆ่าเขาแล้วค่อยออกจากเมืองข้ามแดนนี้ไปทันทีก็พอ ต่อให้ทูตพิทักษ์เมืองโกรธจัดด้วยเรื่องนี้ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว’
ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งสื่อจิต แววตาน่าสะพรึง
คนอื่นก็สีหน้าไม่เป็นมิตร
ในฐานะคนใหญ่คนโตที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง พวกเขายังไม่เคยเจอคนที่กล้าปฏิเสธพวกเขาเช่นนี้มาก่อน
แววตาฟางเสวียนเจินไหววูบ เนิ่นนานจึงกล่าวราบเรียบ “ไปเยือนแดนใหญ่พันศึกก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าก็อยากไปลองดูว่ายอดบุคคลในโลกพันจักรวาลมีความสามารถมากเพียงใด”
เขาพูดพลางมุ่งตรงไปจวนเจ้าเมือง
วันนั้นพวกฟางเสวียนเจินทยอยลงชื่อ ได้รับป้ายยืนยันเพื่อมุ่งหน้าไปประตูข้ามแดนปฐพี ทั้งสืบข่าวจากจวนเจ้าเมืองได้ว่าหลินสวินชื่อ ‘หลิงเสวียนจื่อ’ มาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ พวกฟางเสวียนเจินไม่เกรงกลัวสิ่งใดยิ่งกว่าเดิม
ทางเดินโบราณฟ้าดารา?
ในโลกพันจักรวาล นั่นเป็นมิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่ตกต่ำจนร่วงลงไปจากร้อยรายชื่อนานแล้วเท่านั้น
ในแดนผีสิงเช่นนั้นจะมีพวกร้ายกาจก้าวออกมาได้มากเท่าไหร่เชียว
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ทางตะวันออกของเมือง
แท่นมรรคเก่าแก่ตั้งตระหง่าน มีรัศมีประมาณพันจั้ง ทั่วทั้งแท่นดำสนิท แผ่กลิ่นอายลึกลับเหมือนไอแรกกำเนิด กฎเกณฑ์มหามรรคราวกับไม่เสื่อมสูญหลากสายประทับอยู่บนแท่นมรรค กลายเป็นลายเมฆมหามรรคที่ลี้ลับเกินคาดเดามากมาย
แท่นมรรคข้ามแดน!
แท่นมรรคโบราณที่สามารถตัดผ่านม่านนภาผนึกมรรคแท่นหนึ่ง ลายมรรคอมตะที่สลักอยู่บนนั้น สามารถต้านทานและคลี่คลายภัยพิบัติประหลาดที่อัดแน่นอยู่ในม่านนภาผนึกมรรคได้
เวลานี้ใกล้แท่นมรรคข้ามแดนมีเงาร่างมากมายรวมตัวกัน
มีเหล่าผู้แข็งแกร่งตระกูลเฮ่อที่นำโดยทูตพิทักษ์เมืองบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวน รวมถึงเหล่าระดับจักรพรรดิที่ใกล้จะมุ่งหน้าไปประตูข้ามแดนปฐพีในครั้งนี้
เมื่อหลินสวินมาถึง แค่แวบเดียวก็แยกแยะได้ ระดับจักรพรรดิที่ใกล้ก้าวสู่แดนใหญ่พันศึกเหมือนตนในครั้งนี้ มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน
ภายในนั้นยังมีพวกฟางเสวียนเจินด้วย
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจน ในเหล่าระดับจักรพรรดิมากมายนี้ เมื่อรวมข้ากับฟางเสวียนเจินแล้ว ล้วนมีมกุฎมหาจักรพรรดิถึงสิบหกคน!
พลังปราณต่างกันออกไปตั้งแต่ระดับจักรพรรดิขั้นห้าถึงด่านแปด
แม้แต่ระดับจักรพรรดิที่ไม่เคยก้าวสู่มกุฎพวกนั้น ก็มีเงาร่างของระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไม่น้อย!
และนี่ก็เป็นแค่จำนวนที่หลินสวินเห็นในปัจจุบัน
หลินสวินทำการคิดคำนวณ เหล่าระดับจักรพรรดิเช่นนี้ หากบุกไปถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา เกรงว่าคงไม่มีใครขวางได้แน่
“สหายน้อยหลิงเสวียนจื่อ ขาดแค่เจ้าคนเดียวแล้ว” ในจุดที่ห่างออกไป เมื่อเห็นหลินสวินเดินมา บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนอมยิ้มแล้วกล่าวทักทาย
หลินสวินพยักหน้า เดินไปเพียงลำพัง
สายตามากมายต่างเคลื่อนมองหลินสวินกันพรึ่บพรั่บ ล้วนเจือกลิ่นอายสำรวจมองไม่มากก็น้อย บ้างพินิจพิเคราะห์ บ้างระแวดระวัง บ้างป้องกันตัว และบ้างไม่ใส่ใจ
ฟางเสวียนเจินยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร
แต่สายตาทุกคนที่อยู่ข้างกายเขายามมองหลินสวิน กลับเจือความเย็นชาที่ไม่อำพรางแม้แต่น้อย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ใส่ใจแต่แรก หาสถานที่สำรวมจิตเพียงลำพัง ราวกับภิกษุชราเข้าฌาน
แต่เสียงพูดคุยใกล้เคียงกลับทำให้หลินสวินสังเกตเห็นพวกที่ควรค่าแก่การใส่ใจสองสามคน
คนหนึ่งคือชายชุดคลุมม่วง เอวคาดเข็มขัดหยกขาว ผมยาวสยาย นัยน์ตาแผ่แสงมรรคสีทองลึกลับ ข้างกายมีระดับจักรพรรดิมากมายห้อมล้อม
สิงมู่เทียน
มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่ง ฐานะไม่ธรรมดา ได้ยินว่าตระกูลที่เขาอยู่มีบุคคลชั้นยอดระดับอมตะบัญชาการ
ส่วนตัวเขาก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าของมิติจักรวาลสักแห่ง อานุภาพกดข่มโลกฟากหนึ่ง!
มกุฎมหาจักรพรรดิทุกคนในที่นี้ มีเพียงคนผู้นี้ที่ครอบครองพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นแปด เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง
อีกคนเป็นภิกษุสวมจีวร ร่างผอมแห้ง เท้าสวมรองเท้าสาน ผิวสีน้ำตาลแดง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น สุขุมเยือกเย็นดุจหินผา
ภิกษุรูปนี้เดินทางมาคนเดียวเหมือนหลินสวิน
ยามทุกคนในที่นั้นพินิจพิเคราะห์ภิกษุรูปนี้ หลายคนต่างเผยสีหน้าหวาดกลัว
อวิ้นหลิว
มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่มาจาก ‘โลกเสียงอสนีใหญ่’ ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด มรรควิถีทั้งตัวดั่งเทวราชไม่เสื่อมสลาย หมื่นเคราะห์ไม่อาจทำลาย ลึกล้ำยากหยั่งถึง
โลกเสียงอสนีใหญ่เดิมทีก็เป็นแดนบำเพ็ญธรรมแห่งหนึ่งในโลกพันจักรวาล มีชื่อเรียกรวมกับ ‘แดนอนุสุขาวดี’ ว่า ‘สองถิ่นกำเนิดสำนักพุทธ’
ส่วนอวิ้นหลิวคนนี้ก็มาจาก ‘อารามเสียงอสนีเล็ก’ สำนักพุทธอันดับหนึ่งแห่งโลกเสียงอสนีใหญ่
โลกเสียงอสนีใหญ่ อารามเสียงอสนีเล็ก ความอัศจรรย์ของเล็กใหญ่ ขานรับซึ่งกันและกันเหมือนดั่งธรรมคาถา ‘หนึ่งบุปผาหนึ่งโลกหล้า หนึ่งใบหนึ่งโพธิญาณ’
นอกจากสิงมู่เทียนกับอวิ้นหลิวแล้ว ยังมีอีกสามคนที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
หนิงเต้าจื้อมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่มาจาก ‘แดนนิลถ้ำคูหา’ บุคลิกงามสง่า มือถือกาสุราสำริด
ชายชุดบัณฑิตคนหนึ่งที่มาจาก ‘แดนยอดลำนำ’ จอนผมขาวโพลน ท่าทางโดดเดี่ยว ช่วงเอวมีม้วนไม้ไผ่สีเขียวคาดอยู่
จากเสียงพูดคุยทำให้หลินสวินรู้เพียงว่าคนผู้นี้ชื่อ ‘จักรพรรดิบัณฑิตคลั่ง’
อีกคนก็คือหญิงสาวสวมเกราะสีดำ ผ้าคลุมหน้าดำ ถือทวนดำคนหนึ่ง ทั่วร่างปกคลุมด้วยหมอกควันมืดมิด ดูลึกลับน่าพรั่นพรึง
นางมาจาก ‘แดนยอดดาราหม่น’ ฉายา ‘ยอดจักรพรรดิดาราเลิศ’ ดูเหมือนมีพลังปราณขอบเขตมกุฎแค่ระดับจักรพรรดิขั้นห้า แต่หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่าพลังต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้คงไม่ธรรมดาเช่นนั้น
นี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งโดยแท้
แน่นอนว่านี่เป็นแค่บุคคลทรงพลังที่หลินสวินสัมผัสได้จากการสังเกตเบื้องต้น ระดับจักรพรรดิร้อยกว่าคนในที่นี้ กล้าลงชื่อมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึก ย่อมไม่มีพวกธรรมดาสักคนแน่
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าหลายคนกำลังประเมินตนโดยไร้สุ้มเสียง
“ในที่สุดก็มาแล้ว”
ตอนนี้เองบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนที่เฝ้ารอมาตลอดพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่น เดินห่างออกไป
ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาแต่ไกล ผู้นำคือชายสวมชุดคลุมยาวเรียบง่ายคนหนึ่ง ใบหน้าดุจหยกงาม บุคลิกโดดเด่น พาดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งบนแผ่นหลัง ยามก้าวเดินใต้ฝ่าเท้ามีลายมรรคปรากฏ ย่นย่อระยะทางเหลือเพียงคืบ
ข้างกายเขาห้อมล้อมด้วยเหล่าระดับจักรพรรดิที่หน้าตาแตกต่างกันออกไป ก้าวตามเป็นขบวนด้วยสีหน้าเคารพ ภายในนั้นถึงขั้นมีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่กลับอยู่ข้างกายชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่นั่นเหมือนผู้ติดตาม
ในที่นั้นพลันเกิดความไม่สงบ คนมากมายถูกทำให้ตกใจแล้ว
เมื่อมกุฎมหาจักรพรรดิอย่างฟางเสวียนเจิน อวิ้นหลิว หนิงเต้าจื้อเห็นชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่นั่น นัยน์ตาก็หดรัดเล็กน้อยเช่นกัน
เห็นชัดว่าความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เกือบจะเวลาเดียวกัน ในใจหลินสวินก็กระตุกวูบอย่างหนักหน่วง นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย
ข้างกายชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่นั้น ยังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งตามมาด้วย ฝ่ายชายร่างผอมบาง สวมชุดคลุมขาว แววตาผ่องแผ้วดุจทะเลสาบ ฝ่ายหญิงกลิ่นอายเลือนรางเยียบเย็น รูปลักษณ์งามเลิศ
เป็นหมีอู๋หยาและเยียนอวี่โหรวนั่นเอง!
ฝ่ายแรกเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคยุทธจักร ตั้งแต่ตอนที่หลินสวินยังไม่บรรลุจักรพรรดิ ก็จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะทั่วหล้า ครองอำนาจเหนือคนรุ่นเดียวกัน ส่องประกายดั่งดวงตะวัน มีชื่อเสียงทั่วฟ้าดารา
ส่วนเยียนอวี่โหรวก็เป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ หญิงสาวแห่งยุคที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานราชันอริยะทั่วหล้า
ยามห้ำหั่นชิง ‘เขาปู้โจว’ มหาสมบัติแรกกำเนิดในเขตผนึกเซียนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเยียนอวี่โหรวหรือหมีอู๋หยา ล้วนถูกหลินสวินเอาชนะทั้งหมด
และตั้งแต่นั้นมาหลินสวินก็ไม่เคยเจออีกฝ่ายเลย
ไหนเลยจะคิดว่าหลายปีผ่านไป ถึงกับได้เจอกันที่นี่
ในใจหลินสวินก็ลอบอุทานว่าท่าไม่ดีแล้วทันที ด้วยตอนนี้เขาใช้ชื่อของศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อมาเดินทาง เมื่อถูกหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวเผยฐานะ แม้ไม่ถึงขั้นเจอเรื่องยุ่งยากอะไร แต่สุดท้ายก็จะพาให้ผู้คนสงสัย!
แต่ไม่นานหลินสวินก็พบว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตกใจไปก่อน แม้ว่าหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวจะเห็นตนแล้วอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ส่งเสียงแสดงความรู้จัก
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หลินสวินก็เดาไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสงบใจลงไม่น้อย
จากนั้นเขารู้สึกสงสัยในใจอย่างอดไม่ได้ ทำไมหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวถึงกลายเป็นบริวารข้างกายชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่นั่น
เขาเงยหน้ามองไป ก็เห็นบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกำลังพูดคุยกับชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่ สีหน้าเป็นมิตร รอยยิ้มอบอุ่น
แต่ชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่กลับนิ่งเฉย ไม่สะทกสะท้าน
แค่ดูจากท่าทีของเขาก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ ฐานะของชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็เห็นบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งพลางเอ่ยเสียงกระจ่างชัด “ทุกท่าน เชิญขึ้นมาบนแท่นมรรคข้ามแดนทีละคน”
เห็นชัดว่าคนที่ลงชื่อไปประตูข้ามแดนปฐพีมาครบแล้ว
ทุกคนในที่นั้นทยอยเคลื่อนไหวทันที ก้าวไปบนแท่นมรรคข้ามแดนทีละคน ยืนอยู่ตรงทิศทางต่างๆ
ไม่นานเสียงกัมปนาทระลอกหนึ่งดังก้องท้องนภา เห็นเพียงแท่นมรรครัศมีพันจั้งนั้นลอยขึ้นฟ้า แทรกสอดด้วยกลิ่นอายอมตะซึ่งเจิดจรัสเปล่งประกาย เคลื่อนไปยังขอบฟ้าที่ห่างไกล
เวลานี้ผู้ฝึกปราณที่อาศัยอยู่ในเมืองข้ามแดนล้วนถูกทำให้ตกใจ พากันทอดสายตามองแท่นมรรคข้ามแดนที่ห่างออกไปนั้น
“มหาจักรพรรดิอีกกลุ่มออกศึกแล้ว…”
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บนหนทางนี้กระดูกจักรพรรดิร่วงหล่น เลือดจักรพรรดิสาดพรม ผู้ที่ไปถึงได้อย่างแท้จริงจะมีสักกี่คน”
“นี่ก็คือสิ่งล่อใจของนัยเร้นลับอมตะไม่เสื่อมสูญ ต่อให้ระดับจักรพรรดิบนโลกรู้ดีว่าเคราะห์มากโชคน้อยก็ยังไปอย่างไม่ขาดสาย”
ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น
เจ้าอ้วนเป่าเล่อแหงนมองแท่นมรรคข้ามแดนนั้นห่างไป อดพึมพำไม่ได้ “ผู้อาวุโส รักษาตัวด้วย…”
คืนวันนั้นเอง
ชายที่กลิ่นอายอมตะอบอวลไปทั้งตัวคนหนึ่งมาเยือนเมืองข้ามแดน มุ่งตรงไปยังจวนเจ้าเมือง
เมื่อรู้ว่าพวกฟางเสวียนเจินนั่งแท่นมรรคข้ามแดนออกเดินทางไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว สีหน้าของชายคนนี้ก็อึมครึมลง
“หากลูกของข้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้ารับรองว่าจะไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวแค่นี้แน่!”
ชายคนนั้นโมโหเดือดดาล สะบัดแขนเสื้อจากไป
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนมองส่งเขาจากไปแล้วแค่นเสียงเย็นชาอย่างอดไม่อยู่ ไม่ได้พูดอะไร
แค่ระดับอมตะของเรือนกระบี่ต้าเหิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวแล้วอย่างไร
ชายคนนี้เป็นบิดาของฟางเสวียนเจินนั่นเอง ผู้อาวุโสคนหนึ่งของเรือนกระบี่ต้าเหิง ตัวตนน่ากลัวที่เหนือกว่าระดับบรรพจารย์ ถามหาความเป็นอมตะคนหนึ่ง
แต่เห็นชัดว่าบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนที่มาจากตระกูลเฮ่อเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งโลกยอดนิรันดร์ ไม่ใส่ใจการข่มขู่ที่มาจากคนผู้นี้โดยสิ้นเชิง
“เฮ้อ!”
ขณะเดียวกันหลังจากชายคนนี้ออกมาจากเมืองข้ามแดน ก็ถอนใจยาวอย่างอดไม่ได้
ไม่เพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของฟางเสวียนเจินหลังจากเข้าไปในแดนใหญ่พันศึก ยังมีความเสียดายที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งด้วย
ลับจิตดั่งคม!
สมบัติที่เขาเสาะหาอย่างลำบากมานานปีนั้น กลับคลาดกันไปเช่นนี้!
…………………………