ในม่านนภาผนึกมรรค

ภัยพิบัติประหลาดและอัปมงคลกลายเป็นกระแสน้ำหลาก ม้วนพัดอยู่ภายในเหมือนลมกาฬวาต กลิ่นอายน่ากลัวนั้นสามารถฉีกทึ้งระดับจักรพรรดิคนใดก็ตามได้อย่างง่ายดาย

แท่นมรรคข้ามแดนเคลื่อนตัวอยู่ในนั้น ปลดปล่อยพลังอมตะลึกลับออกมาจึงหักล้างพลังนี้ได้ เพียงแต่ความเร็วกลับเปลี่ยนเป็นช้าลง

หลินสวินเงยหน้ามองออกไป

ม่านนภาผนึกมรรคถูกมองเป็นเขตผนึกในมิติจักรวาล ต่อให้เป็นระดับอมตะก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาโดยง่าย

เมื่อเข้ามาอยู่ในนี้จริงๆ หลินสวินจึงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของม่านนภาผนึกมรรค ต่อให้มีพลังของแท่นมรรคข้ามแดนคุ้มครอง แต่แค่มองจากไกลๆ ก็พาให้คนอกสั่นขวัญแขวน

คนอื่นที่ยืนอยู่บนแท่นมรรคข้ามแดนก็กำลังสังเกตการณ์ สีหน้าแตกต่างกันออกไป

“ทุกท่าน”

ทันใดนั้นชายชราระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ผมหงอกขาวคนหนึ่งเอ่ยปาก ดึงดูดสายตาทุกคน

เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าผู้ชรามีข้อเสนอ ในเมื่อพวกเรามีวาสนาเข้าไปในประตูข้ามแดนปฐพีด้วยกัน ไม่สู้สร้างพันธมิตรกันเป็นอย่างไร เท่าที่ข้ารู้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสหายยุทธ์ผู้ร่วมวิถีที่มุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกแต่ละกลุ่มล้วนทำเช่นนี้”

ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา นัยน์ตาของหลายคนเปลี่ยนเป็นวาววาบ

ในแดนใหญ่พันศึกอันตรายเกินคาดเดา ไอสังหารรอบด้าน บนหนทางมุ่งสู่โลกยอดนิรันดร์เส้นนั้น ฝังซากศพและกระดูกจักรพรรดิไว้นับไม่ถ้วน

หากสามารถมีพวกพ้องร่วมเดินทาง แน่นอนว่าต้องดีกว่าต่างคนต่างเคลื่อนไหว

แต่ก็มีคนสีหน้าเย็นชาไม่แยแส

เหมือนพวกฟางเสวียนเจิน พวกชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่ รวมถึงเหล่าบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นล้วนเมินความคิดเห็นนี้

ถึงขั้นมีคนยิ้มหยัน “เพื่อแย่งชิงกันในแดนใหญ่พันศึก เรื่องอย่างการฆ่าฟันกันเองมีจำนวนไม่น้อย สร้างพันธมิตรแล้วอย่างไร สุดท้ายไม่พร้อมใจช่วยกันระวังภัย ต่างฝ่ายต่างป้องกันตัว เมื่อเจอเรื่องยากจัดการย่อมแตกแยกกระเซ็นกระสาย ไม่ต่างอะไรกับพวกหัวมังกุท้ายมังกร”

ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมาก็ได้รับการเห็นชอบจากผู้คนไม่น้อย

พวกเขามาจากโลกจักรวาลต่างๆ แต่ละคนล้วนมีอานุภาพเทียมฟ้าสะท้านดิน เหมือนนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ในโลกของตัวเอง

ยิ่งเป็นบุคคลที่ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ในโลกมามาก ยึดกุมพลังร้ายกาจอย่างพวกเขา ก็ยิ่งไม่มีทางเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างร่วมแรงร่วมใจ

“สร้างพันธมิตรนั้นย่อมได้ แต่ก็จำกัดอยู่แค่เรื่องเล็กน้อย หากเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายหรือตึงมือหาใดเปรียบจริง หากช่วยได้ก็จะช่วย”

ทันใดนั้นหนิงเต้าจื้อส่งเสียงหัวเราะเบาๆ มกุฎมหาจักรพรรดิที่มาจากโลกนิลถ้ำคูหาคนนี้ บุคลิกงามสง่า ท่าทางเยือกเย็น

ทันทีที่เขาเอ่ยปากก็ทำให้หลายคนใจสั่น

ชายชราระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ยื่นข้อเสนอในตอนต้นพลันยิ้มกล่าว “ที่สหายยุทธ์กล่าวมาทั้งหมดถูกต้องที่สุด เอาอย่างนี้ ผู้ยินดีร่วมมือเคลื่อนไหวด้วยกัน แค่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนออกมาก็พอ”

ระดับจักรพรรดิส่วนใหญ่ที่ไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ ณ ที่นั้นพากันตอบรับเรื่องร่วมมือกันทันที

ทั้งเหมือนจะฟังคำสั่งของชายชราคนนี้กับหนิงเต้าจื้อด้วย

นี่ก็คือการกระทำที่มุ่งหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตราย รวมกลุ่มบรรเทาทุกข์อย่างหนึ่ง ระดับจักรพรรดิพวกนั้นล้วนรู้ดีว่าการร่วมมือกัน สำหรับพวกเขาแล้วมีแต่ประโยชน์ ไม่ถึงขั้นมีอันตรายมากเท่าไหร่

เมื่อระดับจักรพรรดิที่แสดงท่าทีว่ายอมร่วมมือมีมากขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ในที่นั้นก็เปลี่ยนเป็นพิกลอยู่บ้างแล้ว

คนที่ร่วมมือกันเหมือนกลายเป็นค่ายทัพใหญ่

ส่วนคนที่ไม่ร่วมมือนั้นต่างกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ

ข้างกายบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างฟางเสวียนเจิน ชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่ สิงมู่เทียน จักรพรรดิขวงหรู ยอดจักรพรรดิเสวียนซิง ล้วนมีระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย ต่างฝ่ายต่างมีกลุ่มก้อนขุมอำนาจของตนเอง

มีเพียงหลินสวินกับภิกษุอวิ้นหลิวที่มาจากอารามเสียงอสนีเล็กแห่งโลกเสียงอสนีใหญ่เท่านั้นที่ยืนอยู่ด้านข้างเพียงลำพังมาตลอด เห็นชัดว่าแปลกแยกอยู่บ้าง

“สหายยุทธ์อวิ้นหลิว ไม่สู้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับพวกเราเล่า”

หนิงเต้าจื้อยิ้มพลางกล่าวเชิญ

แน่นอนว่าบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างเขารู้ดีว่าหากดึงอวิ้นหลิวเข้าร่วมได้ ย่อมสามารถทำให้พลังของพันธมิตรนี้ยกระดับขึ้นอีกช่วงใหญ่

อวิ้นหลิวร่างผอมแห้งสวมจีวร เท้าสวมรองเท้าสาน ราวกับหินผาก้อนหนึ่ง เวลานี้เขาคิดดูครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวกล่าว “อาตมาเดินทางเพียงลำพังจนเคยชินแล้ว”

นี่ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธแล้ว

และทำให้คนที่ร่วมมือกันมากมายอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้

หนิงเต้าจื้อกลับไม่ท้อถอย ยิ้มรับพลางกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร หากสหายยุทธ์สนใจเข้าร่วมเมื่อไหร่พวกข้ายินดีต้อนรับทุกเมื่อ”

จากนั้นเขาเคลื่อนสายตามองหลินสวิน “สหายยุทธ์ เจ้ายินดีเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่”

หลินสวินส่ายหัว “ขออภัย ข้าก็ไปมาคนเดียวจนชินแล้ว”

หนิงเต้าจื้อยิ้ม มองความรู้สึกในใจเขาไม่ออกพลางกล่าว “ไม่เป็นไรๆ”

เวลานี้พลันมีคนแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง “ตั้งกี่ปีมาแล้ว สถานที่ซอมซ่ออย่างทางเดินโบราณฟ้าดาราอุตส่าห์มีมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งอย่างเจ้าก้าวออกมา แต่กลับดึงดันทำตามใจ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นในแดนใหญ่พันศึก ต้องพาให้คนเสียดายอย่างอดไม่ได้แน่”

หลินสวินเงยมองไป ก็เห็นว่าคนที่พูดคือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งที่เข้าร่วมพันธมิตร ใบหน้าดูเหมือนชายหนุ่ม ความจริงแล้วเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งชัดๆ

ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจที่หลินสวินปฏิเสธหนิงเต้าจื้ออยู่บ้าง

ความจริงสีหน้าของคนอื่นก็มีความไม่พอใจเช่นนี้อยู่ไม่มากก็น้อย

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ ยามอวิ้นหลิวปฏิเสธ คนพวกนี้แค่ผิดหวัง ไม่กล้าเผยความไม่พอใจใดสักนิด

แต่เมื่อถึงคราวตน แต่ละคนกลับมีท่าทางเช่นนี้ จากความแตกต่างนี้ก็มองออกว่ายามพวกเขาปฏิบัติตัวกับตน ไม่ได้เจือความเคารพเหมือนตอนปฏิบัติตัวกับอวิ้นหลิว

‘เป็นเพราะข้ามาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา ทั้งชื่อเสียงยังไม่โด่งดังเหมือนอวิ้นหลิวรึ’ หลินสวินรู้สึกได้รางๆ ว่าน่าจะเป็นเช่นนี้

เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วชี้นิ้วไปทางฟางเสวียนเจิน กล่าวกับบรรพจารย์จักรพรรดิที่เหมือนชายหนุ่มคนนั้นว่า

“หลังจากไปถึงแดนใหญ่พันศึก ข้ากับสหายยุทธ์ฟางเสวียนเจินคนนี้มีโอกาสสูงว่าจะกลายเป็นศัตรูกัน หากทุกท่านไม่กลัวว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ข้าก็ยินดีร่วมมือกับทุกท่าน”

ทุกคนต่างตกตะลึง จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

บรรพจารย์จักรพรรดิที่พูดจาถากถางหลินสวินก่อนหน้านี้ก็ปิดปาก สีหน้าค่อนข้างผิดแปลกอยู่บ้าง

พวกเขาไม่มีใครกล้าดูถูกพลังของฟางเสวียนเจิน!

แม้แต่หนิงเต้าจื้อยังอดอึ้งไปไม่ได้ นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง

เวลานี้ฟางเสวียนเจินอดเลิกคิ้วไม่ได้ มองหลินสวินด้วยนัยน์ตาราบเรียบ “กลายเป็นศัตรูหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิดของเจ้า ตอนนี้ยังไม่ถึงแดนใหญ่พันศึก เจ้ายังมีโอกาสเปลี่ยนใจ”

เมื่อวาจานี้กล่าวออกมา เท่ากับยืนยันคำพูดเมื่อครู่นี้ของหลินสวิน ทำให้สีหน้าของระดับจักรพรรดิมากมายที่ร่วมมือกันนั้นแปลกพิกลยิ่งกว่าเดิมแล้ว

หลินสวินยิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก

“เจ้ามาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือ”

ชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่พลันเอ่ยปาก นัยน์ตาเหมือนอสนีบาดตา น่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ ในเสียงทุ้มต่ำเจือความน่าเกรงขามสะกดผู้คน

หลินสวินมองหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวอย่างไร้ร่องรอยวูบหนึ่งแล้วจึงกล่าว “ไม่ผิด”

ชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่กล่าว “ข้าได้ยินว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารามีมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งนามว่าหลินเต้ายวน ใช่เจ้าหรือไม่”

“นายน้อย ไม่ใช่เขา หลินเต้ายวนนั่นข้าเคยเจอมาก่อน นิสัยเผด็จการกำแหง แข็งกร้าวอวดดี ไม่เหมือนสหายยุทธ์คนนี้อย่างสิ้นเชิง”

ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก เยียนอวี่โหรวก็กล่าวเสียงเบา

เพี๊ยะ!

หญิงชราเหมือนไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่เงื้อมือตบเยียนอวี่โหรว ตวาดด่าเสียงเย็น

“ยามนายน้อยพูด มีส่วนไหนให้คนชั้นต่ำอย่างเจ้าสอดปาก หากไม่รู้จักมารยาทอีก ระวังข้าจะกำจัดเจ้าทิ้ง!”

บนใบหน้างามขาวกระจ่างของเยียนอวี่โหรวปรากฏรอยฝ่ามือบวมเป่ง มุมปากหลั่งเลือด ผมเผ้าล้วนยุ่งเหยิงขึ้นมา

เห็นได้ว่าพลังของฝ่ามือนี้หนักหน่วงนัก

นี่ทำให้หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลง เขาเดาไม่ออกว่าทำไมเยียนอวี่โหรวต้องทำเช่นนี้ ว่าไปแล้วปีนั้นระหว่างเขากับนางยังเคยเป็นคู่ต่อสู้กันด้วย

กลับเห็นเยียนอวี่โหรวก้มหน้าหลุบตา สั่นเทาไปทั้งตัว กล่าวอย่างเคารพยำเกรง “ท่านย่าโปรดระงับโทสะ คราวหน้าข้าไม่กล้าอีกแล้ว”

“ฮึ พวกไร้การอบรม! หากไม่ใช่ว่านายน้อยหวงแหนพรสวรรค์และแก่นกระดูกของเจ้า ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว!” หญิงชรากล่าวอย่างน่าเกรงขาม

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เครียดขมึงอย่างอดไม่ได้

ในสายตาของพวกเขา เยียนอวี่โหรวเป็นถึงระดับจักรพรรดิขั้นสามคนหนึ่ง ทั้งหน้าตา ความงามสง่า ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ล้วนโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

แต่หญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่ กลับกล้าตำหนินางเหมือนข้าทาส!

“ทำไม ตัวเองเป็นใครก็ไม่กล้ายอมรับหรือ”

ชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่เหมือนไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แต่แรก สายตาจ้องมองแค่หลินสวิน เจือกลิ่นอายข่มขู่ผู้คนอย่างหนึ่ง

หลินสวินยิ้ม แต่กลับไม่มีคลื่นความรู้สึกแม้แต่น้อย “เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงกล้าพูดกับข้าเช่นนี้”

ก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าเยียนอวี่โหรวทำไปเพื่อช่วยตน แต่ด้วยประโยคเดียวจึงถูกตบหน้า โดนหยามเหยียดจนอับอายไม่เหลือ

นี่ทำให้ในใจหลินสวินไม่วายกรุ่นโกรธเช่นกัน แน่นอนว่าไม่มีทางเกรงใจอีก

ฮือ!

แต่เมื่อเขาเอ่ยปากออกมา ทุกคนตรงนั้นแตกตื่น ล้วนอดส่งเสียงฮือฮาไม่ได้ เผยสีหน้ายากจะเชื่อ

“ฮ่า น่าสนใจ เจ้าถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่เหวินเซ่าเหิง ‘จักรพรรดิกระบี่อวี้เฟิง’ หนึ่งใน ‘ห้ายอดจักรพรรดิตระกูลเหวิน’ ที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวินเชียวรึ น่าสนใจ น่าสนใจเกินไปแล้ว”

ฟางเสวียนเจินที่เดิมก็มองหลินสวินเป็นศัตรูหัวเราะขึ้นมาเป็นคนแรก เจือแววถากถางอย่างรุนแรง

ทุกคนข้างกายเขาก็หัวเราะขึ้นมา

ตระกูลเหวิน!

เหวินเซ่าเหิง!

หลินสวินตระหนักได้ในทันทีว่าทำไมยามชายชุดคลุมยาวพาดกระบี่คนนี้ปรากฏตัว บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถึงดูกระตือรือร้นเช่นนั้น

ที่แท้อีกฝ่ายก็มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวินแห่งโลกยอดนิรันดร์!

เหวิน เหิง เผิง เฮ่อ

สี่เผ่าจักรพรรดิอมตะนี้ผลัดกันครองเมืองข้ามแดนนอกประตูข้ามแดนปฐพีมาตั้งแต่อดีตกาล แน่นอนว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเทียบได้

ก็ไม่แปลกที่ยามพวกฟางเสวียนเจิน อวิ้นหลิว หนิงเต้าจื้อเห็นเหวินเซ่าเหิง จะเผยสีหน้าจริงจังหวาดกลัวออกมา

แต่ตอนนี้ในที่นั้นกลับปั่นป่วน ทุกคนต่างแปลกใจ เชื่อว่าประโยคนั้นของหลินสวินเท่ากับล่วงเกินเหวินเซ่าเหิงไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!

จริงดังคาด พลันเห็นสีหน้าเหวินเซ่าเหิงขรึมลงเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น

“รนหาที่ตาย!”

หญิงชรานั่นปกป้องนายด้วยใจภักดิ์ ก้าวออกมาเป็นคนแรก จ้องมองหลินสวินด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอโทษนายน้อยตระกูลข้าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นแดนใหญ่พันศึกจะเป็นที่ฝังกระดูกของเจ้า!”

ประโยคเดียวทำให้ในที่นั้นเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด กดดันเป็นอย่างยิ่ง

ใครต่างก็รู้ว่าคนของตระกูลเหวินกล้าพูดเช่นไร ย่อมกล้าทำเช่นนั้น!

กลับเห็นหลินสวินสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มองหญิงชราสีหน้าอึมครึมนั้นพลางกล่าวราบเรียบ

“ยายเฒ่า เจ้าควรยินดีที่ตอนนี้อยู่ภายใต้ม่านนภาผนึกมรรค มิฉะนั้นเจ้าคงตายด้วยประโยคนี้แล้ว”