ตูม!
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มเสื้อขนนกก็ตกอยู่กลางวงล้อมเป็นชั้นๆ สี่ทิศแปดทางล้วนถูกปิดตายสมบูรณ์ ไม่นานนักก็ถูกซัดจนกระอักเลือดซ้ำๆ
เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าหวาดกลัว เค้นมรรควิถีทั้งตัวออกโจมตีกลับไม่สามารถหลุดรอดได้ ตรงข้ามกลับถูกบีบอับจน อันตรายถึงชีวิต
“นี่มันอะไรกัน นี่แม่งคือพลังที่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกมีได้หรือ” เด็กหนุ่มเสื้อขนนกตกใจปนเดือดดาล รู้สึกเพียงทุกสิ่งที่พบเจอตรงหน้าล้วนทำลายทุกสิ่งที่เคยรู้มา
“แย่แล้ว!”
ไกลออกไป ชายชราผมเคราสีขาวหิมะก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน รีบพุ่งเข้ามาทางนี้และลงมือทันที
วู้ม!
เขาเรียกโคมพระราชวังหยกดำที่โบราณและลายพร้อยออกมา มันหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนซัดกระแสเพลิงดุจรุ้งเทพออกมาแถบหนึ่ง สีสันงดงาม โชติช่วงบาดตา อานุภาพก็อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ แผดเผาจนห้วงอากาศบิดเบี้ยวมอดไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นธุลี
แม้แต่ระดับจักรพรรดิทั่วไป ถูกกระแสเพลิงระดับนั้นสัมผัสเข้าเพียงเล็กน้อยก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวกระจาย
ร่างต้นของหลินสวินหมุนตัว นัยน์ตาดำลึกล้ำ ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งต้านทาน
เคร้ง!!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งชนกับโคมพระราชวัง ละอองแสงมรรคพุ่งโจมตีต่อเนื่อง สาดกระแสพลังคลุ้งฟ้าออกมา ม้วนตลบสิบทิศ
“แข็งแกร่งนัก!”
ชายชราผมขาวนัยน์ตาหดรัด แขนเสื้อสะบัดโบก ตบฝ่ามือหนึ่งใส่หลินสวิน การโจมตีนี้ราวภูเขาเทพเคลื่อนขวาง มีอานุภาพบดขยี้จักรวาล
อานุภาพระดับบรรพจารย์ที่โหมซัดไร้ทัดเทียมนั่นเจาะทะลวงเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน
หลินสวินโจนตัวขึ้นไป เหวี่ยงหมัดโจมตี สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งตัวเดือดพล่านดุจลุกโชน ทำให้อานุภาพเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งยิ่งยวด ประดุจเตาโลกาวินาศ ปั่นป่วนเมฆลมสิบทิศ
ครืนโครม…
ชั่วพริบตาทั้งคู่ต่อสู้ดุเดือดหลายสิบกระบวน สู้กันจนฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในความโกลาหลปั่นป่วน ทุกแห่งล้วนเป็นร่องรอยยุบถล่มพังทลาย
ชายชราผมขาวสีหน้าอึมครึมคล้ำเขียวยิ่ง แววตกใจในสายตาปิดไม่มิดสักนิด
เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่ามกุฎมหาจักรพรรดิขั้นหกคนหนึ่ง เหตุใดถึงก้าวข้ามสามขั้นมาประชันกับระดับบรรพจารย์เช่นตนได้
ที่แย่ที่สุดคือ เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป ชายชราผมขาวก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปะทะเข้ามา เริ่มส่อแววถูกกดข่มอยู่รำไร!
‘หรือเจ้าหนุ่มนี่เป็นสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าที่มาจากโลกยอดนิรันดร์ หาไม่เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของเขาเลย’
ชายชราผมขาวยิ่งสู้ยิ่งหวาดหวั่น
เดิมทีเขาและเด็กหนุ่มเสื้อขนนกเห็นว่าหลินสวินตัวคนเดียว ซ้ำยังมีปราณเพียงระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกเท่านั้น ก้เหมือนกับมองเห็นลูกแกะอ้วนพีที่ฆ่าแกงได้ตามใจตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงเลือกลงมือโดยไม่ลังเล
ไหนเลยจะคาดคิดว่านี่เป็นหมาป่าห่มหนังแกะชัดๆ!
ส่วนหลินสวินยิ่งสู้ยิ่งกล้า ยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง จิตต่อสู้ในใจเดือดพล่าน รู้สึกเพียงสะใจหาที่เปรียบไม่ได้
นับตั้งแต่ทะลวงปราณเหยียบย่างขั้นไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่ใช่ว่าเขายังไม่เคยสังหารระดับบรรพจารย์ แต่ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยกายมรรคทั้งห้าออกโจมตีพร้อมกัน ไม่ก็อาศัยอานุภาพของอภินิหารหยุดเวลา
เหมือนเช่นยามสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยน รวมถึงการสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิข้างกายฟางเสวียนเจินก็เป็นเช่นนี้
แต่การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่หลินสวินใช้พลังของร่างต้นในการต่อสู้ซึ่งหน้า ไม่หยิบยืมพลังอภินิหารหยุดเวลา ไม่อาศัยพลังของกายมรรคทั้งห้าไปกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิ!
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่บรรพจารย์มรรคอย่างแท้จริง แต่ตนสามารถสู้ได้ถึงขั้นนี้ นี่ก็ทำให้รู้สึกฮึกเหิมแล้ว
“ช่วยข้า…!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนน่าอนาถสายหนึ่งดังขึ้นมาจากไกลๆ
ชายชราผมขาวสั่นไปทั้งตัว เงยมองไปคราหนึ่ง สภาวะจิตพลันหนาวเยือก
ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเด็กหนุ่มเสื้อขนนก ถึงกับถูกล้อมโจมตีจนตาย!
แม้แต่หลบหนียังไม่มีโอกาส ร่างกายถูกกระแทกระเบิด พลังจิตถูกโจมตีแหลกลาญ ตายในสภาพอเนจอนาถ ทำเอาชายชราผมขาวสะท้านใจ
เมื่อเห็นกายมรรคทั้งห้าล้อมเข้ามาทางนี้ ชายชราผมขาวไม่กล้าลังเลอีก กัดฟันอย่างหนัก ส่งเสียงคำรามดิ้นรน
“โอม!” แสงเลือดแถบหนึ่งระเบิดออกจากตัวเขา ท่ามกลางความพร่าเลือน ดุจดั่งเงาร่างเทพศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังพุ่งออกจากแสงเลือด
พริบตานี้ร่างหลินสวินพริบวาบเคลื่อนย้าย ถอยห่างออกไปทันที
ตูม!!
แสงเลือดน่าสะพรึงพุ่งโจมตี กระแทกกับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวิน ปลดปล่อยพลังไร้ขอบเขตออกมา ทำเอาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังสั่นโคลงรุนแรง หลินสวินยิ่งถูกซัดสะเทือนจนเซ เกือบกระเด็นลอยออกไป
เมื่อฝุ่นควันจางหาย
ในที่นั้นไม่มีเงาร่างของชายชราผมขาวคนนั้นแล้ว กลางฟ้าดินมีแต่ภาพทำลายล้างพังพินาศน่าตระหนก
หลินสวินถอนหายใจออกมาเบาๆ อดเผยรอยยิ้มขื่นไม่ได้
เป็นตนประเมินระดับบรรพจารย์ต่ำไปหรือ
ไม่ใช่หรอก
สาเหตุเป็นเพราะแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ว่าการโจมตีที่ประหนึ่งเดิมพันด้วยชีวิตของชายชราผมขาวอานุภาพจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
หากไม่ใช่เพราะเขาหลบทัน ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งป้องกันไว้ เกรงว่าคงต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน
‘คราวหน้าหากเจอสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้อีก ต้องไม่ให้โอกาสพวกเขาสู้เต็มกำลังเด็ดขาด ใช้กายมรรคทั้งห้าโจมตีพร้อมกัน รีบสู้รีบจบ ฆ่าภายในหนึ่งการโจมตี…’
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หลินสวินเกิดความระวังขึ้นมาก และได้ผลเก็บเกี่ยวมากเช่นกัน
อย่างน้อยเขาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าภายใต้สถานการณ์ปะทะซึ่งหน้า อาศัยเพียงพลังต่อสู้ของร่างต้นก็สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งได้
แน่นอนว่าเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไป
หากได้พบบรรพจารย์มรรค เขาก็คงได้แต่หลบหลีกคมประกายของคนผู้นั้นเท่านั้น
ไกลออกไป หลังกายมรรคทั้งห้าเก็บกวาดทรัพย์หลังศึกในสนามรยแล้วก็กลับมารวมในร่างต้นของหลินสวิน
ทรัพย์หลังศึกล้นเหลือยิ่ง ทว่าไม่มีสมบัติพิเศษเลย มีแต่สมบัติเล็กๆ น้อยๆ อย่างผลึกต้นกำเนิดจักรวาล เจตวัตถุ วัตถุดิบเทพ ลูกกลอนโอสถ สมบัติจักรพรรดิบางส่วนเท่านั้น
“ข้าสงสัยที่มาของวิชาเจ้ามาตลอด พอจะบอกข้าได้หรือไม่” จู่ๆ นกกระจอกเขียวก็เอ่ยถามขึ้น
ตลอดทางนี้นกกระจอกเขียวเห็นการต่อสู้ของหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยตาตัวเอง เคยเห็นหลินสวินสำแดงอภินิหารหยุดเวลาฆ่าศัตรู เคยเห็นความน่ากลัวของกายมรรคทั้งห้าของเขา และเคยเห็นความแข็งแกร่งและเร้นลับของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
จากความรู้ของนกกระจอกเขียว แม้แต่ในเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหยวนยังหามกุฎมหาจักรพรรดิที่พอจะเทียบรัศมีกับหลินสวินได้เพียงไม่กี่คน
อย่างน้อยในระดับจักรพรรดิขั้นหกก็ไม่มีใครเทียบได้!
แน่นอน นกกระจอกเขียวรู้แต่ต้นว่าหลินสวินไม่ธรรมดายิ่งยวด หาไม่บุคคลชั้นเลิศอย่างหยวนชิงเหิงเจ้านายของมันคงไม่มีทางเป็นรองในการต่อสู้ซึ่งหน้า ไม่อาจสู้กับหลินสวินได้
แต่ในใจนกกระจอกเขียวยังคงมีข้อสงสัยอยู่มาก หนำซ้ำข้อสงสัยเหล่านี้ยังอัดอั้นอยู่ภายในใจมานาน
“รอถึงเวลาแล้วข้าจะบอกเจ้าเอง” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
นัยน์ตาปราดเปรียวของนกกระจอกเขียวกลอกตาใส่รอบหนึ่ง “ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็พอเดาได้ แม้ว่าเมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้ เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ตระกูลลั่วคนนั้นจะหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาด แต่พลังหุบเหวกลืนกินของเขากลับมีชื่อเสียงยิ่งในหมู่เผ่าจักรพรรดิอมตะทั่วโลกยอดนิรันดร์”
คำพูดนี้ไม่ได้เปิดโปงชัดเจน แต่หลินสวินรู้ดีว่านกกระจอกเขียวล่วงรู้ความจริงบางอย่างแล้ว
“เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง” หลินสวินถาม
ลูกตาของนกกระจอกเขียวหมุนกลอก กล่าวว่า “ข้าแค่สงสัยยิ่ง ว่าทั้งที่เจ้าไม่ใช่ทายาทตระกูลลั่ว แต่เหตุใดกลับครอบครองพลังพรสวรรค์ของตระกูลลั่วได้”
หลินสวินปรายตามองนกกระจอกเขียวปราดหนึ่ง ไม่ตอบแต่ถามกลับ “พลังหุบเหวกลืนกินแยกแยะง่ายมากเลยหรือ
นกกระจอกเขียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นั่นก็แล้วแต่คน เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์หายตัวไปนานแล้ว แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ ก็มีเพียงผู้อาวุโสรุ่นเดียวกันกับเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์บางส่วนเท่านั้นที่แยกแยะพลังพรสวรรค์ระดับนี้ได้”
จากนั้นนกกระจอกเขียวก็หัวเราะขึ้นมา “ที่แท้เจ้ากลัวว่าจะถูกเปิดโปงพรสวรรค์ในตัวนี่เอง วางใจเถอะ อย่าว่าแต่ในแดนใหญ่พันศึกนี่เลย แม้แต่โลกยอดนิรันดร์ในตอนนี้ ผู้ที่สามารถมองออกได้ก็มีไม่กี่คน”
“แต่เจ้ากลับมองออก” สายตาหลินสวินลึกล้ำ “ดูท่าที่มาของเจ้าจะห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงง่ายๆ ทั่วไปแล้ว”
นกกระจอกเขียวเบิกตากว้างเหมือนอับอายจนพานโมโห “ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นสัตว์เลี้ยง หากไม่ใช่เพราะเจ้านายห่วงว่าเจ้าจะตกใจ ไม่ให้ข้าเผยตัวตน ป่านนี้เจ้าคงตกใจแทบแย่แล้ว!”
หลินสวินยิ้ม ในใจรู้ดีว่าคำพูดของนกกระจอกเขียวอาจมีส่วนขี้โม้ไปบ้าง แต่มันไม่มีทางเป็นแค่นกกระจอกเขียวธรรมดาตัวหนึ่งง่ายๆ แค่นั้นแน่
“เหตุใดไม่พูดแล้วล่ะ หรือว่านึกกลัวขึ้นมา วางใจได้ ข้าไม่สนใจจะเปิดโปงฐานะของเจ้าแม้แต่น้อย หากไม่เพราะเจ้านายให้ข้าคอยบอกทางเจ้า ข้ายังคร้านจะสนใจเจ้าด้วยซ้ำ” นกกระจอกเขียวทำท่าเย่อหยิ่งดังเดิมอีกครั้ง
หลินสวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
ที่มาไม่ธรรมดาแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงนกตัวหนึ่ง ไยต้องตอแยกับมันด้วย
พอเห็นหลินสวินไม่เอ่ยพูด นกกระจอกเขียวกลับกล่าวขึ้นเหมือนยังไม่หายอึดอัด “เจ้าก็อย่าได้ใจไป บรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกเจ้าสังหารก่อนหน้านี้ ในโลกยอดนิรันดร์ถูกมองเป็น ‘บรรพจารย์ขั้นเก้า’ บรรพจารย์นั้นลึกล้ำ หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาที่ยังไม่ได้ครอบครองมหามรรคสมบูรณ์แบบ ชั่วชีวิตก็จะหยุดอยู่แค่เพียงระดับจักรพรรดิขั้นเก้า”
“มีเพียงบรรพจารย์มรรคที่สามารถหยั่งถึงอมตะ บรรพจารย์มรรคกับบรรพจารย์ขั้นเก้าต่างกันราวฟ้ากับเหว!”
กลับเห็นหลินสวินไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับพยักหน้าคล้ายขบคิด “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่ามีคำเรียกว่าบรรพจารย์ขั้นเก้าอยู่ด้วย ขอบคุณที่ชี้แนะ”
นกกระจอกเขียวอึ้งไป ความโกรธรุ่มๆ สุมทรวงเหมือนถูกฝืนอุดเอาไว้ อดถลึงตามองหลินสวินปราดหนึ่งไม่ได้ จากนั้นแค่นเสียงเย็นเก็บสายตากลับไป และใช้จะงอยปากสางขน ทำท่าเหมือนข้าคร้านจะเถียงกับเจ้าแล้ว
หลินสวินยิ้มน้อยๆ มุ่งหน้าต่อไปในฟ้าดินเวิ้งว้างสีเลือดอันยาวไกลอย่างอารมณ์ดี
บรรพจารย์จักรพรรดิสองคน คนหนึ่งถูกสังหาร อีกคนหนีเตลิด แต่ยังทำให้หลินสวินกอบโกยได้ค่อนข้างมาก ได้รับมุกบริสุทธิ์มารมายาระดับจอมราชันมาสามเม็ด
รวมแล้วในมือเขามีมุกบริสุทธิ์เจ็ดเม็ด!
‘มิน่าเจ้าเฒ่าสองคนนั้นถึงเลือกปล้นเอา การตามล่ามารมายาระดับจอมราชันมีแต่ต้องพึ่งดวง หาพบยากเย็น ไม่สู้ปล้นเอาเร็วกว่าเป็นไหนๆ’
ระหว่างทางหลินสวินก็เริ่มคิดเรื่องปล้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ‘แค่ไม่รู้ว่าขบวนพวกเหวินเซ่าเหิงอยู่ที่ไหน หาไม่คงเชือดแกะอ้วนพีตัวนี้ได้ ในฐานะทายาทเผ่าจักรพรรดิอมตะ ทรัพย์สินในตัวเจ้าหมอนี่ต้องอุดมสมบูรณ์หาที่เปรียบไม่ได้แน่…’
นอกจากนี้ในใจหลินสวินก็สงสัยมาตลอด เหตุใดหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวถึงติดตามข้างกายเหวินเซ่าเหิง
นี่ผิดวิสัยเกินไป
“นกกระจอกเขียว เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดเหวินเซ่าเหิงนั่นต้องเข้าแดนใหญ่พันศึก เขามาจากโลกยอดนิรันดร์แท้ๆ ต่อให้เป็นการกลับไปก็ไม่เห็นต้องเลือกเส้นทางนองเลือดสายนี้กระมัง”
หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้
“เพื่อขัดเกลา”
นกกระจอกเขียวกล่าว “ผู้แข็งแกร่งในโลกพันจักรวาลมองแดนใหญ่พันศึกเป็นเส้นทางเดียวที่มุ่งสู่โลกยอดนิรันดร์ แต่ในสายตาขุมอำนาจใหญ่โลกยอดนิรันดร์ แดนใหญ่พันศึกเป็นสนามขัดเกลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“เกือบทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง เผ่าจักรพรรดิอมตะแต่ละแห่งจะส่งทายาทในตระกูลออกมาเคี่ยวกรำในแดนใหญ่พันศึก มองภัยร้ายเป็นหินลับดาบ มองผู้แข็งแกร่งแดนใหญ่พันศึกเป็นเป้า!”
………………………………