ปราณกระบี่ที่ปกคลุมด้วยลายมรรคแปลกประหลาด สุดท้ายก็สลายไป
ฮู่ว…
หลินสวินถอนหายใจ ในใจอดตะลึงไม่ได้
ก่อนหน้านี้ยามได้ยินคำชี้แนะของนกกระจอกเขียว เขายังไม่เห็นด้วยนัก
แต่หลังจากสังหารจอมราชันวิญญาณล่วงลับไปตนหนึ่งจริงๆ เขาจึงตระหนักได้ว่าวิญญาณร้ายนี้น่ากลัวเพียงใด
ใครจะกล้าจินตนาการว่าความยึดมั่นของจอมราชันวิญญาณล่วงลับตนนี้ กลับเป็นปราณกระบี่สายหนึ่ง
ทั้งยังแปลกประหลาดขนาดนั้น ปกคลุมด้วยลายมรรคที่คลุมเครือน่ากลัว!
“หืม?”
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าหลังจากจอมราชันวิญญาณล่วงลับนั่นตายไป ได้ทิ้งม้วนหยกเก่าชำรุดม้วนหนึ่งเอาไว้ เต็มไปด้วยรอยด่างจนไม่เหลือสภาพนานแล้ว
หลินสวินเก็บมันขึ้นมาแล้วแทรกจิตรับรู้เข้าไป
‘ท่านพ่อ ท่านแม่บอกว่าท่านใกล้จะกลับมาแล้ว จริงหรือ ข้ากับท่านแม่คิดถึงท่านมาก ท่านจากไปสามร้อยสิบเก้าปีแปดสิบเจ็ดวันแล้ว…’
‘ท่านพ่อ ข้าจะรอท่านกลับมาร่วมงานแต่งของข้า ท่านไม่กลับมา ข้าจะไม่ออกเรือน…’
ประโยคในม้วนหยกนั่นขาดๆ หายๆ เลือนรางอย่างมาก ขาดหายไปกว่าครึ่งแล้ว ไม่ง่ายกว่าหลินสวินจะเห็นสองประโยคที่สมบูรณ์
จากนั้นหลินสวินเงียบไป จิตใจเหมือนถูกพลังที่ไม่รู้ที่มาสะกิด สั่นสะท้านเบาๆ คราหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดว่า ในเมื่อม้วนหยกที่เก่าชำรุดนี้เป็นสมบัติหนึ่งเดียวบนตัวจอมราชันวิญญาณล่วงลับ จะต้องมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ใครจะคิดว่ากลับเป็นจดหมายครอบครัวฉบับหนึ่ง
จดหมายที่แฝงความคิดถึงอย่างลึกซึ้งของลูกสาว
แม้แต่บิดาจากไปนานแค่ไหนยังจำได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเรื่องที่มีเพียงญาติสนิทจึงจะระลึกถึง
ตอนที่จอมราชันวิญญาณล่วงลับยังมีชีวิตอยู่ คงจะ… คิดถึงลูกสาวของเขามากกระมัง
หลินสวินนึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนและหลินฝานที่อยู่ในภูเขาชำระจิตขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้แยกกันเพียงแค่ปีกว่า แต่พวกเขาสองแม่ลูกเกรงว่าคงจะคิดถึงและห่วงหาตนอยู่ตลอดเช่นกันกระมัง
จากนั้นหลินสวินก็ยิ้ม
เจ้าตัวน้อยหลินฝานคงไม่ได้คิดถึงมากแน่ เด็กย่อมไม่รู้รสชาติของความเศร้า
กลับเป็นจิ่งเซวียน…
นางจะต้องคิดถึงตนไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งกระมัง…
คิดถึงตรงนี้หลินสวินอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เก็บม้วนหยกกระดำกระด่างเก่าขาดในมืออย่างระมัดระวัง สิ่งของเช่นนี้ธรรมดามาก แต่กลับล้ำค่านัก ควรค่าแก่การเก็บสะสมเอาไว้
สำหรับเรื่องที่สังหารจอมราชันวิญญาณล่วงลับ หลินสวินไม่ได้นึกเสียใจภายหลัง
เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่วิญญาณร้ายที่แปรสภาพจากความยึดมั่น ร่างต้นของเขาคงจะร่วงหล่นตั้งแต่ดับสิ้นของของยุคก่อนแล้ว
‘ไม่ว่ายุคสมัยแปรเปลี่ยน เรื่องราวบนโลกแปรผัน ความรักของครอบครัวก็ไม่มีวันเปลี่ยน…’
หลินสวินพึมพำในใจ
พร้อมๆ กับการร่วงหล่นของจอมราชันวิญญาณล่วงลับ วิญญาณล่วงลับในโกรกธารแห่งนี้ราวกับตระหนักได้ถึงอันตราย หายไปในหมอกหนา หาไม่เจออีก
หลินสวินตั้งจิตให้มั่น สายตามองไปยังก้นโกรกธาร
ประกายพร่างพราวขนาดประมาณใบพัดลอยอยู่บนพื้นดินสีน้ำตาลดำ สาดละอองแสงมหามรรคที่งดงามหลากสี
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในกลุ่มแสงนั่นมีพลังต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดและบริสุทธิ์พลุ่งพล่าน ไอแห่งมหามรรคเป็นสายๆ อบอวล สะดุดตาอย่างที่สุด
นกกระจอกเขียวกระโดดบนไหล่หลินสวิน จุ๊ปากชื่นชม “ดวงของเจ้านับว่าไม่เลว ดูคุณลักษณะของต้นกำเนิดมหามรรคนี่ สามารถจัดอยู่ในของชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นในอดีต หากต้นกำเนิดมหามรรคเช่นนี้ปรากฏ จะต้องดึงดูดการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”
เห็นหลินสวินเดินไปข้างหน้าจะลงมือเก็บต้นกำเนิดมหามรรคนั่น นกกระจอกเขียวก็รีบเตือน “ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นเป็นของที่คนยุคก่อนทิ้งเอาไว้ ไม่สามารถเก็บไปได้ หากฝืนเก็บไป พลังของมันจะถดถอยไปในชั่วพริบตา”
หลินสวินชะงักเท้าทันที เอ่ยว่า “เช่นนั้นควรทำอย่างไร”
“นั่งสมาธิข้างๆ มัน แล้วหลอมมัน” นกกระจอกเขียวกล่าว
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วสะบัดแขนเสื้อ วางกระบวนค่ายกลเก้านรกกักเทพไว้โดยรอบ จากนั้นถึงค่อยนั่งขัดสมาธิข้างๆ ต้นกำเนิดมหามรรคนั่น ตั้งใจจดจ่อ
พร้อมๆ กับการลมหายใจเข้าออกของเขา ละอองแสงมหามรรคที่พรั่งพรูออกมาของต้นกำเนิดมหามรรคราวกับถูกชักนำ กลายเป็นลำแสงมากมายพุ่งเข้าปากจมูกของหลินสวิน เมื่อพอเข้าสู่ร่างของเขาพลันกลายเป็นกระแสความร้อนที่ลุกโชนหาใดเปรียบ และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนี้รูขุมขนทั่วตัวของหลินสวินคลายออก จุดชีพจร เส้นลมปราณ อวัยวะตันห้ากลวงหก แขนขา… ทุกส่วนล้วนมีท่วงทำนองกระหายอยากอย่างหนึ่ง ราวกับปากเล็กนับไม่ถ้วนที่อ้ารออาหาร ส่งเสียงร้องดีใจกระโดดโลดเต้นด้วยความปรารถนา
แม้แต่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ยังเกิดจังหวะอันแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำรามเดือดพล่านขึ้นมา
ยามกระแสร้อนที่แปรจากไอต้นกำเนิดมหามรรคถูกดูดซับอย่างต่อเนื่องจากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย หลินสวินสบายจนแทบร้องครางออกมา
ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ
เหมือนตอนที่หิวมานานแล้วได้กินอาหารมื้อใหญ่ที่อุดมยั่วยวน ทั้งเหมือนทะเลทรายแห้งแล้งได้รับฝนชุ่มฉ่ำ…
เมื่อก่อนยามหลินสวินฝึกปราณ ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน
พลังต้นกำเนิดมหามรรคที่ฝังอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยุคก่อน เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย!
สองชั่วยามหลังจากนั้น
ต้นกำเนิดมหามรรคกลุ่มนั้นหดลงจนขนาดราวหัวแม่มือทารกแล้ว
แต่หลินสวินกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามรรควิถีทั้งร่างตนเพิ่มขึ้นช่วงใหญ่ จากระดับจักรพรรดิขั้นหกขั้นต้น ก้าวสู่ขั้นกลางแล้ว
ความยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง ทำเอาหลินสวินอดตระหนกไม่ได้
ระดับจักรพรรดิเก้าขั้น หนึ่งขั้นหนึ่งปราการสวรรค์ มรรควิถียิ่งสูง อยากจะพัฒนาก็ยิ่งยากลำบาก แม้เป็นผู้ที่พรสวรรค์โดดเด่น ความเร็วในการทะลวงขั้นก็ยังค่อยๆ ช้าลงเมื่อมีพลังปราณเพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป จะสามารถทะลวงขึ้นไปได้หรือไม่ยังเป็นปัญหาหนึ่ง
แต่ตอนนี้ในเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยาม พลังปราณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ จะไม่ให้หลินสวินประหลาดใจได้อย่างไร
ควรรู้ว่าฐานมรรคของเขาแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เหนือกว่าคนทั่วไปในระดับเดียวกัน ถึงขั้นในระดับมกุฎจักรพรรดิก็ไร้ที่เปรียบ
แต่พลังปราณสามารถเข้าสู่ขั้นกลางได้ การทะลวงขั้นเช่นนี้เรียกได้ว่าเร็วมากแล้ว!
‘มิน่าในอดีตที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งคนใดที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณล้วนทำทุกวิธีเพื่อชิงต้นกำเนิดมหามรรค สมบัติเช่นนี้เหลือเชื่อเกินไปจริงๆ…’
ไม่นานหลินสวินก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วทำสมาธิต่อ
จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
ต้นกำเนิดมหามรรคกลุ่มนั้นถูกหลอมจนหมดสิ้นแล้ว และพลังปราณของหลินสวินก็เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นหกช่วงปลายแล้ว!
หลินสวินที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนสะท้านไหวอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“หนึ่งเดือน หากเร่งทำเวลาอาจจะสามารถทำให้มรรควิถีของข้าก้าวสู่ขั้นใหม่ได้…”
หลินสวินพึมพำ
“ครั้งนี้เป็นเจ้าโชคดี จึงครอบครองต้นกำเนิดมหามรรคที่มีคุณลักษณะชั้นหนึ่งได้แต่เพียงผู้เดียว ครั้งหน้าใช่ว่าจะโชคดีแบบนี้” นกกระจอกเขียวพูดทำลายขวัญกำลังใจของหลินสวิน
หลินสวินยิ้ม ไม่สนใจ
เงาร่างของเขาพริบไหว พุ่งไปยังนอกโกรกธาร ค้นหาไปตามฟ้าดาราอันเงียบเชียบวังเวงที่หมอกปกคลุมนี้
“เจ้านี่ปากพาชวยจริงๆ…”
ครู่ใหญ่หลังจากนั้นหลินสวินถอนหายใจคราหนึ่ง ด้วยระหว่างทางไม่พบเจอต้นกำเนิดมหามรรคอีกเลย กลับเป็นวิญญาณล่วงลับที่โผล่ออกมาไม่น้อย
“เจ้าโชคไม่ดีเอง กลับมาโทษข้าหรือ” นกกระจอกเขียวถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง
ก็เป็นตอนนี้เอง…
เสียงคำรามดุดันดังมาจากไกลๆ กะทันหัน เผยความบ้าคลั่งรุนแรง
นกกระจอกเขียวกล่าวทันที “มีคนถูกความยึดมั่นของวิญญาณล่วงลับแทรกเข้าไปในสภาวะจิตแล้ว ถ้าไม่ผิดจากที่คาด อีกฝ่ายจิตใจสับสน ตกสู่สภาพธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว”
หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป จับเสียงต่อสู้เข่นฆ่าระลอกหนึ่งได้รางๆ
และการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในแดนสิ้นจิตวิญญาณ จะต้องเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคอย่างแน่นอน!
“ไป ไปดูสักหน่อย”
เงาร่างของหลินสวินพริบไหว เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไป
หลังจากสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของต้นกำเนิดมหามรรค เขาจะพลาดโอกาสช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคได้อย่างไร
“ความโลภทำให้คนคลั่ง…” นกกระจอกเขียวถอนหายใจ
“ความโลภอะไร นี่เรียกว่าการแข่งขันในมหามรรค ต้นกำเนิดมหามรรคเป็นของไร้เจ้าของอยู่แล้ว คนอื่นสามารถช่วงชิงได้ แล้วเหตุใดข้าจะช่วงชิงไม่ได้”
หลินสวินกล่าวพลางเร่งฝีเท้า
ไม่นานแผ่นดินที่ล่องลอยผืนหนึ่งปรากฏ กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุด
การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นในนั้น เงาร่างของระดับจักรพรรดิพริบไหวอยู่ภายใน ทุกคนล้วนเผยอานุภาพล้นฟ้าออกมา ดาบทวนกระบี่ง้าว ง่ามตะขอขวาน ขวดสมบัติประทับมรรค… ศาสตราจักรพรรดิสารพัดชนิดที่แทรกสอดด้วยอานุภาพน่ากลัวพร่างพราวตัดสลับไป เสียงกึกก้องเป็นระลอกราวกับฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ภายในยังปะปนเสียงเข่นฆ่า เสียงตะโกนด้วยความโกรธ เสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน…
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งอย่าแน่นอน หลินสวินมองไป มีระดับจักรพรรดิอย่างน้อยสี่ห้ากลุ่มจากขุมอำนาจแตกต่างกันกำลังเข่นฆ่า คลื่นการต่อสู้ที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนทำลายล้างฟ้าดิน
และบริเวณที่ไม่ไกลจากสนามรบมากนัก กลับมีวังน้ำวนกลางอากาศขนาดใหญ่ที่ราวกับหยุดชะงัก ลอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ส่วนลึกของวังน้ำวน มีละอองแสงที่งดงามหลากสีพรั่งพรูออกมาเป็นระยะๆ
เห็นได้ชัดว่านั่นคือกลิ่นอายของต้นกำเนิดมหามรรค ทั้งยังไม่ธรรมดาด้วย!
และการต่อสู้ครั้งนี้ แน่นอนว่าเกิดขึ้นเพราะการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคนี้
“หืม?”
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ารอบๆ แผ่นดินที่ลอยอยู่นี้ยังมีกลิ่นอายมากมายซุ่มซ่อนอยู่ กำลังจับตามองการต่อสู้ รอโอกาสลงมือ
เมื่อเห็นดังนี้หลินสวินก็ตัดสินได้ในทันทีว่า ว่าหากคิดจะครอบครองต้นกำเนิดมหามรรคนี้เพียงผู้เดียวคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
คู่ต่อสู้จำนวนมากล้วนกำลังจับจ้อง!
หลินสวินคิดๆ แล้วก็เก็บกลิ่นอายปกปิดตัวตน หยุดอยู่ในหมอกขาวเทาที่ห่างจากแผ่นดินล่องลอยนั่นไม่ไกลนัก
“ถอนกำลัง!”
ในสนามรบชุลมุน ระดับจักรพรรดิบางส่วนรู้ว่าไม่มีโอกาสชนะ จึงล่าถอยอย่างเด็ดขาด
และมีคนสังเกตเห็นว่าในอาณาเขตรอบๆ แผ่นดินนี้ มีคู่ต่อสู้ที่มากกว่าซ่อนตัวอยู่ เมื่อตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีจึงตัดสินใจรักษาชีวิตก่อน
แต่ก็ยังมีหลายคนที่กำลังต่อสู้เข่นฆ่า สถานการณ์การต่อสู้รุนแรง ส่วนใหญ่ล้วนมีระดับมกุฎควบคุมสถานการณ์ ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หลินสวินทอดสายตามองไป พบว่าเงาร่างในสนามรบส่วนใหญ่ล้วนไม่คุ้นเคย คงจะเป็นผู้ฝึกปราณจากประตูข้ามแดนอื่นที่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึก
มีเพียงพวกสิงมู่เทียนที่หลินสวินคุ้นหน้าคุ้นตา
‘ดูท่าว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไป ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณจากสมรภูมิมายาโบราณจะมากขึ้นเรื่อยๆ…’ หลินสวินขมวดคิ้ว
นี่ก็หมายความว่า ในการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคจะมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมากไปด้วย
สิ่งที่รับมือยากที่สุดคือ ต้นกำเนิดมหามรรคไม่สามารถเก็บไปได้ ทำได้เพียงหลอมจากตรงนั้น แม้ชิงโอกาสมาได้ก่อน แต่ถ้ามีศัตรูโจมตีเข้ามา ก็ไม่มีโอกาสให้หลอมมากนัก
“ถอย!”
ในขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญ เสียงที่เผยความเย็นชาเรียบเฉยดังก้องกลางฟ้าดินกะทันหัน
พลันเห็นเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งมา กลิ่นอายรอบตัวไม่ปกปิดเลยสักนิด พุ่งตรงเข้ามาในแผ่นดินที่ลอยอยู่แห่งนั้น
ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดทั้งหมด รวมถึงผู้แข็งแกร่งที่กำลังต่อสู้ ล้วนเผยสีหน้าระแวงและหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้
เพราะผู้นำของกลุ่มคนที่มาอย่างกะทันหัน คือหนึ่งใน ‘ห้ายอดจักรพรรดิ’ แห่งเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวิน
เหวินเซ่าเหิง!
……………………