ปึง!
ชายชุดดำที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วถูกฝ่ามือหนึ่งตบใส่ร่างก็ล้มเกร็งไปตรงๆ
หลินสวินไม่เกรงใจสักนิด รื้อค้นทรัพย์สมบัติบนตัวเขาออกมา หลังตรวจค้นคร่าวๆ ก็หามุกบริสุทธิ์พบสองเม็ด ส่วนสมบัติอื่นๆ เขาไม่ได้แตะต้อง โยนกลับไปตามเดิม
“เขากลับกลอกปลิ้นปล้อนปานนี้ เจ้ายังไม่ฆ่าเขา ตรงข้ามกลับเอามุกบริสุทธิ์แค่สองเม็ดเองหรือ” นกกระจอกเขียวอึ้งไป
“เจ้าคิดว่าสภาพบาดเจ็บอย่างเขายังจะกระเสือกกระสนอยู่ในสมรภูมิมายาโบราณได้นานแค่ไหน” หลินสวินกล่าว “ส่วนการเอามุกบริสุทธิ์มาแค่สองเม็ด… อืม นี่เรียกว่ารักษาคำพูด”
กล่าวจบเขาก็ทอดมองออกไปไกลๆ
กายมรรคทั้งห้าออกโรงพร้อมกัน ระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มที่สูญเสียบรรพจารย์ขั้นเก้าไปทั้งสองคนถูกสังหารแหลกเละ แตกพ่ายไม่เป็นขบวนนานแล้ว
สุดท้ายมีเพียงสองคนเท่านั้นที่อาศัยช่วงชุลมุนหนีเอาชีวิตรอดไปได้
หลังจากเก็บกวาดสนามรบเสร็จ หลินสวินได้รับสมบัติจิปาถะกองโต และได้มุกบริสุทธิ์อีกสามเม็ด ล้วนมาจากตัวบรรพจารย์ขั้นเก้าหนึ่งในนั้น
จนถึงตอนนี้หลินสวินไม่เพียงเก็บรวบรวมมุกบริสุทธิ์ได้สิบเม็ด แต่ยังได้เกินมาอีกสองเม็ดด้วย…
เขายื่นมือออกมา มุกบริสุทธิ์สิบเม็ดปรากฏกลางอากาศ หลังหลอมรวมครู่หนึ่งก็แปลงเป็นห่วงวิญญาณสีเลือดที่ลำแสงอสนีไหลเวียน ภายในบรรจุไอชั่วร้ายห่วงหนึ่ง
นี่ก็คือห่วงวิญญาณอสูรอสนี
หลินสวินสวมมันบนตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าระหว่างอสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้าและห่วงวิญญาณอสูรอสนีเกิดการขานรับอันแปลกพิสดารอย่างหนึ่ง
“ห่วงวิญญาณอสูรอสนีห่วงหนึ่งสามารถเดินทางพร้อมกันได้สิบคน เจ้ากลับฟุ่มเฟือย ใช้สอยห่วงวิญญาณอสูรอสนีคนเดียว” นกกระจอกเขียวพูดแหย่
“เจ้าเป็นคนหรือ” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
ประโยคเดียวทำเอานกกระจอกเขียวอึ้งไป นิ่งเงียบเนิ่นนาน
หลินสวินกลับยิ้มเล็กน้อย ไม่มัวยืดยาดอีก กระโจนพริบวาบพุ่งไปยังเวิ้งฟ้า
อสนีบนเวิ้งฟ้าวิปริตแปรปรวน ไอชั่วร้ายโหมตลบดุจดั่งม่านนภา แผ่ครอบสมรภูมิมายาโบราณแห่งนี้
เมื่อหลินสวินเข้าใกล้ ทันใดนั้นอสนีและไอชั่วร้ายนั่นก็แหวกออกสองฝั่ง เปิดทางเดินสายหนึ่งทอดตรงไปนอกเวิ้งฟ้า
หลินสวินจิตใจฮึกเหิม เรือนกายพริบวายพุ่งทะยานเข้าไป
เมื่อเคลื่อนผ่านม่านนภา หลินสวินรู้สึกเพียงเหมือนกำแพงโลกสายหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งดาวเคลื่อนดาราคล้อย
ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวในฟ้าดาราดำมืดแถบหนึ่งแล้ว
กลิ่นอายความตายราวหมอกหนาสีเทาขาว ครอบคลุ้มทั่วฟ้าดาราแถบนี้ แผ่บรรยากาศวังเวง กดดัน ชวนให้คนหายใจติดขัด
ผืนดินแตกระแหงชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยล่องกลางพยับหมอกสีเทาขาว เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย มองไม่เห็นปลายทาง
ฮือๆๆ…
มีเสียงโหยไห้คับแค้นคล้ายร่ำรำพันดังมาเป็นระลอกจากส่วนลึกของฟ้าดาราเป็นพักๆ แว่วหวิวล่องลอย ยามตั้งใจจับทาง กลับระบุที่มาของเสียงไม่ได้
“นี่ก็คือแดนสิ้นจิตวิญญาณ มีพลังต้นกำเนิดมหามรรคยุคก่อนซ่อนอยู่”
นกกระจอกเขียวกล่าวชี้แนะ “ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ แม้ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาสถานที่นี้จะนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ต้นกำเนิดมหามรรคของที่นี่กลับไม่เคยเหือดหาย”
“ตรงกันข้าม ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะมีต้นกำเนิดมหามรรคปรากฏออกมา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงว่าจะหาวาสนาเช่นนี้ไม่เจอ สิ่งที่ควรกังวลใจที่สุดคือจะต้านทานการเข่นฆ่าและปล้นชิงอย่างไร”
“นอกจากนี้ในแดนสิ้นจิตวิญญาณมีวิญญาณร้ายชนิดหนึ่งกระจายตัวอยู่ ถูกเรียกขานว่า ‘วิญญาณล่วงลับ’ ลือกันว่าแปลงมาจากความยึดมั่นที่หลงเหลืออยู่ของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งไร้ทัดเทียมจำนวนหนึ่งหลังยุคก่อนล่มสลาย”
“จอมราชันวิญญาณล่วงลับน่ากลัวที่สุด พลังต่อสู้ที่อ่อนแอที่สุดก็เทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ด บนตัวเต็มไปด้วยความยึดมั่นแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง สามารถรุกเข้าสภาวะจิตของผู้ฝึกปราณได้อย่างไร้สุ้มเสียง ต่อให้เป็นบรรพจารย์ขั้นเก้า เมื่อถูกความยึดมั่นระดับนี้แทรกซึมสภาวะจิตก็ยังเป็นบ้าเสียสติได้”
“ในกาลเวลาที่ผ่านมามีตัวอย่างเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย”
“ส่วนวิญญาณล่วงลับทั่วไปไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น แต่เจ้าห้ามชะล่าใจเด็ดขาด ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีระดับจักรพรรดิไม่น้อยถูกวิญญาณล่วงลับล่าสังหาร”
หลังเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว หลินสวินก็อดเสียววาบในใจไม่ได้ เอ่ยถามว่า “แล้วควรหาต้นกำเนิดมหามรรคนั่นอย่างไร”
“ลองเสี่ยงดวงดู”
นกกระจอกเขียวกล่าว “จำไว้ ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณมีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หากพ้นหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ออกจากที่แห่งนี้ จะประสบกับการสังหารของ ‘พายุวิญญาณล่วงลับ’ อย่างน้อยในระดับจักรพรรดิก็ไม่มีใครรอดชีวิตได้”
พายุวิญญาณล่วงลับ!
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อย
ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาขยับไหว ทะยานไปยังส่วนลึกของฟ้าดาราวังเวงที่ปกคลุมด้วยพยับหมอกสีเทาขาวนั่น
กลางฟ้าดาราแผ่นดินแตกพังลอยผลุบโผล่ บ้างก็ขนาดเพียงร้อยกว่าจั้ง บ้างกลับทอดยาวหลายพันลี้
บนแผ่นดินส่วนใหญ่เป็นหลุมบ่อขรุขระ รกร้างน่าอนาถ พืชหญ้าไม่งอกเงย และมีแผ่นดินบางส่วนที่มีรูกระบี่ รอยขวาน ร่องรอยลายพร้อมเนิ่นนาน แผ่ซ่านกลิ่นอายหนาหนักอันรกร้างวังเวง
เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากศึกใหญ่สะท้านยุค และคงอยู่สืบมาแม้ผ่านการกัดกร่อนของเวลา
หืม?
ทันใดนั้นเงาร่างคล้ายมายาสายหนึ่งพุ่งออกมาจากพยับหมอกสีเทาขาวอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดๆ
เมื่อมองอย่างละเอียด เงาร่างนี้พร่ามัวอย่างเห็นได้ชัด แผ่กลิ่นอายความตายเป็นสายๆ มองรูปร่างลักษณะไม่ออก ราวกับวิญญาณภูตผี เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด
สวบ!
หมอกควันพลิกม้วน เงาร่างสายนี้พุ่งเข้าหาหลินสวิน สองมือทำมุทรา ตบโจมตีใส่หลินสวิน
ประทับฝ่ามือนี้กลิ่นอายความตายหนาหนัก พลังที่ปลดปล่อยออกมาก็พิสดารสุดขีด เทาขาวขุ่นมัว ดุจดั่งแสงจากนรก
วิญญาณล่วงลับ!
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงมรรคโชติช่วงแผ่พุ่ง ซัดเงาร่างวิญญาณล่วงลับนั่นให้กลายเป็นหมอกสีเทาเป็นสายๆ ภายใต้เสียงกึกก้อง
ภาพประหลาดพลันปรากฏ พยับหมอกสีเทาเป็นสายๆ นั้นราวกับมีชีวิต แตกออกเป็นร้อยพัน กรีดผ่านห้วงนภา ยิงพุ่งเข้ามาทางหลินสวิน
เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
ปึงๆๆ…
เสียงระเบิดอึงอลราวลั่นกลองระลอกหนึ่งดังขึ้น รอบตัวหลินสวินมีแสงมรรคไหลเวียน บดขยี้พยับหมอกสีเทาเป็นสายๆ เหล่านี้ให้แหลกเป็นจุณ
‘พลังนี้น่าจะเป็นความยึดมั่นที่หลงเหลืออยู่ของผู้แข็งแกร่งยุคก่อน ถึงจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่กลับพิสดารไร้ที่เปรียบ ไม่อาจแตะต้อง…’
หลินสวินกระจ่างในใจ
เขามุ่งหน้าค้นหาต่อไป
แดนสิ้นจิตวิญญาณกว้างใหญ่ไพศาล ตามคำบอกกล่าวของนกกระจอกเขียว ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับโลกเล็กใบหนึ่ง
ตลอดเส้นทางนี้หลินสวินยังไม่พบต้นกำเนิดมหามรรค ตรงข้ามกลับถูกวิญญาณล่วงลับไม่น้อยซุ่มโจมตี พลังมีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ ที่แข็งแกร่งสามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นหก ที่อ่อนแอก็เทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นสาม
พวกนี้ย่อมไม่อาจคุกคามหลินสวินได้
แต่เขากลับไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย หลังวิญญาณล่วงลับแต่ละตัวตายไป จะกลายเป็นพลังยึดมั่นอันแปลกพิสดารพยายามรุกเข้าร่างของเขา พลังเช่นนั้นชั่วร้ายและพิศวงหาใดเปรียบ หลินสวินจำเป็นป้องกันสุดกำลัง เกรงแต่ว่าจะถูกปนเปื้อนแม้เพียงเสี้ยว
เสาะหาเช่นนี้ราวหนึ่งชั่วยาม ถึงจะบอกว่าพบเจอวิญญาณล่วงลับไม่น้อย แต่กลับยังไม่พบเห็นผู้ฝึกปราณคนอื่น
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ต่อให้ตนไม่ใช่กลุ่มแรกที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้รั้งท้ายสักเท่าไหร่อย่างแน่นอน
ไม่นานนักจู่ๆ สายตาของเขาก็ถูกแผ่นดินที่ลอยอยู่ผืนหนึ่งดึงดูดไป
แผ่นดินนี้พื้นที่ราวหลายสิบลี้ ไม่ถือว่าใหญ่มาก กลางแผ่นดินมีโกรกธารขนาดใหญ่ที่เกิดตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
พยับหมอกสีเทาขาวหนาทึบอัดเต็มโกรกธาร มองเห็นทิวทัศน์ภายในนั้นไม่ชัด
แต่ในจิตรับรู้ของหลินสวินกลับสัมผัสได้อย่างฉับไว ก้นบึ้งโกรกธารแห่งนั้นมีประกายแสงหลากสีงดงามพร่าวพราวที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหายอยู่ ยากจะถูกสังเกตเห็น
หลินสวินพลันเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมาอยู่เหนือโกรกธารแห่งนั้นทันที แล้วก้มมองลงไป
ครั้งนี้เขาโคจรเปิดตาทิพย์
เริ่มมองทะลุพยับหมอกนั้น และพบว่าโกรกธารนี้ถึงกับลึกหลายพันจั้ง ไม่ต่างอะไรกับเหวลึกสักนิด
และบริเวณก้นโกรกธารก็มีประกายแสงเรืองรองกระจุกหนึ่ง พร่างพราวบาดตา เหมือนอาทิตย์ดวงเล็กที่ลุกโชน สิ่งที่ปลดปล่อยออกมาคือพลังมหามรรคแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
ต้นกำเนิดมหามรรค!
นัยน์ตาหลินสวินทอประกาย แม้จะไม่เคยพบของวิเศษเช่นนี้มาก่อน แต่เขาพอจะระบุได้คร่าวๆ
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพุ่งลงไปในโกรกธาร
พยับหมอกสีเทาขาวขุ่นมัวเริ่มโหมตลบรุนแรงในฉับพลัน เงาวิญญาณล่วงลับเป็นสายๆ โผล่พรวดออกมาจากในนั้น เบียดเสียดแน่นขนัด พุ่งออกมาไม่หยุด
หลินสวินถึงสังเกตเห็นในยามนี้สองฝั่งของโกรกธารมีโพรงถ้ำมากมายเหมือนรังผึ้ง วิญญาณล่วงลับเหล่านั้นก็พุ่งออกมาจากในนั้น
เขาไม่คิดมากความ กระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแล้วพุ่งทะยานลงไปเบื้องล่างโกรกธาร
ตูม โครม!
การต่อสู้ดุเดือดประทุขึ้น วิญญาณล่วงลับเหล่านั้นเหมือนไม่กลัวตาย อีกทั้งความแข็งแกร่งล้วนอยู่ระหว่างระดับจักรพรรดิขั้นสามถึงระดับจักรพรรดิขั้นหก
หากเป็นระดับจักรพรรดิทั่วไป เกรงว่าป่านนี้คงถอยร่น หนีอุตลุดไปนานแล้ว
แต่หลินสวินกลับอานุภาพดุจผ่าลำไผ่ บดขยี้ตลอดทาง ทุกที่ที่เขาเคลื่อนผ่าน เงาร่างวิญญาณล่วงลับล้วนแตกระเบิด กลายเป็นความยึดมั่นที่แปลกประหลาดไล่โจมตีต่อ แต่สุดท้ายยังคงถูกกำจัดสิ้นทั้งหมด ไม่สามารถทำให้หลินสวินบาดเจ็บได้แม้เพียงเสี้ยว
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ วิญญาณล่วงลับใต้โกรกธารนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งบุกเข้ามาในบ้านที่พวกมันรวมตัว
เขาไม่ได้ถอยหนี ยังคงรุดหน้าต่อไป
ต่อให้มีจำนวนวิญญาณล่วงลับมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ได้คุกคามเขามากนัก
เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินเจียนเข้าใกล้เบื้องล่างของโกรกธารนั่นขึ้นทุกที ทันใดนั้นพลังเย็นเยียบน่าสะพรึงที่แปลกพิสดารสายหนึ่งพลันเข้ามาขวาง จับนิ่งที่ตัวหลินสวิน
ตูม!
ก้นโกรกธาร จู่ๆ เงาร่างที่ประหนึ่งสีหมึกทั้งตัวสายหนึ่งพุ่งออกมา สวมชุดนักพรตที่หลอมมาจากไอความตายบ ผมเกล้ามวยเหมือนนักพรต มือกระชับกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง หน้าตาซูบผอมราวกับนักพรตผู้หนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นชุดนักพรต กระบี่มรรค รวมถึงมวยนักพรต ล้วนแปลงมาจากไอความตาย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ดุจดั่งวังน้ำวนสีดำ วาบประกายแสงโพรงกลวงพิสดาร
นี่ก็คือจอมราชันวิญญาณล่วงลับ!
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง
สวบ!
หลังจากนักพรตพุ่งออกมา กระบี่มรรคในมือก็ฟันจากล่างขึ้นบน ปราณกระบี่สีดำพิสดารกรีดทึ้งห้วงอากาศ ปลดปล่อยเจตกระบี่น่าพรั่นพรึงไร้ทัดเทียมออกมา
กลิ่นอายระดับนั้น มีมาดของจักรพรรดิกระบี่ขั้นแปดซ่อนอยู่จางๆ!
เพียงแต่ว่าเจตกระบี่นั้นพิสดารไร้ที่เปรียบ ทำเอาคนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่หนาว
หลินสวินใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งต้านทานโดยไม่ลังเลสักนิด
ปัง!
เจตกระบี่สีดำประหลาดระเบิดออก พร้อมกันนั้นกระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งก็โฉบพุ่งออกมาดังวู้ม สาดปราณกระบี่พร่างพราวนับไม่ถ้วนครอบปรกลงมา
ตูม โครมๆ…
พยับหมอกขุ่นมัวแหลกสลาย ห้วงอากาศดุจดั่งระเบิดถล่ม จอมราชันวิญญาณล่วงลับที่ท่าทางเหมือนนักพรตคนนั้น ถูกฟันกระจุยตรงๆ กลายเป็นละอองแสงสีดำขุ่นมัว
ที่น่าสยองคือละอองแสงสีดำเหล่านี้ไม่เคยจางหาย ตรงข้ามกลับก่อตัวรวมกันเป็นปราณกระบี่แปลกประหลาดที่ปกคุมด้วยลวดลายพิสดารสายหนึ่ง และอันตรธานหายไปกลางอากาศในชั่วพริบตา
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
จู่ๆ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็สาดแสงวาวโรจน์ พาดขวางตรงหน้า
ตูม!!
เสียงกระแทกสะเทือนโสตจวนหูจะหนวกดังขึ้น ก็เห็นปราณกระบี่ลวดลายพิสดารสายนั้นถูกเตากระบี่ขวางไว้ได้หวุดหวิด แหลกกระจุยเป็นเสี่ยงๆ
แต่พลังที่ปล่อยออกมาจากปราณกระบี่ที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ทำเอาเลือดลมของหลินสวินปั่นป่วนไปทั้งตัว ร่างกายซวนเซ เกือบถูกซัดถอยหลัง!
……………………..