“ฟัน!”

กระบี่บินเปลวเพลิงที่แวววาวพุ่งขึ้น เหมือนลากธารเพลิงมาด้วยแล้วฟันลงกลางอากาศ

กระบวนค่ายกลส่งเสียงอึงอล แหวกออกเป็นรอยแยกหนึ่ง

เงาร่างนั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่ง เห็นโอกาสนี้ก็พลันเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมาทันที พุ่งเข้าไปในกระบวนค่ายกล

“ไป!”

“พวกเราก็ไปด้วย!”

ในที่มืด บรรดาผู้แข็งแกร่งที่เตรียมพร้อมลงมือนานแล้วยามนี้ล้วนพุ่งออกมาอย่างไม่ลังเล หมายจะฉวยโอกาสครั้งนี้

เพียงแต่ตอนที่เงาร่างของพวกเขาเพิ่งจะมาถึงแผ่นดินลอยนั่น เสียงคำรามที่ราวกับเดือดดาลดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“น่าชังนัก พวกเจ้าดันหลอกข้า!”

ประโยคเดียวทำเอาเงาร่างที่พุ่งไปยังแผ่นดินลอยเหล่านั้นหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น

หลอกหรือ

ก็เห็นว่า…

กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญโคจรกะทันหัน กระบวนค่ายกลลายมรรคทั่วฟ้าพลิกหมุนวับวาว บดบังฟ้าดินผืนนั้น ราวกับจะหลอมมันอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่…!”

เสียงโหยหวนที่เต็มไปด้วยความน่าอนาถของบรรพจารย์ขั้นเก้าคนนั้นดังขึ้น แต่เพียงชั่วพริบตาก็หยุดไป เงียบไปอย่างสิ้นเชิง

มีเพียงกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญที่ส่งเสียงกึกก้อง แสงส่องจักรวาลฟ้าดารา บาดตาไร้ขอบเขต

“เฮือก!”

เงาร่างที่พุ่งออกมาเหล่านั้นอกสั่นขวัญแขวน กลัวจนหน้าถอดสี เลือกที่จะถอยในทันที

บรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งถูกสังหาร แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของกระบวนค่ายกลนั่นน่ากลัวเพียงใด!

ชั่วขณะเดียวบนแผ่นดินลอยนั่นเงียบสงบขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับบึงมังกรถ้ำเสือที่เต็มไปด้วยอันตราย ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีก

ในกระบวนค่ายกลเสี่ยวอู่ปวดใจอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้ภายใต้การควบคุมของเขา ทำให้กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญเผยช่องโหว่อย่างจงใจ ถึงดึงดูดบรรพจารย์ขั้นเก้าให้ตกหลุมพราง จากนั้นสังหารในคราเดียว

แต่ชั่วพริบตาเท่านั้น กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญที่โคจรเต็มกำลังก็ใช้ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งไปสามพันก้อนแล้ว!

ทว่าหลังจากนับสมบัติที่บรรพจารย์ขั้นเก้าคนนั้นทิ้งไว้ เสี่ยวอู่ก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมา ในใจลอบกล่าวว่าครั้งนี้หลินสวินไม่ด่าตนแน่

ของที่ได้มานี้มีสมบัติ เจตวัตถุ วัตถุดิบเทพต่างๆ รวมกันแล้วมากกว่ามูลค่าของผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งสามพันก้อนมากแล้ว

นอกจากนี้บนร่างบรรพจารย์ขั้นเก้ายังพกผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งห้าพันกว่าก้อน!

“อืม ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีคนกล้ามาหยั่งเชิงอีกหรือไม่…” เสี่ยวอู่ลูบคางครุ่นคิด

หมีอู๋หยาและเยียนอวี่โหรวที่นั่งอยู่ในกระบวนค่ายกลเช่นเดียวกันเห็นภาพเช่นนี้ในสายตา ต่างตะลึงจนพูดไม่ออก

สังหารบรรพจารย์

แค่อาศัยกระบวนค่ายกลที่อานุภาพน่ากลัวเช่นนี้ ก็สามารถทำให้หลินสวินเดินบนทางเดินโบราณฟ้าดาราโดยไม่มีอะไรต้องกลัวได้แล้ว!

ต่อให้อยู่ในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ ก็เป็นไพ่ตายที่สามารถสยบเหล่าผู้กล้า ทำให้ผู้คนเห็นแล้วหวาดหวั่นได้อย่างหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้เสี่ยวอู่เสียดายคือ ในเวลาหลังจากนั้นไม่มีใครกล้ามาเสี่ยงอีก เห็นได้ชัดว่ากลัวแล้ว

สามชั่วยามให้หลัง

ในน้ำวนใหญ่นั่นหลินสวินหลอมต้นกำเนิดมหามรรคเสร็จสิ้นแล้ว มรรควิถีทั้งหมดพุ่งทะยานรวดเร็ว ก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับจักรพรรดิขั้นหกในคราเดียว!

“เยี่ยม!”

ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำเป็นประกาย เผยความดีใจ

เพิ่งเข้าแดนสิ้นจิตวิญญาณได้กี่วันเท่านั้น พลังปราณของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว หากอยู่โลกภายนอก อย่างน้อยก็ต้องฝึกปราณอย่างยากลำบากหลายปีจึงจะทำได้

‘พลังปราณบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนี้แล้ว ต่อให้หลอมต้นกำเนิดมหามรรคมากกว่านี้ก็ไม่สามารถทำให้พลังปราณพัฒนาได้อีก…’

ไม่นานหลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ถ้าอยากพัฒนาพลังปราณก็จะต้องทะลวงขั้น ที่น่าเสียดายคือการทะลวงขั้นใช่ว่าบำเพ็ญปราณอย่างยากลำบากแล้วจะทำได้ แต่เป็นต้องการจุดเปลี่ยน

ส่วนระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ด ถูกเรียกขานว่าหลอมสุญ

ใจดั่งแสงประกายสุริยันจันทรา ข้าและจักรวาลเป็นหนึ่งเดียว

หลอมความว่างเปล่าเป็นตัวตน เปิดฟ้าดารานอกโลกจักรพรรดิ

นี่เป็นมรรคาถาที่บรรยายถึงขั้นหลอมสุญ

หมายถึงการทะลวงเข้าสู่ขั้นนี้ ผู้ฝึกปราณหลอมหมื่นมรรคในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ เปิดฟ้าดาราแห่งหนึ่ง สุริยันจันทราสาดแสงสว่างไสว มหามรรคที่ไหลร่วงลงมาผสานรวมกับโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์จนเกิดเป็นความขุ่นใส เกิดลักษณ์อัศจรรย์ที่บนล่างผสมผสานกัน

และขอเพียงก้าวสู่ขั้นนี้ มรรควิถีทั้งตัวของผู้ฝึกปราณจะเรืองรองสว่างไสว รูปจำลองสมบูรณ์แบบ ว่างเปล่าละโลกีย์ กายจิตปรากฏความอัศจรรย์ เฉียมคมแข็งแกร่งยิ่งยวด คืนเท็จสู่จริง!

อันที่จริงก็คือกระบวนการที่ทำให้มรรควิถีทั้งตัวเข้าสู่สภาวะ ‘มี’ เป็น ‘ไม่มี’ อย่างหนึ่ง การไม่มีอยู่คือความว่างเปล่า หลอมความว่างเปล่า ย่อมสามารถคืนสู่จริงได้

สรุปแล้วก็คือคำนี้ คืนความว่างเปล่าสู่จริง

นี่ก็คือขั้นหลอมสุญ เริ่มสัมผัสนัยเร้นลับมหามรรคของจริงและเท็จ มีและไม่มี แท้และลวง

‘ขั้นเจ็ดหลอมสุญ ขั้นแปดผสานมรรค ขั้นเก้าย้อนบรรพ์… ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่สร้างการเกิดดับระหว่างการมีอยู่และว่างเปล่านั้น มีนัยเร้นลับที่ต้องหยั่งถึงขนาดไหน…’

หลินสวินจมสู่ภวังค์

เมื่อนานมาแล้วตอนที่เขาทะลวงด่านที่แปดแห่งทางเดินเมฆาหยก ‘ทลายมรรค’ ได้หยั่งถึงขอบเขตที่ประหนึ่งต้องห้ามอย่างหนึ่ง

มหามรรค ก็คือต้นกำเนิดที่สร้างโลก พลังสูงสุดที่ผู้ฝึกปราณแสวงหา ก็ซ่อนอยู่ในนัยเร้นลับที่อยู่ระหว่างการโคจรของโลก

ใจมีจักรวาล ก็ควบคุมจักรวาลได้!

วันหนึ่งหากสามารถใช้พลังของตนสร้างโลกหนึ่งได้ สำแดงระเบียบที่หมุนวนเป็นวัฏจักร หมื่นสรรพสิ่งแปรเปลี่ยนก่อเกิดหมื่นลักษณ์ นี่ต่างอะไรกับผู้สร้างที่สูงส่งไร้เทียมทานในตำนาน

ในขอบเขตนี้ พลังที่พลังนี้ครอบครองไม่ใช่การเปลี่ยนความเสื่อมสลายเป็นความมหัศจรรย์ แต่เป็นการสร้างและทำลาย!

สร้างการเกิดดับ ระหว่าง ‘การมีอยู่’ และ ‘ไม่มี’!

นี่ก็คือสรรสร้างจากความว่างเปล่าที่ว่า

ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่รู้ว่า ขอบเขตนี้แม้แต่ในระดับจักรพรรดิก็ยังมีน้อยคนมากที่จะทำได้

แต่ตอนนี้ผ่านการเดินทางมาหลายปี พร้อมกับที่มรรควิถีพัฒนาขึ้นทีละก้าวๆ หลินสวินตระหนักได้รางๆ แล้ว ว่าขอบเขตนี้เรียกได้ว่าต้องห้ามจริงๆ!

อย่างน้อยบรรพจารย์ขั้นเก้าก็ยังไม่มีพลังระดับนี้!

‘ไม่แปลกที่หลังจากซีรู้เรื่องนี้ก็ยากจะสงบได้อย่างเห็นได้ชัดเช่นนั้น…’ หลินสวินหวนคิดถึงเรื่องในตอนนั้น

ในการรับรู้ของซี สรรสร้างจากความว่างเปล่า สร้างเกิดดับระหว่างการมีอยู่และไม่มีอยู่ ขอบเขตเช่นนี้ ราวกับการดำรงอยู่ต้องห้าม

เพียงแต่ตอนนั้นหลินสวินไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้

ขณะเดียวกันยามอยู่ในป่าต้นหม่อน ตอนที่ชายหนุ่มจักจั่นทองรู้ว่าหลินสวินยังไม่บรรลุอริยะ ก็เข้าถึงสรรสร้างจากความว่างเปล่าแล้ว ก็เสียอาการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน

หลินสวินจำได้แม่นว่าชายหนุ่มจักจั่นทองในตอนนั้นอึ้งงัน ตะลึงอย่างยากจะเห็น มองมาทางตนแล้วถามว่า ‘เจ้าก็เข้าใจขอบเขตนี้แล้วหรือ’

คำตอบของหลินสวินคือ ‘แค่ผ่านตาเท่านั้น’

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงทำให้ชายหนุ่มจักจั่นทองชื่นชมไม่หยุด

แต่ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่าชายหนุ่มจักจั่นทองได้รับการยกย่องว่า ‘จักจั่นนี้แม้จะเล็กจ้อย แต่มรรคสูงกว่าฟ้า’

ในการประชันหมากครั้งใหญ่นั้น จักจั่นทองยิ่งเผยพลังน่ากลัวไร้ขอบเขต สังหารระดับจักรพรรดิราวกับฝนตก!

ทำให้พวกศิษย์พี่สามรั่วอู่ตะลึงอย่างหาใดเปรียบ

ทว่าเมื่อนานมาแล้วชายหนุ่มจักจั่นทองกลับอึ้งกับสรรสร้างจากความว่างเปล่าที่หลินสวินหยั่งถึง จากเรื่องนี้แค่คิดก็รู้ว่าขอบเขตสรรสร้างจากความว่างเปล่านี้มหัศจรรย์เพียงใด

ตอนนี้หลินสวินราวกับย้อนคืนสู่อดีต ตอนที่รายละเอียดและภาพมากมายที่ไม่เคยใส่ใจผุดขึ้นในหัวถึงตระหนักได้ว่า ขอบเขตที่เป็นตัวแทนของสรรสร้างจากความว่างเปล่านี้ไม่ธรรมดาเพียงใด

เรียกได้ว่าราวกับต้องห้ามจริงๆ

อย่างน้อยหลายปีมานี้หลินสวินฆ่าระดับจักรพรรดิมาไม่รู้เท่าไหร่ แต่ไม่เคยเห็นพวกที่มีมรรควิถีเช่นนี้

‘บางทีมีเพียงตอนที่พลังปราณบรรลุถึงขั้นเจ็ด แปด เก้าสักขั้นหนึ่ง จึงจะสามารถเข้าใจนัยเร้นลับของสรรสร้างจากความว่างเปล่าได้บ้าง…’

ในใจหลินสวินปรากฏความกระจ่างรางๆ

ขั้นเจ็ดหลอมสุญ ขั้นแปดผสานมรรค ขั้นเก้าย้อนบรรพ์ อันที่จริงก็คือขั้นที่พัฒนาพลังปราณระหว่างความจริงเท็จ มีไม่มี และแท้ลวง!

หลังจากนั้นครู่ใหญ่หลินสวินขจัดความคิดฟุ้งซ่าน เก็บความคิด แล้วเอ่ยว่า “นกกระจอกเขียว ข้าตัดสินใจไปจากแดนสิ้นจิตวิญญาณ”

“เพื่อทะลวงระดับหรือ” นกกระจอกเขียวถาม เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้แล้วว่าพลังปราณของหลินสวินบรรลุระดับจักรพรรดิขั้นหกขั้นสมบูรณ์แล้ว ต้องทะลวงขั้นจึงจะสามารถพัฒนาพลังได้

หลินสวินพยักหน้า “ไม่ผิด”

นกกระจอกเขียวพูดโดยไม่คิด “ส่วนลึกที่สุดของแดนสิ้นจิตวิญญาณมีทางซากศพเส้นหนึ่ง ว่ากันว่าสร้างขึ้นจากกองศพของผู้แข็งแกร่งยุคก่อน ก้าวสู่เส้นทางนี้ก็จะสามารถเข้าสู่สนามรบต่อไปนามว่า แดนนรกเซินหลัวได้”

หลังจากนั้นนกกระจอกเขียวแนะนำแดนนรกเซินหลัวรอบหนึ่ง

แดนนรกเซินหลัวยิ่งใหญ่มาก เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด ว่ากันว่าเดิมทีที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของแดนผีสิงขุมทมิฬ ทว่าพร้อมกับที่ยุคก่อนถูกทำลาย แดนนรกเซินหลัวล่มสลายไปนานแล้ว

ตอนนี้ ที่แห่งนั้นกลายเป็นสถานที่มหันตภัยแห่งหนึ่งนานแล้ว มีกองทัพนรก แม่ทัพนรก ราชันนรกปรากฏตัวอยู่ตลอดปี

แม้กองทัพนรกที่อ่อนแอที่สุด ยังสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสามได้

พวกระดับแม่ทัพนรก สามารถคุกคามผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าด่านเจ็ด

สำหรับราชันนรก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ราชันนรกที่แข็งแกร่งบางส่วน ถึงขั้นสามารถฆ่าบรรพจารย์ขั้นเก้าให้ตายได้!

“แดนนรกเซินหลัวไม่ได้มีวาสนาและศุภโชคอะไร แต่การสังหารพวกสัตว์ร้ายในแดนนรก ก็จะมีโอกาสเจอ ‘มุกยมโลก’ มุกนี้มีคุณสมบัติที่เหลือเชื่อต่อการกลั่นหลอมศาสตราจักรพรรดิ มีโลกยอดนิรันดร์อยู่ มุกยมโลกระดับราชันนรกก้อนหนึ่ง สามารถขายได้ในราคาสามแสนผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่ง”

นกกระจอกเขียวพูดอย่างฉะฉานมีหลักมีฐาน “แน่นอนว่า คนทั่วไปน้อยมากที่จะขายสมบัติระดับนี้ ถึงอย่างไร สมบัตินี้ไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น”

หลินสวินฟังจบ ถือว่าหวั่นไหวเล็กน้อย

ตอนนี้ แม้พลังปราณของเขาจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่อานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยกระดับได้ช้ามาก หากมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างมุกยมโลก บางทีอาจจะสามารถทำให้การยกระดับของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไวขึ้น!

ไม่ได้เสียเวลา หลินสวินลุกขึ้นเดินออกจากน้ำวนใหญ่ไป

วันนั้นเองหลินสวินได้พาหมีอู๋หยา เยียนอวี่โหรวไปยังส่วนลึกที่สุดของแดนสิ้นจิตวิญญาณ

ระหว่างทาง เขาเห็นการต่อสู้มากมาย ล้วนเกิดขึ้นเพราะช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรค กับเรื่องนี้ หลินสวินไม่สนใจเข้าร่วม เหมือนคนผ่านทางคนหนึ่ง จากไปอย่างรวดเร็ว

สามชั่วยามหลังจากนั้น

ทางระเบียงซากศพที่นกกระจอกเขียวพูดถึง ในที่สุดก็ปรากฏในสายตาของหลินสวิน

บอกว่าเป็นทางระเบียง ความจริงเหมือนหนทางใหญ่อันกว้างขวางที่เชื่อมสู่ส่วนลึกของฟ้าดารา ซากศพที่ขาวดั่งหิมะและไม่สมประกอบกองซ้อนกัน เหมือนรุ้งยาวสีขาวสายหนึ่ง แผ่ขยายไปสู่ส่วนลึก

ซากศพเหล่านั้นสูญเสียแสงประกายและเจตะไปแล้ว ทว่าผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาแล้ว ยังคงแข็งแกร่งอย่างที่สุด

“ก่อนที่จะไปแดนนรกเซินหลัว ข้าจะต้องเตือนเจ้าว่า ในนั้นมีเขตหวงห้ามลึกลับแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยปริศนาน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจคาดเดา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้ทรงพลังจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตในนั้น”

ดวงตาระย้าของนกกระจอกเขียวเผยความแปลกประหลาด จู่ๆ ก็พูดว่า “แต่ข้ากลับแนะนำให้เจ้าไปสักหน่อย”

หลินสวินอึ้ง “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

“สำหรับคนอื่นเขตต้องห้ามลึกลับนั่น น่ากลัวไร้ขอบเขต แต่สำหรับเจ้า เป็นสถานที่แห่งวาสนาที่หายากแห่งหนึ่ง ขึ้นอยู่ที่ว่าเจ้าจะกล้าไปหรือไม่”

คำพูดของนกกระจอกเขียว ความหมายลึกซึ้ง