ก่อนเข้าสู่แดนใหญ่พันศึก นกกระจอกเขียวเคยบอกว่า บนเส้นทางเลือดไร้หวนคืนนี้มีสนามรบอย่างน้อยนับพันแห่ง เขตผนึกลึกลับเกือบร้อยแห่ง รวมถึงด่านนภาอมตะเล็กใหญ่อีกสี่สิบเก้าแห่ง!
และเขตผนึกลึกลับ ก็ถูกอธิบายว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด
นี่ทำให้หลินสวินเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ไม่แน่ชัดว่าเขตผนึกลึกลับในแดนนรกเซินหลัวที่นกกระจอกเขียวพูดถึงน่ากลัวเพียงใด
“หากโอกาสเหมาะ ข้าย่อมยินดีเข้าไปสำรวจสักหน่อย” หลินสวินกล่าวอย่างขบคิดคร่าวๆ
นกกระจอกเขียวเอ่ยว่า “การบุกเข้าแดนนรกเซินหลัวต้องใช้เวลาประมาณสองเดือน จากนั้นก็สามารถไปถึงด่านนภาอมตะแห่งแรกได้ ที่แห่งนั้นถูกเรียกอีกอย่างว่าเมืองจักรพรรดิอมตะ… พูดตอนนี้ยังไวไปหน่อย หลังจากเจ้าไปถึงก็จะเข้าใจเอง”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เดินไปยังส่วนลึกของฟ้าดาราไปตามเส้นทางซากศพ
บนเส้นทางนี้มีพลังเคลื่อนย้ายแปลกประหลาดกระจายอยู่ เดินอยู่บนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเดินข้ามกาลเวลา ท่องจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น
เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา
ฮูม…
คลื่นห้วงอากาศพลุ่งพล่าน เบื้องหน้าสายตาหลินสวินพร่าเบลอไปแวบหนึ่งก็มาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่งแล้ว
บนท้องฟ้าสีเทาตุ่นมีสุริยันสีม่วงดวงหนึ่งแขวนลอยอยู่ แสงประกายมืดสลัว ย้อมจนฟ้าดินมืดหม่นทั้งแถบ
สายลมพัดโบก ส่งเสียงหวีดหวินดั่งร่ำไห้ เย็นเยียบและน่ากลัว กระแสอากาศที่เย็นยะเยือกไหลวนอยู่ในอากาศ ให้ความรู้สึกกดดันหาใดเปรียบ
และตำแหน่งที่หลินสวินอยู่ตอนนี้ก็ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ถัดออกไปเป็นป่าบางตาแถบหนึ่ง ต้นไม้โล้นเลี่ยนเหี่ยวเฉาดำสนิท แผ่หมอกควันสีดำเป็นสายๆ
จู่ๆ นกกระจอกเขียวก็เอ่ยว่า “ในอดีตมีคำกล่าวว่า ในยุคก่อนหลังจากสรรพวิญญาณตาย วิญญาณก็จะเข้าสู่นรกขุมทมิฬ เดินบนทางน้ำพุเหลือง ข้ามสะพานปลงอนิจจังลืมอดีต ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง จากนั้นเข้าสู่สังสารวัฏหกภพภูมิ เกิดใหม่ตามเวรกรรมในอดีตชาติ”
“อีกทั้งในนรกขุมทมิฬ ยังมีสถานที่ลึกลับและน่ากลัวมากมาย อย่างเช่น ด่านประตูผี นรกสิบแปดชั้น แม่น้ำเลือดบาปกรรมเป็นต้น”
“ผู้ยิ่งใหญ่ที่ควบคุมนรกขุมทมิฬยิ่งน่ากลัว มีอภินิหารไร้เทียมทานที่ลึกลับไม่อาจคาดเดา ชำนาญมรรคแห่งวิญญาณ ครอบครองพลังแห่งชะตาชีวิต ตามคำกล่าวในยุคเรา ตัวตนที่สามารถครอบครองมรรควิถีระดับนี้ อย่างน้อยก็ต้องหยั่งถึงนัยเร้นลับของมรรคโชคชะตาบ้างแล้ว”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด
เขาเคยได้ยินนกกระจอกเขียวบอกว่า ยุคก่อนถูกเรียกว่า ‘ยุคเซียนยุทธ์’ ส่วนยุคนี้ถูกเรียกว่ายุควิญญาณยุทธ์
เพียงแต่เขาก็รู้แค่แนวคิดเท่านั้น ส่วนที่ว่ายุคก่อนเป็นอย่างไร และผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างไรถึงได้ดับสลายในท้ายที่สุด เขาไม่อาจรู้ได้เลย
บางทีอาจมีเพียงไปถึงโลกยอดนิรันดร์ จึงจะมีโอกาสไปทำความเข้าใจความลับมากมายที่ว่าเหตุใดยุคก่อนจึงแปรเปลี่ยนไป
แน่นอนว่าหากสามารถบำเพ็ญปราณมองทะลุแก่นอัศจรรย์นิรันดร์ หยั่งถึงกฎเกณฑ์โชคชะตา ก็สามารถยืนตระหง่านเหนือหมื่นมรรค ก้มมองการเปลี่ยนแปลงในใต้หล้า สอดส่องความอัศจรรย์แห่งการไหลเคลื่อนของกาลเวลา และสัมผัสถึงนัยเร้นลับของการเปลี่ยนแปลของยุคสมัยได้เช่นกัน
“ในแดนนรกเซินหลัวแห่งนี้มีทางรอดเพียงสายเดียว นามว่า ‘เส้นทางเลือดยมโลก’ เห็นอาทิตย์ดวงโตสีม่วงใต้ท้องฟ้านั่นหรือไม่”
นกกระจอกเขียวพูด สายตามองไปไกลโพ้น “อาทิตย์สีม่วงดวงโตนั่นส่องแสงชั่วนิรันดร์เพียงลำพัง เส้นทางเลือดยมโลกก็อยู่ใต้อาทิตย์ดวงใหญ่นั้น”
หลินสวินเงยมองไปและตัดสินใจเคลื่อนไหวทันที
แดนนรกเซินหลัวใหญ่มาก ทิวทัศน์แปลกประหลาด ฟ้าดินภูผาธาราล้วนอบอวลด้วยกลิ่นอายกดดันเย็นเยียบเป็นสายๆ ราวกับเป็นยมโลกที่แท้จริงอย่างไรอย่างนั้น
เดินอยู่ในนี้ หากไม่ระวังก็อาจหลงทางและหาทางกลับไม่เจออีก
บุคคลที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิไม่มีทางกล้าเข้ามาในนี้มั่วๆ
ทว่าหลินสวินมีนกกระจอกเขียวนำทาง จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง
สวบ!
เงาร่างหลินสวินพริบไหวเหมือนรุ้งสายหนึ่ง พุ่งไปข้างหน้า ระหว่างทางเปลี่ยนทิศทางเป็นระยะ ทะลวงผ่านพื้นที่แปลกประหลาดยากจะหยั่งถึงแห่งแล้วแห่งเล่า คดเคี้ยวไปมาราวกับเขาวงกตขนาดใหญ่
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
จู่ๆ ในสายตาของหลินสวินก็ปรากฏสะพานหินโค้งแห่งหนึ่งขวางอยู่กลางอากาศ ยืดขยายไปยังส่วนลึกที่หมอกเทาบดบัง
สะพานนี้ปูด้วยหินเขียวกระดำกระด่าง สองฝั่งสะพานเป็นรั้วแกะสลัก ใต้สะพานหมอกเมฆล้อมรอบเหมือนกับคลื่นม้วนตัว
กลิ่นคาวเลือดที่ข้นคลั่กแผ่ออกมาจากส่วนลึกของเมฆหมอกใต้สะพานหิน เผยกลิ่นอายคาวและเหม็นเน่า ทั้งยังคล้ายมีเสียงภูตผีร่ำไห้ดังมาอยู่รางๆ ทำเอาคนตัวสั่นระริก
เห็นดังนี้หลินสวินยังอดหวาดหวั่นไม่ได้ สะพานหินโค้งนี้รวมถึงสภาพรอบๆ เต็มไปด้วยความอัปมงคลและแปลกประหลาด
“ว่ากันว่านี่คือสะพานปลงอนิจจังของในยมโลกของยุคเซียนยุทธ์ แม่น้ำลืมเลือนไหลอยู่ใต้สะพาน ในนั้นยังมีสระเลือดแห่งหนึ่ง นามว่าสระโลหิต”
นกกระจอกเขียวสื่อจิตเสียงเบา ‘ขอเพียงเป็นวิญญาณที่เข้ามาในยมโลก หลังจากผ่านสะพานปลงอนิจจังล้วนถูกล้างความทรงจำในอดีตชาติ จากนั้นถูกขังในนรก เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง’
‘หากตอนมีชีวิตทำชั่วมากเกินไป ยามก้าวสู่สะพานปลงอนิจจังก็จะตกลงไปในสระโลหิต จมอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร์ ได้รับความเจ็บปวดไร้สิ้นสุด’
‘ว่ากันว่าทิศตะวันออกและตกของสะพานปลงอนิจจังแห่งนี้ เดิมทียังมีตำหนักยมโลกและแท่นนรกเชื่อมสู่นรกสิบแปดชั้นแห่งหนึ่ง แต่นี่เป็นเพียงแค่ตำนาน จริงหรือเท็จไม่มีใครกล้าตัดสิน’
‘ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นคำเล่าลือของยุคก่อน ไม่สามารถพิสูจน์ได้นานแล้ว’
ฟังจบหลินสวินอดสะท้านไหวไม่ได้
ตำหนักยมโลก สะพานปลงอนิจจัง แม่น้ำลืมเลือน นรกสิบแปดชั้น สระโลหิตกักวิญญาณ!
ทั้งหมดนี้ฟังดูเหลือเชื่อปานนั้น หากมีอยู่ในยุคก่อนจริงๆ จะเป็นภาพเช่นไร
พลันเห็นนกกระจอกเขียวพูดว่า “เมื่อก้าวสู่สะพานปลงอนิจจัง ก็เท่ากับก้าวสู่หนทางแห่งยมโลกอย่างแท้จริง บนหนทางนี้ก็จะเจออันตรายมากมาย เจ้าจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา ถึงค่อยก้าวขึ้นสะพานหินโค้งที่ทะลวงผ่านอากาศนั้น
เดินอยู่บนนี้ หินเขียวที่อยู่ใต้เท้าเต็มไปด้วยร่องรอยกระดำกระด่าง ใต้สะพานหมอกควันพลุ่งพล่าน แผ่กลิ่นอายลึกลับอำมครึมอันเป็นเอกลักษณ์ เย็นเยียบเสียดกระดูก ประหลาดอย่างยิ่ง
ด้วยจิตรับรู้ของหลินสวินยังไม่สามารถมองทะลุว่าในส่วนลึกของหมอกใต้สะพานนี้เป็นทิวทัศน์อย่างไร กลับเป็นตอนที่กำลังสำรวจ ทำให้จิตรับรู้ของเขาสัมผัสถึงความเย็นเยียบและกดดันหาใดเปรียบ
หืม?
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็น ว่าบนรั้วสองข้างของสะพานปลงอนิจจังสลักลายเมฆที่คลุมเครือไว้มากมาย สัญลักษณ์เหล่านี้แปลกอย่างมาก มีดอกไม้เลือดที่เผาไหม้ปูเต็มพื้น มีน้ำพุเหลืองที่ขุ่นมัวไหลไม่หยุด…
มีสิ่งก่อสร้างอึมครึมที่สลักอักษรประหลาด ถูกระบุว่า ‘ศาลหกภูมิ’ ‘ตำหนักยมโลก ‘นรกสิบขุม’ ‘สระเกิดใหม่
มีร้อยภูตผีปรากฏ มีภาพนรกมากมาย…
ภาพต่างๆ และลายเมฆนั่นแม้เลือนรางไปนานแล้ว แต่กลางฟ้าดินที่มืดสลัวนี้ กลับเหมือนเผยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้านใจคนอย่างหนึ่ง
หลินสวินเดินหน้าไปช้าๆ มองดูไม่หยุด ในใจก็ตะลึงขึ้นเรื่อยๆ
หรือสิ่งสลักอยู่ในนั้น จะเป็นแดนยมโลกในยุคก่อน
วู้ม…
จู่ๆ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็เกิดคลื่นประหลาด ระเบียบนิพพานที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน ตอนนี้กลายเป็นลวดลายดอกบัวอย่างเงียบๆ แล้วลอยออกมา แสงแระกายงดงามมากมายไหลหลั่งออกมา
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด
ไม่รอเขาตอบสนอง ก็เห็นลวดลายดอกบัวที่แปลงมาจากระเบียบนิพพานปลดปล่อยแสงมรรคระเบียบแถบหนึ่งออกมา กวาดบนรั้วสองข้างของสะพานปลงอนิจจังเบาๆ
หลินสวินมองเห็นทันทีว่าภาพแดนยมโลกที่สลักบนรั้วถูกคัดลอกไว้ในลวดลายดอกบัว
“หืม? เหตุใดพลังระเบียบนี้ของเจ้าจึง…” นกกระจอกเขียวเหมือนตกใจ “นี่คงไม่ใช่กำลังดูดซึมพลังแห่งต้นกำเนิดของนรกขุมทมิฬนี่กระมัง”
มันไม่อาจสุขุมอย่างเห็นได้ชัด เสียอาการอย่างยากจะเห็น
หลินสวินตระหนักได้ทันที ว่าด้วยประสบการณ์ของนกกระจอกเขียว เกรงว่าเพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก
ขณะเดียวกันเขาเองก็ประหลาดใจ เหตุใดระเบียบนิพพานจึงคัดลอกพวกเหล่านี้
หรือในนี้ซ่อนความลับเกี่ยวกับนรกขุมทมิฬไว้
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า ว่าบนโลกนี้มีพลังระเบียบระดับใดทำเช่นนี้ได้บ้าง” หลินสวินถามระหว่างสังเกต
นกกระจอกเขียวพูดโดยไม่คิด “ข้ากล้ามั่นใจเพียงว่านี่ไม่มีทางเป็นคุณสมบัติที่สามารถเกิดขึ้นในระเบียบระดับปฐพีแน่ สำหรับระเบียบระดับสวรรค์… ก็พูดยากแล้ว…”
ดูออกว่าในใจนกกระจอกเขียวอึ้งจนไม่สามารถสงบได้แล้ว เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
‘เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ หนึ่งบัวเบ่งบาน… ระเบียบในแดนปรินิพพานที่อาจารย์รอคอยมาหมื่นกาลจะธรรมดาได้อย่างไร…’
หลินสวินพูลอบกล่าวในใจ ‘ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าจะดูถูกระเบียบนิพพานมากไป ความลึกลับของมันไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ข้าคิด’
อันที่จริงหลินสวินก็รู้ชัดว่าด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ ทำได้แค่ครอบครองระเบียบนิพพานและเพลิงหงส์ระเบียบ แต่ไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นอัศจรรย์ภายในได้
นี่เรียกว่ารู้เพียงผิวเผิน แต่ไม่รู้ลึก
และบนโลกนี้คนที่สามารถหยั่งถึงและครอบครองนัยเร้นลับแก่นแท้ของพลังระเบียบ ล้วนเป็นตัวตนที่เหนือกว่าระดับบรรพจารย์
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วเดินหน้าต่อไป
ก็เห็นว่าเมื่อเขาเดินไปบนสะพานปลงอนิจจังไกลขึ้นเรื่อยๆ ลวดลายดอกบัวที่แปรจากระเบียบนิพพานก็คัดลอกภาพต่างๆ บนรั้วทั้งสองข้างไปด้วย
ความรู้สึกนั้นเหมือนระเบียบนิพพานมองภาพเหล่านี้เป็นพลังอย่างหนึ่ง กำลังหลอมเป็นของตนอย่างต่อเนื่อง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของมันเอง
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งตกใจ
และตลอดทางนี้นกกระจอกเขียวเองก็ตกใจตาแข็ง พูดไม่ออกเช่นกัน
มันมีความรอบรู้ มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหยวน เคยเห็นเรื่องแปลกพิสดารเหลือเชื่อไม่รู้เท่าไหร่
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มันเห็นว่าพลังระเบียบกลับสามารถทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังเกิดขึ้นเอง เหมือนมีจิตวิญญาณ
หลังจากนั้นหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ
เสียงวู้มดังขึ้นคราหนึ่ง ลวดลายดอกบัวที่แปรจากระเบียบนิพพานกลายเป็นแสงเทาหม่น กลับเข้าไปในตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอีกครั้ง
ก็เป็นตอนนี้เองที่ จู่ๆ หลินสวินตระหนักได้ว่า ตนมาถึงฝั่งอีกฝั่งของสะพานปลงอนิจจังแล้ว บางทีนี่จึงจะเป็นเหตุผลที่ระเบียบนิพพานกลับคืนสู่เตากระบี่
“ช่างลึกลับจริง…” หลินสวินทอดถอนใจ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นระเบียบนิพพานเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เหนือความคาดหมายของเขาโดยสมบูรณ์
นกกระจอกเขียวที่อยู่ข้างๆ กดความสงสัยและความประหลาดใจไม่อยู่แล้ว เร่งว่า “ดูดซึมและหลอมลวดลายที่เกี่ยวข้องกับแดนยมโลกมากมายขนาดนี้ รีบดูหน่อยว่าศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่”
หลินสวินใจกระตุก ปล่อยจิตรับรู้เข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทันที
…………………