หนึ่งสาย สิบสาย ห้าสิบสาย…
อสนีสีเลือดปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ มากขึ้นเรื่อยๆ บ้างใหญ่หนาราวกับมังกรอันน่าเกรงขาม บ้างเรียวเล็กดั่งคมกระบี่ ล้วนไม่เกิดเสียงหรือกลิ่นอายใดๆ
เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดถึงที่สุด
หลินสวินพลันขนลุกเกรียว หนีออกไปไกลทันที
ปึงๆๆ!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ป้องกันอยู่รอบกายดุจถูกค้อนยักษ์ในมือเทพสวรรค์ทุบแรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเสียงดังสนั่น
หลินสวินถูกซัดจนแทบกระอักเลือด หน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว โคจรพลังทั้งหมดห้อทะยาน ไม่กล้าลังเลสักนิด
มองจากไกลๆ ก็พบว่าสายฟ้าสีเลือดแน่นขนัดไล่โจมตีหลินสวินอย่างบ้าคลั่งเหมือนฉลามได้กลิ่นเลือด บนเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมีประกายสายฟ้าบาดตาปะทุออกมาไม่หยุด
ครู่หนึ่งผ่านไป
สายฟ้าสีเลือดที่เคลื่อนออกมาจากหมอกสีดำหายลับไปในที่สุด
สีหน้าหลินสวินยังซีดเผือดอยู่บ้าง แววตาเผยความเคร่งเครียด รู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์ยิ่งนัก
พลังสายฟ้าสีเลือดนั้นพิสดารและน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
“นี่ก็คืออสนีเลือดอสูรหนึ่งในอสนีมืดหกฝ่าย หากถูกมันปกคลุมหรือปิดล้อม บรรพจารย์ขั้นเก้ายังประสบเคราะห์ได้”
แววตานกกระจอกเขียวเจือแววประหลาด “แต่ตามที่ข้ารู้มา ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา อสนีเลือดอสูรเพิ่งปรากฏไม่กี่ครั้ง พันหมื่นปียังแทบไม่มีใครพบเจอ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับได้เจอแล้ว…”
“พูดแบบนี้ ยังถือว่าข้าดวงดีมากใช่ไหม” หลินสวินเลิกคิ้ว
นกกระจอกเขียวหลุดขำ “เกรงว่าจะมีแต่คนดวงซวยอย่างเจ้าถึงคิดแบบนี้”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “อย่างน้อยคนอื่นก็ไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาว่าอสนีเลือดอสูรคืออะไร สำหรับข้าก็นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าอยากจะเจออสนีแกร่งเดรัจฉานสักหน่อยไหม” นกกระจอกเขียวเอ่ยอย่างมีเจตนาร้าย
หลินสวินสีหน้าอึมครึม ส่ายหัวทันที
ในเวลาต่อมา หลังจากเขาเดินหน้าต่อไปประมาณเจ็ดลี้ ในที่สุดก็ได้พบซากป้ายศิลาที่นกกระจอกเขียวกล่าวถึงป้ายนั้น
หมอกดำพลิกม้วน ด้านหนึ่งของทางน้ำพุเหลือง ซากป้ายศิลาสูงสามฉื่อปักเฉียง ทั้งตัวป้ายศิลามีสีดำเหมือนน้ำหมึก บนนั้นมีแต่ร่องรอยกระดำกระด่างตามกาลเวลา
กลางหน้าป้ายศิลาเห็นคำว่า ‘พญายม’ ที่สลักด้วยอักษรประหลาดอยู่รางๆ
หลินสวินเอ่ยว่า “เขตผนึกลึกลับนั่นก็อยู่ในส่วนลึกของซากป้ายศิลานี้หรือ”
นกกระจอกเขียวพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะไปสักครั้งจริงหรือ”
“ลองดูก็ไม่เสียหาย เห็นท่าไม่ดีข้าออกมาทันทีก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
ตาดำหลินสวินไหววาบ
ตอนนี้ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คืออภินิหารหยุดเวลา แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเขาจะไม่ใช้เด็ดขาด
เกิดถูกคนสังเกตเห็นเข้า จะต้องชักนำเภทภัยครั้งใหญ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้แน่
ถึงอย่างไรอภินิหารหยุดเวลานี้ก็มาจากพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน และในโลกยอดนิรันดร์ คนที่รู้จักพรสวรรค์นี้ก็มีไม่น้อย!
ทันทีที่ถูกคนมองออก เกรงว่าตระกูลลั่วจะต้องมาหาทันที
และแม้ไพ่ตายอื่นของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็แทบไม่มีไพ่ตายที่สามารถคุกคามบรรพจารย์มรรคได้
นี่ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกวิกฤตอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขากล้าแน่ใจว่าในแดนใหญ่พันศึกนี้ จะต้องมีพวกน่ากลัวอย่างบรรพจารย์มรรคปรากฏตัวแน่!
ดังนั้นถ้าสามารถเก็บ ‘เพลิงระเบียบดับสูญ’ จำนวนหนึ่งได้ เช่นนั้นก็เท่ากับครอบครองไพ่ตายที่สามารถทำให้บรรพจารย์มรรคหวาดหวั่นได้!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลินสวินคิดจะไปสำรวจสักครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าต้องระวังหน่อย” เสียงนกกระจอกเขียวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ในแดนใหญ่พันศึกมีเขตผนึกลึกลับมากมาย
แต่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีคนน้อยนักที่จะกล้าไปเขตผนึกลึกลับตรงหน้านี้!
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ โคจรมรรควิถีทั้งตัวถึงสภาวะสูงสุด จากนั้นก็เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา แล้วจึงเดินไปยังด้านหนึ่งของซากป้ายศิลาพญายมนั้น
ฟ้าดินแห่งนี้อบอวลด้วยหมอกดำโดยสมบูรณ์ เงียบสงัดไร้เสียง ขนาดเสียงลมยังเงียบกริบ
ต่อให้หลินสวินใช้เปิดตาทิพย์สืบเสาะ ก็เห็นทัศนียภาพได้ในขอบเขตพันจั้งเท่านั้น
เมื่อเขาเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกอึดอัดและหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกก็ผุดขึ้นทั้งตัว ทำให้ร่างกายเขาตึงเครียดขึ้นมา
คล้ายกับว่าส่วนลึกของหมอกดำมืดนั้นมีสิ่งดุร้ายถึงชีวิตซ่อนอยู่
สีหน้าหลินสวินก็เคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย แต่ละก้าวที่เดินเข้าไปไม่กล้าเลินเล่อ
ดวงอาทิตย์สีม่วงมืดหม่นจมอยู่ในชั้นเมฆอย่างเงียบงัน
ไม่รู้เมื่อไรที่ดวงจันทร์สีเลือดแดงฉานดวงหนึ่งลอยอยู่กลางเวิ้งฟ้าที่อบอวลไปด้วยหมอกดำนั้น แผ่แสงสีโลหิตอันแปลกพิสดารออกมา
หลินสวินเงยมองดวงจันทร์สีเลือดแดงฉานนั้นคราหนึ่งแล้วหนาวสะท้านในใจอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเอง…
สวบๆๆ…
จู่ๆ จุดดำจุดแล้วจุดเล่าก็ปรากฏขึ้นเหนือเวิ้งฟ้าสีดำสนิทนั้น รวมตัวกันใต้จันทร์สีเลือดอย่างแน่นขนัด ไม่กี่อึดใจก็มารวมกันเกินพันจุดแล้ว
เมื่อมองอย่างละเอียด นั่นถึงกับเป็นผีร้ายที่ร่างกายควบรวมขึ้นจากหมอกดำ ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงชาดตนแล้วตนเล่า!
และใจกลางก็มีโครงกระดูกสีเลือดมหึมาโครงหนึ่งลอยอยู่
โครงกระดูกนั้นขาวโพลนเปล่งปลั่ง ใหญ่เท่าภูเขา ฟันแหลมคมเหมือนดาบขอทิ่มลง และที่ดวงตาคู่นั้นก็มีเพลิงผีสีเขียวมรกตสองกลุ่มแผดเผาอยู่ เปลวเพลิงทะลุเมฆา ย้อมห้วงอากาศให้เป็นแสงเพลิงสีเขียวซีดทั้งแถบ
ทันทีที่โครงกระดูกสีเลือดมหึมานี้ปรากฏตัวขึ้นบนเวิ้งฟ้า ผีร้ายชุดเลือดนับพันก็พากันก้มหัวคารวะ ทำความเคารพให้ ในปากก็ส่งเสียงเรียกหัวเราะร้ายกาจคลุมเครือและเล็กแหลม สะท้านสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน น่าตกตะลึงถึงที่สุด
เหล่าผีบูชาจันทร์!
หลินสวินสีหน้าครัดเคร่งขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพพิสดารน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้เขาถึงรู้สึกอยากจะหันหลังกลับยิ่งนัก
‘เหล่าผีบูชาจันทร์… นี่เป็นลางเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่…’
นกกระจอกเขียวสื่อจิต ทั้งยังเผยน้ำเสียงพรั่นพรึง
ตามคำร่ำลือ ในแดนนรกยุคก่อน เมื่อ ‘เหล่าผีบูชาจันทร์’ ปรากฏ มักหมายถึงมีจักรพรรดิผีองค์หนึ่งกำลังจะถือกำเนิด!
นี่เป็นเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด พอจักรพรรดิผีปรากฏตัว ก็หมายความว่าในแดนนรกจะเกิดเภทภัยครั้งใหญ่อีกครั้ง
นี่ก็เหมือนเค้าลางอย่างหนึ่ง ตั้งแต่โบราณมาก็มีคำพูดว่า ‘จักรพรรดิผีมา เภทภัยบังเกิด’ ถ่ายทอดอยู่ในแดนนรก
ปึง! ปึง! ปึง!
บนเวิ้งฟ้าเพลิงผีสีเขียวหยกลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นบนร่างผีร้ายนับพันตน แผดเผาตัวเอง ทั้งร่างต่างสลายไป แล้วแปรสภาพเป็นพลังแห่งนรกอันเปี่ยมล้นสายแล้วสายเล่า ผุดเข้าไปในปากของโครงกระดูกมหึมาที่อยู่ตรงกลางนั้น
ความรู้สึกเช่นนั้นก็เหมือนเซ่นสังเวย ใช้พลังของตนสังเวยให้กับโครงกระดูกนั้น!
และในขณะเดียวกัน บนดวงจันทร์สีเลือดกลางเวิ้งฟ้านั้นก็มีลำแสงสีเลือดใหญ่หนาสายหนึ่งผุดออกมา พุ่งเข้าไปในโครงกระดูกยักษ์นั้นทันที
เพียงชั่วพริบตาเดียว
พลังแห่งนรกสีเลือดอันไพศาลดั่งคลื่น คลั่งถาโถมไปทั้งฟ้าดิน และใจกลางพลังนั้นก็คือโครงกระดูกนั้น
พลังที่มันกลืนกินนี้กำลังแปรสภาพอย่างน่าตกใจ!
“รีบไปเร็ว!” นกกระจอกเขียวรีบเอ่ยเตือน คล้ายรับรู้ได้ว่าไม่ชอบมาพากล
หลินสวินก็พยักหน้า
ก็ในตอนนี้เอง…
ตำราหยกสีขาวดำที่ส่องแสงเจิดจ้าเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหมอกดำทันที กวาดไปทางโครงกระดูกสีเลือดมหึมานั้นกะทันหัน
ฮูม…!
ตำราหยกปล่อยแสงเทพสีขาวดำออกมา ดั่งภาพฝันมายา มหัศจรรย์ยากคาดเดา
เห็นดังนี้โครงกระดูกสีเลือดนั้นก็ส่งเสียงเหี้ยมเกรียมอำมหิตออกมาว่า “ฉินก่วงอ๋อง ยุคสมัยกำลังจะล่มสลาย นรกจะไม่ดำรงอยู่ในที่สุด ไยยังต้องขวางข้า”
ตูม!
แสงเลือดแถบหนึ่งพ่นออกมาจากโครงกระดูก ปะทะกับแสงเทพสีขาวดำนั้น เกิดเป็นเสียงดังสนั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ตำราหยกสีขาวดำก็ส่งเสียงวิ้ง สลายกลายเป็นละอองแสงแล้วหายลับไป
เงาร่างคลุมเครือดั่งภาพมายาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหมอกดำอย่างเงียบเชียบ ร่างนั้นสูงใหญ่ถึงที่สุด สวมมงกุฎจักรพรรดิ แต่งกายชุดดำ
เมื่อหลินสวินมองไปก็รู้สึกเพียงว่าแววตาของเงาร่างนั้นคล้ายสะท้อนหมื่นลักษณ์จักรวาล สุริยันจันทราดารา รองรับห้วงอากาศว่างเปล่าทั่วหล้า วิวัฒน์เป็นอิทธิฤทธิ์เทพสุดหยั่ง!
เพียงมองปราดเดียว จิตวิญญาณของหลินสวินยังเกิดความรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
แต่หลังจากเงาร่างสูงตระหง่านนั้นปรากฏตัว กลับคล้ายไม่ได้สังเกตเห็นหลินสวิน เขาเพียงจับจ้องโครงกระดูกสีเลือดนั้น เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “แม้ยุคสมัยล่มสลาย ก็ไม่ยอมให้ของดุร้ายอย่างเจ้าป่วนระเบียบนรก”
โครงกระดูกสีเลือดยิ้มเหี้ยม “อาศัยเจ้าน่ะหรือ”
ครู่ต่อมา
เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏกลางหมอกสีดำบริเวณนั้นอย่างต่อเนื่อง บ้างมีรูปลักษณ์น่าดึงดูด บ้างรูปโฉมสง่างามดั่งปราชญ์ บ้างทรงพลังน่ากลัว บ้างสงบเยือกเย็น แม้รูปลักษณ์แตกต่างกันไป แต่พลานุภาพแกร่งกล้าถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
โครงกระดูกสีเลือดนั้นคล้ายตกตะลึง ส่งเสียงตวาด “ซ่งตี้อ๋อง ฉู่เจียงอ๋อง เปี้ยนเฉิงอ๋อง ไท่ซานอ๋อง… ดีจริง เพื่อขวางการแปรสภาพของข้า พวกเจ้าพญายมสิบตำหนักถึงกับร่วมกันลงมือ!”
มันคล้ายคลุ้มคลั่งอยู่บ้าง คำรามว่า “แต่พวกเจ้าเคยคิดไหมว่ายุคนี้มาถึงจุดจบแล้ว กำลังจะล่มสลายแล้ว ต่อให้พวกเจ้าขวางข้าได้ ก็ต้องตายท่ามกลางยุคสมัยที่ล่มสลาย!”
เสียงนั้นดังก้องไปทั้งฟ้าดิน สะเทือนเมฆถล่มสิบทิศ หมอกเมฆปั่นป่วนรุนแรง
หลินสวินยังรู้สึกเพียงว่าตอนนี้มีเสียงวิ้งๆ ดังอยู่ในสมอง รู้สึกแย่จนแทบกระอักเลือด
และสิ่งที่ตอบกลับโครงกระดูกสีเลือดนั้น ก็คือการร่วมกันโจมตีจากพญายมสิบตำหนัก
ก็พบว่า…
เงาร่างสูงใหญ่ทั้งสิบยืนอยู่คนละฝั่ง บ้างถือหนังสือมรรคตำราหยก บ้างถือกระบี่หยก บ้างถือธง บ้างถือประทับใหญ่สายัณห์…
“สยบ!” “ตั้ง!” “ราบ!” “ผูก!” “กัก!” “มา!” “คร่า!”…
เสียงเทพเสียงแล้วเสียงเล่าดังสนั่น คล้ายเทพสวรรค์บัญชา สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ครืน!
แสงสมบัติมหามรรคที่น่าครั่นคร้ามถึงขีดสุดปกคลุมฟ้าดินแห่งนั้น ฉายปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นไร้สิ้นสุด ทั้งนรกหลอมทะเลโลหิต หกวิถีสยบวิญญาณ แม่น้ำแห่งความหลงลืมดุจทะเล ฟากฝั่งจ่อมจม…
ทันใดนั้น หลินสวินก็แสบตาไปครู่หนึ่ง จิตวิญญาณสั่นสะท้าน เหมือนถูกฟ้าดินสลัดทิ้ง มองไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรอีก
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
หลินสวินค่อยๆ ได้สติกลับมาจากสภาวะว่างเปล่านั้นช้าๆ คลองสายตาก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
แต่ตอนที่เขามองไปในที่นั้น กลับพบอย่างน่าตกใจว่าหมอกอบอวล ฟ้าดินเงียบสงัด กลางเวิ้งฟ้าก็ไม่มีดวงจันทร์โลหิตแดงฉานนั้นอยู่
ราวกับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อกี้แต่ละภาพเป็นดั่งภาพลวงตา
“ประทับการต่อสู้…”
หลินสวินรับรู้ได้ทันทีว่าภาพที่ได้เห็นเมื่อกี้ ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นการต่อสู้สะท้านฟ้าที่เกิดขึ้นจริงๆ ในยุคก่อน
และที่ตนได้เห็น ก็คือเศษเสี้ยวประทับที่หลงเหลือจากการต่อสู้นี้!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจหลินสวินก็ว้าวุ่นยิ่งขึ้นเสียแล้ว
ผ่านมากาลเวลาไร้สิ้นสุด ยุคก่อนล่มสลายไปนานแล้ว แต่ในเขตผนึกลึกลับนี้กลับทำให้เขามองทะลุถึงยอดศึกที่เรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่นครั้งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ!
แม้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ดูออกได้ว่าพญายมสิบตำหนักที่บัญชาการนรกแห่งนี้อยู่แข็งแกร่งปานไหน!
——