เฟิงจวินหลินเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งคนหนึ่ง ไม่กลัวคนจากเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างเหวินเซ่าเหิง หาไม่แล้วคงไม่เข้ามาเอี่ยวเรื่องหลินสวิน หยั่งเชิงหมายจะรับหลินสวินมาเป็นบริวารของตนแต่แรก
เดิมทีเขาก็ประเมินศักยภาพแฝงของหลินสวินไว้สูงแล้ว แต่หลังจากได้เห็นพลานุภาพของหลินสวินด้วยตาตัวเอง กลับพบเรื่องหนึ่งอย่างน่าตกตะลึง
บนมกุฎมรรคา ต่อให้หลินสวินจะมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นหกเท่านั้น แต่พลังต่อสู้อันเย้ยฟ้านั้นกลับคุกคามบุคคลขอบเขตมกุฎที่มีพลังปราณสูงกว่าเขาได้!
นี่ดูน่าทึ่งนัก
ควรรู้ว่าโลกพันจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลปานไหน มีมิติจักรวาลมากมาย แม้ระดับจักรพรรดิในแต่ละโลกจะมีน้อย ทว่าหากรวมกันก็มีจำนวนมหาศาล
แต่มกุฎมหาจักรพรรดิหายากยิ่งนัก อย่างกับขนหงส์เกล็ดกิเลน ต่างจากระดับจักรพรรดิทั่วไป
อย่างในโลกพันจักรวาล ก็มีแต่มิติฟ้าดาราชั้นยอดห้าสิบอันดับแรกถึงจะพอเห็นมกุฎมหาจักรพรรดิจำนวนมากปรากฏตัว
ในโลกมิติจักรวาลอื่นอาจจะมีมกุฎมหาจักรพรรดิอยู่บ้าง แต่โดยมากกระทั่งมกุฎมรรคาก็ยังขาดสะบั้นไปแล้ว!
สิ่งที่ทำให้เฟิงจวินหลินทึ่งก็คือ ทางเดินโบราณฟ้าดาราที่หลินสวินจากมา ตกต่ำและโรยราไปนานแล้ว ไม่มีมกุฎจักรพรรดิปรากฏตัวมานานมาก
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ มกุฎมรรคาที่หลินสวินเดินอยู่เย้ยฟ้าหาใดเทียบ ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎยังเรียกได้ว่าน่ากลัว!
อย่างน้อยก่อนหน้านี้เฟิงจวินหลินก็ไม่อาจจินตนาการได้สักนิด ว่ามกุฎมหาจักรพรรดิขั้นหกคนหนึ่งจะมีอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่แทบจะเปลี่ยนการรับรู้ของเขาไปแล้ว!
‘บนตัวเจ้าหมอนี้จะต้องมีความลับใหญ่ที่ไม่มีใครรู้แน่!’ แววตาเฟิงจวินหลินไหววูบ ตัดสินออกมาอย่างหนึ่ง
โครม!
เสียงปะทะอันน่ากลัวดังขึ้น ในสนามรบ หลินสวินโจมตีกร้าวแกร่ง แสงมรรครอบตัวพวยพุ่งทำลายการจู่โจมของมหามรรคต่างๆ
ต่อให้สี่คนนั้นต่อต้านและโต้กลับเต็มกำลัง แต่ก็ยังถูกหลินสวินซัดสะเทือนและกดข่มไม่หยุด สร้างความยากลำบากให้พวกเขาอย่างยิ่ง กลิ่นอายที่ถูกซัดโจมตีหลายครั้งยุ่งเหยิง กระอักเลือดคำใหญ่
ตูม!
หลินสวินแกว่งหมัด เกิดพายุอสนีไม่ว่างเว้น ภูผาธาราหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง แทงทะลุร่างคนผู้หนึ่งในนั้น กระดูกทั้งร่างหักสะบั้น ร่างแหลกกระจุยไปครึ่งท่อน
พรวด! พรวด!
สามคนที่เหลือกระอักเลือดสดๆ ออกมา กระเด็นลอยออกไป ภาพมรรคที่มีส่งเสียงหึ่งๆ เปลี่ยนเป็นหม่นหมอง แต่ละคนต่างสีหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยแววไม่อยากเชื่อ
“พอเท่านี้แหละ!”
ไกลออกไปเฟิงจวินหลินส่งเสียงดังก้องไปทั้งที่นั้น
ใครจะคิดว่าหลินสวินจะไม่สนใจสักนิด ยื่นมือออกมาคว้า
เกิดเสียงดังตูม!
ทันใดนั้นภาพมรรคจตุลักษณ์ที่สี่คนนั้นถือไว้กระเด็นหลุดมือไป ถูกหลินสวินรับไว้กลางอากาศ
“หยุดนะ!”
เฟิงจวินหลินลงมือ ทันทีที่เข้ามาก็สำแดงอานุภาพคับฟ้า มือใหญ่มือหนึ่งปกคลุมเวิ้งฟ้า กดข่มลงมาโดยพลัน หมายจะยับยั้งไม่ให้หลินสวินชิงสมบัติไป
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง ชกหมัดออกไปทันที บดขยี้ทำลายล้างมือใหญ่นั่นอย่างจัง ราวกับหุบเหวกลืนเวิ้งฟ้า
ถือโอกาสนี้เงาร่างหลินสวินไหววูบ ถอยออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าก็เมตตามากพอแล้ว สมบัติสี่อย่างนี้ให้เป็นของชดเชยข้าก็แล้วกัน”
ขณะที่พูดหลินสวินก็เก็บภาพมรรคสี่ภาพนั้นเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เฟิงจวินหลินสีหน้าอึมครึม แววตาราวกับสายฟ้าสีม่วงไหลหลั่ง น่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ เอ่ยว่า “อยากได้สมบัติหรือ ได้ ขอแค่เจ้ารับการโจมตีของข้าได้!”
ศีรษะเขาสวมเกี้ยวประดับม่วงทอง เอวคาดเข็มขัดหยกขาว องอาจเกินธรรมดา แสงมรรคอบอวล ยามกะพริบตาวาบประกายแสงเทพสีม่วงเฉียบคมสองสาย
ตูม!
เขายื่นฝ่ามือเรียวยาวขาวสะอาดออกมา พาดขวางกลางห้วงอากาศ
ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงเต็มฟ้าก็ถาโถมลงมาราวกับกระแสน้ำคับฟ้า แสงม่วงพลุ่งพล่าน อสนีบ้าคลั่ง ฝังกลบหลินสวินอย่างกับมหาสมุทรอสนี
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นในชั่วพริบตา!
เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเฟิงจวินหลิน ไม่ใช่พวกทั่วๆ ไปจริงๆ วิชามรรคและอานุภาพเช่นนั้นโดดเด่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
หลินสวินไม่กล้าเลินเล่อ ออกโจมตีเต็มกำลัง นิ้วมือดุจสายฟ้า สำแดงนัยเร้นลับของหมื่นกระบี่คืนหนึ่ง
ตูม!
มหาสมุทรอสนีสีม่วงเต็มฟ้าถูกกระบี่เดียวฟันออกเป็นสองส่วน
ราวกับหนึ่งกระบี่แบ่งสมุทร!
“โลกหล้าโคจร ว่างเปล่าไร้สิ่งใด”
ท่ามกลางเสียงต่ำลึกเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม นัยน์ตาของเฟิงจวินหลินกลายเป็นต้นกำเนิดแสงสีม่วง ตัวเขาสูงใหญ่องอาจ ยืนตระหง่านอยู่กลางฟ้าสูง
จักระสีม่วงวงหนึ่งควบรวม บนนั้นปรากฏภาพโลกาเปลี่ยนผัน วังวนดับสูญ ฟันออกไปทันที
เสียงดังสนั่นไม่ขาดหู ฟ้าดินยังถูกย้อมเป็นสีม่วงอันล้ำลึกพิสดาร
ชั่วพริบตานี้หลินสวินเหมือนจมสู่กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ถูกพลังมายาทลายน่าพรั่นพรึงลอบโจมตี คล้ายจะกลบฝังเขาให้จมลงสู่ความดับสูญ!
‘พลังแห่งกาลเวลาหรือ ไม่ใช่! นี่เป็นพลังมายาทลาย จริงเท็จร่วมธำรง มายากลายเป็นจริง…’
หลินสวินก็เผยสีหน้าจริงจังอย่างอดไม่ได้
กาลเวลาเป็นมหามรรคชั้นเลิศและเร้นลับที่สุดอย่างหนึ่ง แม้เฟิงจวินหลินจะไม่เคยสัมผัสมรรคนี้ แต่กลับใช้พลังมหามรรคของตัวเองแปลงเป็นอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างความเป็นไปในโลก กาลเวลาดับสลายได้
จากสิ่งนี้ก็เห็นแล้วว่ามรรควิถีของคนผู้นี้น่ากลัวปานไหน!
หลินสวินไม่กล้าเลินเล่อ
ตูม!
เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมด ประหนึ่งหุบเหวพาดกลางอากาศ ละม้ายเตาหลอมกำราบโลก สำแดงมรรคที่แข็งแกร่งที่สุดของตน ดุจหุบเหวดั่งนรก เคลื่อนกวาดสิบทิศอย่างกราดเกรี้ยว
ทันใดนั้นจักระสีม่วงก็ระเบิดออก ทำให้หลินสวินหลุดออกมาจากการซุ่มโจมตีด้วยพลังพิสดารอย่างความเป็นไปในโลก กาลเวลาดับสลายนั้น
ต่อมาพร้อมกับเสียงครั่นครืนสะท้านโลก หลินสวินกระโจนขึ้นไป แปลงเป็นหุบเหวที่สามารถกลืนกินสิบทิศ บุกโจมตีไปยังเฟิงจวินหลิน
ชั่วพริบตานั้นการประชันไร้เทียมทานนับสิบนับร้อยครั้งดำเนินไป ทั้งสองลงมืออย่างฉับไวยิ่ง ชั่วพริบตาก็ปะทะกันไปหลายร้อยครั้งแล้ว
ภูผาธาราหมื่นลี้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างถูกพลังโจมตีของทั้งสองเคลื่อนกวาด ฟ้าดินร้องครวญ เกิดภาพดั่งโลกาวินาศไปทุกแห่งหน
ระหว่างที่ต่อสู้หลินสวินมักรู้สึกเหมือนตกสู่ความเป็นไปในโลก กาลเวลาดับสลาย พลังและสภาวะจิตถูกซุ่มโจมตีไม่ว่างเว้น
แม้นี่จะไม่ใช่พลังกาลเวลา แต่ก็เรียกได้ว่าวิปริตพิสดาร เงียบเชียบไร้เสียง พาให้ผู้คนตกอยู่กึ่งกลางโดยไม่รู้ตัว
ขนาดหลินสวินยังต้องยอมรับ ว่ามกุฎจักรพรรดิขั้นแปดอย่างเฟิงจวินหลินเรียกได้ว่าน่ากลัวเย้ยฟ้าจริงๆ ครอบครองรากฐานพลังแกร่งกล้า ระดับบรรพจารย์ขั้นเก้าเทียบไม่ติด
ความจริงแล้วในมิติจักรวาลอันไพศาลนับไม่ถ้วนนี้ มกุฎมหาจักรพรรดิที่ครอบครองอานุภาพกำราบโลกแต่ละคน ย่อมผ่านความทุกข์ยากไร้สิ้นสุดและการเคี่ยวกรำจากการต่อสู้
อย่างเฟิงจวินหลิน ก็คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลินสวินได้พบมาตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในแดนใหญ่พันศึกจนตอนนี้!
เขาองอาจกล้าหาญ ยามลงมือมีแสงเทพนานาชนิดเริงระบำ ต่างเป็นวิชาอันอัศจรรย์ ไม่ว่าจะวิชาใดต่างก็สำแดงพลังจนเซียนตะลึงเทพร่ำไห้ แข็งแกร่งหาใดเทียบ
โครม!
จู่ๆ เบื้องหน้าเฟิงจวินหลินก็มีกระบี่มรรคเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ปราณกระบี่ยาวถึงหมื่นจั้ง ประหนึ่งทิวเขาทอดตัว ราวกับธารดารากระจุกตัว เปล่งประกายสะดุดตา
ไอสังหารคล้ายมาจากโบราณกาลมืดฟ้ามัวดิน ตลบอบอวลออกมาจากกระบี่มรรคเล่มนี้ ราวกับทวยเทพคืนชีพจากตรงนั้น
นี่ถึงเป็นวิธีต่อสู้ที่แท้จริงของเฟิงจวินหลิน ทั้งยังเป็นที่มาของฉายา ‘มกุฎยอดกระบี่’ นั้นของเขา
ยอดกระบี่อหังการ!
แค่คำเหล่านี้ก็อธิบายทุกอย่างได้แล้ว
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด บนกระบี่นี้ถึงกับมีกลิ่นอายอมตะอันดุดันไร้สิ้นสุดประทับอยู่!
“ฆ่า!”
เฟิงจวินหลินเปล่งเสียงเบาๆ กระบี่มรรคเล่มนั้นก็เหนี่ยวนำพลังที่สามารถฟันสุริยันจันทราดาราให้ร่วงหล่น ฟาดฟันลงมาอย่างกราดเกรี้ยว ทำลายล้างจักรวาล
วิ้ง!
ก็พบว่าหลินสวินคำรามยาวคราหนึ่ง เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่องแสง อานุภาพดุจเพลิงผลาญ เคลื่อนกวาดไปหลายพันจั้งราวกับทะเลคำรนตลบท้องนภา
หลินสวินที่ควบคุมเตากระบี่อยู่ก็เหมือนเป็นเทพมารคนหนึ่ง เคลื่อนตัวไปทั้งฟ้าดิน
ปึง! ปึง! ปึง!
กระบี่มรรคอมตะกับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปะทะกัน เกิดเป็นอานุภาพทำลายล้างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน นี่เป็นศึกใหญ่สะท้านโลกครั้งหนึ่ง กระบี่มรรคส่งเสียงชิ้งๆ เตากระบี่ส่งเสียงก้องสนั่น หลินสวินกับเฟิงจวินหลินกลายเป็นสายฟ้าสองสายพันพัวกัน ประชันอย่างดุเดือดกลางเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เพียงช่วงสั้นๆ ก็ประชันกันหลายร้อยครั้งแล้ว
ณ ตอนนี้ ผู้ที่สามารถสู้กับหลินสวินได้เกินร้อยกระบวนท่ายังมีน้อยยิ่งนัก และขณะนี้เฟิงจวินหลินถึงกับต้านทานอย่างแข็งกร้าวได้ เป็นผู้แข็งแกร่งอันหาได้ยากจริงๆ
ต่อมาหลินสวินก็สู้อย่างเร่าร้อน เจตจำนงเดือดพล่าน จิตต่อสู้ดั่งเปลวเพลิง สำแดงวิชาอริยะยุทธ์ ใช้ความแข็งแกร่งสู้ความแข็งแกร่ง ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง
นี่เป็นการห้ำหั่นที่เรียกได้ว่าหายากยิ่งครั้งหนึ่ง ทั้งสองสู้กันจนธารดาราหมองหม่น สุริยันจันทราอับแสง
พวกชายชุดดำสี่คนนั้นต่างหลบไปไกลๆ นานแล้ว มองการต่อสู้อย่างตาค้าง จิตใจสั่นสะท้าน ไม่อาจสงบลงได้
ฝึกปราณมาจนตอนนี้ พวกเขาเพิ่งเคยเจอคนที่สามารถต้านเฟิงจวินหลินได้เป็นครั้งแรก ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ พลังปราณของอีกฝ่ายยังอยู่แค่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกเท่านั้น!
ตูม!
หลังจากการปะทะแห่งยุคอีกครั้ง เงาร่างทั้งสองต่างก็ถอยหลังออกไป เพิ่มระยะห่างมากขึ้น
แสงมรรคทั้งตัวหลินสวินพวยพุ่ง พาดผ่านฟ้าดิน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเปล่งแสงมรรคมากมาย ขับเน้นให้เขาดูเหมือนเทพมารโบราณ หยิ่งผยองเหนือโลกหล้า
ตรงข้ามกัน เฟิงจวินหลินสวมเกี้ยวประดับสีทองม่วง เงาร่างสูงตระหง่าน กระบี่มรรคเล่มหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า กลิ่นอายแห่งอมตะสังหารไหลเวียน
เขาสีหน้าอึมครึม ประกายสีม่วงไหวเคลื่อนในดวงตา จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ พอแค่นี้ ในเมื่อเจ้าชอบสมบัติสี่ชิ้นนั้น ก็ฝากให้เจ้าไปดูแลสักสองสามวัน เจอกันใหม่คราวหน้าค่อยตัดสินแพ้ชนะ”
ชิ้ง!
เขาอ้าปากกลืนคราหนึ่ง กระบี่มรรคอมตะที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นแสงเคลื่อนหายลับเข้าไปในร่าง
พูดจบเขาก็หันหลังจากไป สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่
พวกชายชุดดำสี่คนต่างผงะไป งุนงงไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
เพราะสู้กันถึงตอนนี้ เฟิงจวินหลินก็ไม่ได้มีเค้าว่าจะพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำยังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้เขากลับทิ้งการต่อสู้เอง!
หลินสวินนัยน์ตาลุ่มลึก กวาดมองรอบๆ พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงเก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งและคิดจะจากไป
จู่ๆ เสียงของเฟิงจวินหลินก็ดังขึ้นไกลๆ “สิ่งที่ข้าพูดตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมยังไม่เปลี่ยนไป ขอเพียงเจ้าเลือกติดตามข้างกายข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ให้เจ้าตายในเขตที่เก้า”
หลินสวินเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเฟิงจวินหลินมองแผนของเหิงเทียนซั่วออกนานแล้ว รู้ถึงอันตรายที่เขาหลินสวินกำลังจะเผชิญ!
“เจอกันคราวหน้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งเหมือนกัน” หลินสวินเอ่ย
“โอกาสอะไร”
ไกลออกไปเฟิงจวินหลินหันมาถาม
“โอกาสสวามิภักดิ์กับข้า” หลินสวินเอ่ย
เฟิงจวินหลินอึ้งไปเป็นอย่างแรก ทันใดนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะร่า ก้าวยาวๆ ไปในอากาศ พุ่งทะยานจากไป
พวกชายชุดดำรีบร้อนตามไป
พวกเขาเพิ่งจากไป เสียงปรบมือชื่นชมก็ดังขึ้นกลางฟ้าดิน
“ด้วยพลังมกุฎจักรพรรดิขั้นหก กลับสู้กับเฟิงจวินหลินที่อยู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะกล้าเชื่อว่าบนโลกนี้ถึงกับมีคนแบบนี้ด้วย”
ในห้วงอากาศไกลออกไปมีน้ำเต้าเปลือกเขียวขนาดมหึมาใบหนึ่งปรากฏขึ้น ไอแรกกำเนิดอบอวล ชายหนุ่มชุดนักพรตคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น รูปลักษณ์หล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง สง่างามเหนือโลกา
มหาจักรพรรดิจู๋หลิว เยวี่ยตู๋ชิว!
——