ชายชุดดำอึ้งไป กำลังจะพูดอะไร

ก็พบว่าเฟิงจวินหลินโบกมือเอ่ยว่า “เขาพูดถูก เรื่องก่อนหน้านี้ข้าเห็นทั้งหมด ไม่ต้องพูดอีกแล้ว”

ชายชุดดำแก้มบวมแดง คับแค้นใจนัก

“หลิงเสวียนจื่อ พลังต่อสู้เขาสู้เจ้าไม่ได้ ก็สมควรโดนตบ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของข้า เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ควรจะตัดสินอย่างไร”

ดวงตาเฟิงจวินหลินจ้องหลินสวิน เงาร่างสูงใหญ่ มีอานุภาพอหังการถึงที่สุด

นี่ต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นพวกน่ากลัวที่แข็งแกร่งมาก น้อยคนนักจะเทียบได้!

“เช่นนั้นเจ้าว่าอย่างไร” หลินสวินแววตาเฉยชา สุขุมเยือกเย็น

“วัดความสูงต่ำของมหามรรค” เฟิงจวินหลินเสียงดังกังวาน ไม่ยอมให้กังขา

“สุดท้ายก็ยังต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี” หลินสวินพยักหน้า “ก็ได้”

เฟิงจวินหลินส่ายหัวเอ่ย “ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้ขอเพียงเจ้าเอาชนะคนข้างกายข้าสี่คนนี้ได้ เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจะเลิกแล้วกันไป”

หลินสวินเลิกคิ้ว เขาดูออกนานแล้วว่าสี่คนที่อยู่ข้างกายเฟิงจวินหลินไม่อาจเทียบกับระดับจักรพรรดิทั่วไปจริงๆ

มีบรรพจารย์ขั้นเก้าสองคน มกุฎมหาจักรพรรดิสองคน

ขนาดชายชุดดำที่ถูกเขาตบเมื่อครู่ยังเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นหกคนหนึ่ง!

“อะไรเรียกเลิกแล้วกันไป”

หลินสวินยิ้ม “ใครผิดใครถูก ข้าคร้านจะโต้เถียงกับเจ้า แต่ข้าพูดกับเจ้าตรงๆ ได้ว่าการตัดสินใจนี้ของเจ้า ก็คือการส่งให้สี่คนนี้มาตาย เจ้าจะเอาอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม”

คำพูดเดียวทำให้เฟิงจวินหลินหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาแนวตั้งสีม่วงมีแสงประกายน่ากลัวไหวเคลื่อน “ได้ยินหรือยัง หลิงเสวียนจื่อบอกว่าพวกเจ้าจะตาย!”

“นายน้อย ให้พวกเราจัดการเถอะ”

ชายหนุ่มชุดเขียวผมแดงก้าวออกมา แววตาเหี้ยมเกรียม “พวกเราจะให้เขาได้รู้ ว่าอย่างไรเรียกไม่ประมาณตนเอง เพ้อเจ้อไม่รู้เรื่องรู้ราว!”

หลินสวินกวาดมองเขาปราดหนึ่ง แล้วก็เบนสายตาไปมองเฟิงจวินหลิน “ไม่สู้เจ้าเข้ามาสู้ด้วยเป็นอย่างไร”

“เฮอะๆ รอเจ้าผ่านด่านพวกเราสี่คนไปได้ค่อยพูดเถอะ แต่ข้าว่าเจ้าไม่มีโอกาสแล้ว”

ขณะที่พูดชายชราชุดเทา ชายหนุ่มชุดเขียวผมแดง ชายชุดดำที่ถูกหลินสวินตบ รวมถึงหญิงสาวชุดเขียวที่ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่พูดสักคำก็เดินเรียงกันมาแล้ว

พวกเขาแยกกันยืนสี่ด้านเหมือนเป็นการปฏิบัติตามกฎที่มีมานานไม่เคยเปลี่ยน ดูเหมือนสบายๆ แต่ความจริงแล้วลึกล้ำสุดหยั่ง ไม่ใช่พวกธรรมดาอย่างแน่นอน

ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายบางๆ แล้ว

มรรควิถีของสี่คนนี้สู้เฟิงจวินหลินไม่ได้สักคน

แต่เมื่อร่วมกันเคลื่อนไหว กลับก่อเกิดรูปกระบวนลึกลับ กลิ่นอายแต่ละคนเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!

ท่ามกลางความคลุมเครือ ถึงกับทำให้หลินสวินยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปะทะเข้ามา

‘กระบวนลับร่วมโจมตีหรือ’

ในสมองหลินสวินคาดเดาได้อย่างหนึ่ง

“หลิงเสวียนจื่อ คราวนี้เจ้าตายแน่!” ชายชุดดำที่ถูกหลินสวินตบหน้าก่อนหน้านี้เอ่ยเสียงเหี้ยม แววตาร้ายกาจ

หลินสวินพลันเคลื่อนไหว เปิดฉากโจมตีอันดุดัน เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศพุ่งไปหาชายชุดดำคนนั้น

เผียะ!

ฝ่ามือหนึ่งตบลงไปอย่างหนักอีกครั้ง พลังของหลินสวินยิ่งใหญ่เพียงไหน สามารถตบให้เทือกเขาทั้งแถบเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนได้

แต่ถึงอย่างนั้นชายชุดดำกลับแค่กระเด็นออกไป เลือดสดๆ ไหลริน หน้าถูกตบจนยับเยินเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสไปกว่านี้

หลินสวินเลิกคิ้ว สังเกตได้อย่างฉับไว ว่าพลังฝ่ามือนี้ของตนยังไม่ทันพุ่งเข้าไปในร่างของชายชุดดำจริงๆ ก็ถูกพลังพิสดารสลายหายไป

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ชายชุดดำโกรธจนแทบบ้า ก่อนหน้านี้ก็ถูกหลินสวินตบหน้าเละไปครึ่งหน้า ตอนนี้ก็ยังทำเช่นนี้ ทำเอาเขาสะบักสะบอม อับอายขายหน้า

ตูม!

พวกเขาสี่คนล้วนเคลื่อนไหว แต่ละคนเปล่งแสง ประหนึ่งมีอสนีมหามรรคทึบทึมแถบหนึ่งกำลังอาละวาด ทำให้ทุกคนต่างมีหมอกทึบทึมหนาแน่นกำบังกาย

ชั่วในขณะนี้กลิ่นอาย พลัง มรรควิถี กระทั่งพลังชีวิตของทั้งสี่คน… ราวกับควบรวมอยู่ด้วยกัน สามารถแบ่งปันชีวิต มรรควิถีหลอมรวมกัน!

อาการบาดเจ็บของชายชุดดำฟื้นตัวในทันที

เห็นดังนี้เงาร่างเฟิงจวินหลินพริบวาบออกจากบริเวณนี้ไปดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ นัยน์ตาสีม่วงมีสัญลักษณ์อันคลุมเครือเป็นปริศนาไหววูบอยู่

เขาไม่ได้ดูถูกหลินสวิน ถึงได้ไม่ยินดีเข้าสู้ด้วยตัวเอง แต่เพราะมีเป้าหมายอีกอย่าง คือต้องการหยั่งเชิงความเชี่ยวชาญในมหามรรคของหลินสวิน

“ฟัน!”

ทั้งสี่ลงมือพร้อมกันภายใต้เสียงตะคอกลั่น แสงมรรคนับไม่ถ้วนพาดผ่านฟ้าดิน กลายเป็นรุ้งเทพดุดันอันงดงามพร่างพราวสายแล้วสายเล่าฟันไปยังหลินสวิน

“สลักกระบวนไว้ในร่างหรือ…”

แววตาหลินสวินไหววูบ นี่เป็นวิชากระบวนที่พิสดารอย่างหนึ่ง สี่คนนี้ต่างครอบครองสมบัติกระบวนคนละชิ้น สามารถสร้างกระบวนค่ายกลที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดได้ ลึกลับไม่อาจคาดเดา

และสี่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา บรรพจารย์ขั้นเก้าสองคน มกุฎมหาจักรพรรดิสองคน ร่วมกันวางกระบวน ต่างรวมกันเป็นร่างเดียว สำแดงกระบวนลึกลับที่ล้ำเลิศออกมา น่าสะพรึงยิ่งยวด

ตูม!

ขณะครุ่นคิด หลินสวินก็ลงมือแล้วเช่นกัน กระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง แสงมรรคทั้งตัวคับฟ้า ดุดันหาใดเทียบ เคลื่อนขวางออกไป

ทว่าเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป หลินสวินกลับพบว่าต่อให้อานุภาพการโจมตีของอีกฝ่ายจะถูกตนสลายไปหมด แต่พลังโจมตีของตนก็ถูกอีกฝ่ายทำลายลงโดยสมบูรณ์เช่นกัน มิหนำซ้ำยังดูสบายมากด้วย!

จากการสังเกตนี้ ในที่สุดหลินสวินก็พอจะเข้าใจได้กลายๆ แล้ว

กระบวนค่ายกลที่สี่คนนี้จัดวาง สำแดงอานุภาพสี่ลักษณ์ สะท้อนหยินหยางไวเคลื่อน พลังแห่งแข็งอ่อน โคจรหมุนเวียนเป็นวัฏจักรเฉกเช่นเริ่มต้นใหม่ เกิดขึ้นไม่ว่างเว้น

ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมเช่นไรต่างถูกพลังโคจรของกระบวนค่ายกลนั้นแยกออก สลายและร่วมกันแบกรับจากทั้งสี่คน

เช่นนี้แล้วการจู่โจมที่แต่ละคนได้รับ จึงมีพลังเพียงหนึ่งในสี่ของการโจมตีของหลินสวิน

กลับกัน เมื่อทั้งสี่คนร่วมกันลงมือ พลังก็จะรวมตัวจากกระบวนค่ายกลหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ดูเหมือนทั้งสี่แยกกันโจมตี แตความจริงแล้วพลังของทั้งสี่กลับทบทวีรวมกัน อานุภาพย่อมน่าสะพรึงไร้สิ้นสุด!

หลินสวินประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นกระบวนค่ายกลระดับไหนกัน ถึงประสานพลังของมหาจักรพรรดิสี่คน แล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบได้

เขาเพิ่งเคยเห็นกระบวนค่ายกลแบบนี้เป็นครั้งแรก ดูเบาไม่ได้จริงๆ

ใช้คนเป็นธงกระบวน แตกต่างกับวิชาวางกระบวนในความหมายทั่วไปมาก ไม่อาจทำลายได้โดยง่าย

ยิ่งไปกว่านั้นมรรควิถีของสี่คนนี้ต่างเหนือธรรมดา เมื่อโคจรกระบวนค่ายกลออกโจมตีพร้อมกัน ก็เหมือนกระบวนค่ายกลมีชีวิตกระบวนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่!

ตูม!

การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดหาใดเทียบ บริเวณนี้ยุ่งเหยิงปั่นป่วน ทรายหินปลิวว่อน ฟ้าพลิกดินคว่ำ

หลินสวินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันและภัยคุกคามอย่างหนึ่งจริงๆ แต่ยังไม่ถึงกับหนักหน่วง

นี่ทำให้ตอนที่เขาสู้อยู่ ก็มีโอกาสไปศึกษาและหยั่งรู้นัยเร้นลับบางอย่างของกระบวนค่ายกลอันลึกลับนี้

‘น่าสนใจจริงๆ’

ท้ายที่สุดในใจหลินสวินก็มีแรงบันดาลใจผุดขึ้นมาไม่น้อย

สวบ!

ทันใดนั้นกระบี่มรรคเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ส่องแสงมรรคไร้เทียมทานไม่เสื่อมสลาย ฟันออกไปอย่างฉับไว

ฟุบ!

นี่เป็นการโจมตีอันเฉียบแหลมไร้เทียมทาน ชายหนุ่มชุดเขียวผมแดงหลบไม่ทัน ถูกแทงทะลุทรวงอก เลือดสดๆ สาดกระเซ็นออกมา

ถึงอย่างนั้นเมื่อพลังกระบวนค่ายกลอันคลุมเครือพิสดารนั้นปรากฏขึ้นบนตัวเขา สี่คนร่วมชีวิต ก็ฟื้นฟูบาดแผลให้สมานสนิทดังเดิมอย่างรวดเร็ว

การโจมตีนี้ก็ทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกได้ถึงความร้ายกาจของหลินสวิน สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยามโจมตีไม่มีออมมืออีกต่อไป

“ชี้นำทั่วหล้า แสงจตุลักษณ์!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่น เหนือศีรษะของพวกเขาต่างมีภาพมรรคคลุมเครือปรากฏ จากนั้นก็เปล่งแสงโชติช่วงส่องสะท้อนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!

ภาพมรรค!

ภาพมรรคแต่ละภาพต่างสะท้อนสมบัติออกมาหนึ่งอย่าง

อันได้แก่ กระบี่มรรคที่ประทับสัญลักษณ์มังกรเขียว ทวนศึกที่ประทับสัญลักษณ์เสือขาว ประทับที่สลักสัญลักษณ์หงส์ชาด โล่ที่ประทับสัญลักษณ์เต่าดำ

ภาพมรรคเร้นลับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสี่ภาพปรากฏขึ้น เปล่งแสงเทพเจิดจ้า รวมกลุ่มกันกลางอากาศ ประหนึ่งเรียงตัวเป็นโลกมารเทพจตุลักษณ์แห่งหนึ่ง กำราบมายังหลินสวิน

อานุภาพน่าสะพรึงเช่นนั้นทำให้ฟ้าดินจมสู่สภาพพังพินาศ

นี่ทำให้หลินสวินเผยสีหน้าประหลาดอย่างอดไม่ได้

มิน่าสี่คนนี้ถึงมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ถึงกับร่วมกันครองสมบัติภาพมรรคลึกลับ และยังไม่ใช่กระบวนค่ายกลธรรมดาๆ ด้วย

“ถึงเวลาปิดฉากแล้ว!”

ดวงตาเย็นชาของหลินสวินวาบประกาย เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานขึ้น โคจรกึกก้อง ระเบิดอานุภาพกลืนกินทั่วหล้า ทำลายหมื่นโลกออกมา ประหนึ่งเตาเพลิงดับโลกาเตาหนึ่ง

ตูม โครม…

ฟ้าดินแถบนี้ปั่นป่วน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงกึกก้องดังสนั่น กำราบจนภาพมรรคจตุลักษณ์นั้นปั่นป่วนรุนแรง แสงประกายสาดเซ็น

ทั้งสี่คนตกตะลึงยกใหญ่ ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้ พลังต่อสู้ของหลิงเสวียนจื่อผู้นี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

“ของดีนี่…” ไกลออกไปดวงตาเฟิงจวินหลินที่ดูการต่อสู้อยู่ตลอดเปล่งประกายน่าตกใจ รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้เขาไหวหวั่นไม่หยุด ไม่อาจจินตนาการได้ว่าบนโลกนี้ยังมีศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่มหัศจรรย์เย้ยฟ้าเช่นนี้ด้วย

และความแกร่งกล้าของพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมา ก็ทำให้เฟิงจวินหลินจับจ้องไม่วางตา

“ฆ่า ใช้อานุภาพสังหารสูงสุดฆ่าเขา!”

ชายชราผอมแห้งตะเบ็งเสียง ทั้งร่างเปล่งแสงแรงกล้า โล่ที่ประทับสัญลักษณ์เต่าดำเหนือหัวเขากดข่มห้วงอากาศลงมาดั่งคีรีเทพนับแสน

อีกสามคนก็ทำตาม โคจรภาพมรรคลึกลับโจมตีไปที่หลินสวิน คล้ายหมายจะกำราบวิชาทั้งปวงบนโลก กำจัดร่องรอยมหามรรคให้หมดไป

ตูม!

หลินสวินมองทะลุนัยเร้นลับในการร่วมมือของสี่คนนี้ออกแล้ว จะยั้งมืออีกได้อย่างไร

คราวนี้เขากระตุ้นมรรควิถีทั้งตัว สำแดงนัยเร้นลับในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคทันที อหังการแข็งกร้าว อาจหาญเหนือโลกหล้า แสงมรรคไพศาลเกรียงไกรเฉกเช่นทะเลคลั่งซัดโหม ไอสังหารไร้เทียมทานคับฟ้า ซัดชั้นเมฆให้สลาย ประหนึ่งหลอมกลืนจักรวาล!

เสียงระเบิดดังสนั่นจนหูแทบดับดังขึ้น บาดหูยิ่งนัก ในภาพมรรคทั้งสี่นั้นแม้บรรจุมรรควิถีของทั้งสี่คนไว้ แต่จะรับการถล่มโจมตีของหลินสวินได้อย่างไร ถูกซัดกระเด็นไปอันแล้วอันเล่า ส่งเสียงครวญดังลั่น สัญลักษณ์สมบัติที่ปรากฏอยู่บนนั้นยังพร่าเลือนขึ้นมา

ยอดฝีมือทั้งสี่ล้วนกระอักเลือดกันหมด ร่างกายโซซัดโซเซ สีหน้าตื่นตะลึง

พลังจู่โจมของอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ ศาสตราโบราณที่เสริมด้วยพลังของพวกเขาสี่คนทั้งสี่ชิ้นยังไม่อาจกำราบได้ กลับเป็นฝ่ายถูกกำราบ!

นี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!

ยามนี้ดวงตาหลินสวินมีประกายเย็นชา พลานุภาพยิ่งแกร่งกล้า

“ผนึกจตุลักษณ์ ฆ่า!”

คนผู้หนึ่งคำรามลั่น ไอหมอกหนาทึบที่อยู่บนตัวพวกเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นพลังกระบวนมรรคอันพิสดาร ลำแสงน่ากลัวแต่ละสายแสบตาทะลวงฟ้าดิน ฟันมายังหลินสวิน

หลินสวินกระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเข้าต้านทาน เสียงปะทะดังสนั่นจนหูแทบดับ

อานุภาพการต่อสู้เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นคลื่นลูกหลงเล็กน้อยเท่าใดที่หลุดรอดออกมา ต่างสามารถซัดทำลายภูเขาทั้งแถบ น่าสะพรึงยิ่งยวด!

เพียงครู่สั้นๆ

สี่คนนั้นต่างกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง ถูกกดข่มจนได้รับบาดเจ็บหนัก สีหน้าซีดเผือด

และไกลออกไป เฟิงจวินหลินก็ไม่อาจใจเย็นได้แล้ว!

——