หลินสวินคิดๆ แล้วเงาร่างกลายเป็นมายา รูปลักษณ์เปลี่ยนไปทันที
ด้วยระดับในตอนนี้ของเขา นอกจากคนที่ครอบครองอภินิหารพรสวรรค์วิเศษอัศจรรย์บางอย่างหรือเป็นบรรพจารย์มรรค ไม่เช่นนั้นไม่มีใครสามารถมองทะลุรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้
เงาร่างของหลินสวินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเข้ามาใกล้
หน้าประตูเมืองพยัคฆ์ครอง ทหารคุ้มกันทั้งหมดล้วนมีพลังปราณระดับจักรพรรดิเหมือนทหารเมืองตั้งต้น อีกทั้งแต่ละคนยังเปี่ยมพลัง
โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้า เป็นบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าในอดีตบรรพจารย์ขั้นเก้าคนนี้ก่อความผิดอะไร ถึงได้ตกต่ำถึงขั้นนี้
บริเวณประตูเมืองมีหลายคนกำลังดูยันต์สีดำที่ติดอยู่บนกำแพงเมือง
เมื่อเดินใกล้เข้าไป หลินสวินก็เห็นว่าบนยันต์สีดำนั่นมีภาพเหมือนของผู้คนมากมาย สมจริงราวกับมีชีวิต ด้านล่างเขียนจ้อความประกาศจับ
บนยันต์สีดำทุกแผ่นยังประทับตราประทับมรรคที่แตกต่างกัน
‘ตราประทับเหล่านี้เป็นตัวแทนความน่าเกรียงขามของเผ่าจักรพรรดิอมตะแต่ละตระกูล เป็นตราประทับของพวกเขา เมื่อประทับบนประกาศจับ ก็หมายความว่าประกาศจับนี้เผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลนั้นเป็นคนออก’
นกกระจอกเขียวสื่อจิตอธิบายหลินสวิน
ในแดนใหญ่พันศึก ด่านนภาอมตะสี่สิบเก้าแห่งดูแลโดยขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่แตกต่างกัน
พวกเขาก็เหมือนเป็นผู้กำหนดและบังคับใช้กฎระเบียบ เป็นตัวตนที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต้องเคารพนับถือ!
คนที่ยันต์สีดำเหล่านี้ประกาศจับ ล้วนเป็นพวกที่ฝ่าฝืนกฎในด่านนภาอมตะด่านใดด่านหนึ่ง ถูกมองว่าเป็นนักโทษ
“หมู่นี้มีคนถูกประกาศจับมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“เหอะๆ แปลกใจอะไร ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทุกช่วงเวลาหนึ่งก็จะมีระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งไหลหลั่งมาจากโลกพันจักรวาล ในนี้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกชอบแหกกฎสักคน ไม่เห็นกฎเหล่านี้ในสายตา”
“ถึงอย่างไรก็เป็นระดับมหาจักรพรรดิแล้ว เรียกลมเรียกฝนในโลกมิติจักรวาลของตนได้ ราวกับนายเหนือหัวสูงสุด หลังจากมาถึงแดนใหญ่พันศึก จะรับการผูกมัดของกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้อย่างไร”
รอบๆ มีคนวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แต่กลับไม่อาจปกปิดได้
“เจ้าดู ประกาศจับอันดับหนึ่งนั่นยังคงเป็นชางฝูเซิง แปดพันปีแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน…”
“เล่ากันว่าตอนที่คนผู้นี้ถูกประกาศจับ ก็เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดแล้ว หลังจากฆ่าผู้สูงส่งที่มาจากโลกยอดนิรันดร์คนหนึ่งในด่านนภาอมตะที่สิบแปด ก็กลายเป็นคนร้ายถูกประกาศจับ แต่จนถึงตอนนี้ แปดพันปีผ่านไปแล้วยังไม่มีใครทำอะไรเขาได้ กลับถูกเขาสังหารพวกกร้าวแกร่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะไปไม่น้อย เรียกได้ว่าเป็นคนร้ายกาจยิ่งยวด!”
“คนสะพายดาบที่อยู่อันดับสอง อันดับก็ไม่ได้เปลี่ยนมานานมากแล้ว ในบรรดาคนร้ายกาจที่ถูกประกาศจับ ฐานะของชายสะพายดาบลึกลับที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย จนตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน แต่พลังมรรคดาบกลับน่ากลัวไร้ขอบเขต ฆ่าบรรพจารย์ขั้นเก้าราวกับฆ่าไก่!”
ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่ายันต์สีดำเหล่านั้นจัดเรียงในลำดับที่แตกต่างกัน
อันดับสูงสุดคือคนที่นามว่าชางฝูเซิง ในภาพเหมือน เป็นชายที่ท่าทางบ้าคลั่ง ผมยาวสยาย ชุดขาวแขนกว้าง เหยียบบนโลกที่หักพังแห่งหนึ่ง มีโลงศพทองแดงสีทองเจ็ดชุ่นโลงหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ
เมื่อมองไป ทั่วร่างทั้งบนล่างของคนผู้นี้แผ่กลิ่นอายเย่อหยิ่งอย่างหหนึ่ง มีท่าทางอหังการที่มีข้าเป็นหนึ่ง!
ในประกาศจับเขียนว่า ชางฝูเซิงมาจากเขตแดนดารามัญชุศรีที่อยู่อันดับสามของโลกพันจักรวาล มีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด น่ากลัวอย่างที่สุด
และรางวัลนำจับของเขายังสูงถึงสามสิบล้านผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่ง
‘แปดพันปีแล้วยังไม่จากไป เพราะกังวลว่าหลังไปถึงโลกยอดนิรันดร์จะพบเจอการตามฆ่าที่น่ากลัวกว่าหรือ’ หลินสวินคล้ายขบคิด
เมื่อมองดูด้านล่างต่อไป บนยันต์สีดำที่อยู่อันดับสองก็คือ ‘คนสะพายดาบ’ ที่ลึกลับคนนั้น ศีรษะสวมหมวกงอบ แผ่กลิ่นอายแรกกำเนิดคลุมเครือทั้งตัว ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงว่าแผ่นหลังของเขาสะพายดาบศึกที่เต็มไปด้วยรอยสนิม
ตามประกาศระบุ พลังปราณของคนสะพายดาบอยู่เพียงระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด แต่ในพันปีมานี้กลับเคลื่อนไหวในด่านนภาอมตะที่แตกต่างกัน ฆ่าระดับบรรพจารย์ขั้นเก้าที่เรียกได้ว่าน่ากลัวมาแล้วมากมาย
ไม่มีใครรู้ที่มาของเขา จึงเรียกว่าคนสะพายดาบ
ประกาศจับของเขาสูงถึงยี่สิบเจ็ดล้านผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่ง
‘เจ้าหมอนี่ เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง…’
หลินสวินลอบประเมิน ด้วยพลังปราณในตอนนี้ของเขา ไม่เห็นคนรุ่นเดียวกันในสายตานานแล้ว แต่คนสะพายดาบผู้นี้กลับแตกต่าง ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
เขามองดูต่อไป
ยันต์สีดำนั่นมีทั้งหมดร้อยกว่าแผ่น วาดภาพและเขียนข้อมูลของคนร้ายที่ต้องการตัวต่างกันไป หากจับได้ล้วนมีรางวัลจำนวนมหาศาล
“แปดพันปีแล้ว ชางฝูเซิงนี่ยังไม่ก้าวขึ้นขั้นเก้า ไม่เช่นนั้นคงไปโลกยอดนิรันดร์นานแล้ว…”
ตอนที่หลินสวินดูยันต์สีดำอยู่ เสียงที่ไพเราะเสนาะหูเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินหันไปมอง ผู้หญิงชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ในมือเล่นพัดด้ามหนึ่ง เห็นชัดว่าปลอมตัวเป็นชาย ดวงตากระจ่างฟันขาวสะอาด บริสุทธิ์ดั่งหยก เครื่องแต่งกายผู้ชายเพิ่มบุคลิกงามสง่าให้กับนาง
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของหลินสวิน หญิงชุดเขียวไม่ได้ใส่ใจ พูดเองเออเองว่า “ส่วนคนสะพายดาบนั่นร่องรอยลึกลับ เคลื่อนไหวไร้คนรู้ ตอนนี้เกรงว่าคงก้าวสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดแล้ว จะเป็นมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดเหมือนในประกาศจับบอกได้อย่างไร”
หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ ดูท่าว่าหญิงชุดเขียวคนนี้ยังรู้สถานการณ์ในแดนใหญ่พันศึกเป็นอย่างดี
คนไม่น้อยบริเวณนั้นได้ยินความเห็นของหญิงชุดเขียว พลันมีคนถามว่า “หรือเจ้าเคยเจอคนสะพายดาบ”
“ไม่เคยเจอ แต่สามารถคาดเดาได้”
หญิงชุดเขียวแววตากระจ่าง เอ่ยพูดเรียบๆ “เวลาหนึ่งพันปี ด้วยมรรควิถีที่คนสะพายดาบสำแดงออกมา ขืนยังไม่สามารถก้าวสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดได้ก็ตลกแล้ว”
คนไม่น้อยต่างลอบพยักหน้า
“แต่ไม่ว่าจะเป็นชางฝูเซิงหรือคนสะพายดาบ อย่างไรก็เป็นประกาศจับ อาจจะมีชื่อเสียง แต่เทียบกันอย่างแท้จริงแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในแดนใหญ่พันศึก”
หญิงชุดเขียวเปลี่ยนเรื่อง ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
“ถ้าอย่างนั้นจากความคิดเห็นของสหายยุทธ์ ในแดนใหญ่พันศึกตอนนี้ คนชั้นเลิศกลุ่มใดสามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด” มีคนอดถามไม่ได้
“พูดยาก”
เสียงของหญิงชุดเขียวเผยความนัยลึกล้ำ “รอวันใด ‘สมรภูมิทวยเทพ’ ที่ตั้งอยู่ในด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้านั่นปรากฏอย่างแท้จริงก็คงได้รู้ คนเหล่านั้นต่างหากที่เป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุดบนเส้นทางจักรพรรดินี้”
สมรภูมิทวยเทพ!
หลายคนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ สื่อจิตถามนกกระจอกเขียว
‘นั่นเป็นตำนานที่ห่างไกลมากเรื่องหนึ่ง แพร่มาตั้งแต่เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว ว่ากันว่าด่านนภาที่สี่สิบเก้ามีเขตผนึกลึกลับแห่งหนึ่ง นามว่าซากสถานทวยเทพ มีสมบัติเร้นลับยิ่งยวดของยุคก่อนซ่อนอยู่ ตอนที่สมรภูมิทวยเทพปรากฏในซากสถาน ก็หมายความว่าสมบัติลับชั้นยอดกำลังจะมาเยือน’
นกกระจอกเขียวรีบพูดว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตำนานเป็นจริงหรือเท็จ เพียงแค่ซากสถานทวยเทพก็เป็นเขตผนึกลึกลับที่น่ากลัวที่สุดของแดนใหญ่พันศึกแล้ว หนึ่งแสนปีมานี้ ไม่ว่าพลังปราณสูงหรือต่ำล้วนไม่มีใครสามารถรอดชีวิตออกมาได้”
“สำหรับสมบัติลับชั้นยอดที่ว่าก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าข่าวลือนี้เป็นจริงหรือเท็จ”
หลินสวินถึงได้เข้าใจในยามนี้ ลอบคิดในใจว่าจู่ๆ หญิงชุดเขียวคนนี้พูดถึงสมรภูมิทวยเทพ หรือจะได้ยินข่าวอะไรมา และคิดว่าสมรภูมิทวยเทพกำลังจะปรากฏแล้ว
และตอนนี้เอง จู่ๆ ทหารกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากในเมือง มาถึงหน้าประตูเมือง
ทหารหนึ่งในนั้นหยิบยันต์สีดำใบใหม่ออกมา เมื่อชูมือขึ้นสะบัดโบกคราหนึ่ง ยันต์ก็แปลงลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก่อนจะติดบนกำแพงเมือง
อีกทั้งยันต์สีดำใบใหม่นี้ยังจัดอยู่ในอันดับที่เก้า!
ภาพนี้สร้างความฮือฮาให้ทั้งที่นั้นทันที ทุกสายตาหันมองโดยพร้อมเพรียง
“หลิงเสวียนจื่อ เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว ถึงกับฆ่าเจ้าเมืองเมืองตั้งต้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว นั่นเป็นบรรพจารย์มรรคเชียวนะ!”
“สวรรค์ เขามีพลังปราณเพียงมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด กลับก่อเหตุนองเลือดในเมืองตั้งต้น เหยียบย่ำจวนเจ้าเมือง!”
เสียงฮือฮาดังขึ้น ทุกคนอึ้งจนอ้าปากค้าง
ชั่วขณะนี้ประกายเย็นเยียบแวบผ่านส่วนลึกในดวงตาหลินสวินอย่างยากจะสังเกตเห็น
เห็นชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองตั้งต้นเหมือนกลายเป็นพายุคลั่งไปแล้ว แพร่เข้ามาในเมืองพยัคฆ์ครองแห่งนี้!
สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้ ประกาศจับของตนจะต้องปรากฏในด่านนภาอมตะมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ เงยมองอย่างละเอียด
ในยันต์สีดำวาดภาพเหมือนภาพหนึ่ง เป็นตนยามยืนกลางอากาศต่อสู้หน้าจวนเจ้าเมือง
ในเนื้อหาประกาศจับระบุความผิดที่ตนก่ออย่างละเอียด อย่างเช่นหลังจากกลับจากแดนลับฝึกหลอม ก็เปิดฉากสังหารตลอดทาง ก่อเหตุนองเลือดต่างๆ
รางวัลนำจับคือหกล้านผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่ง เป็นอันดับเก้าของประกาศจับทั้งหมด
และคนที่ประกาศจับคือเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวินและตระกูลเหิง ในประกาศจับมีตราประทับอันเป็นตัวแทนของสองตระกูลนี้
“จากรายละเอียดประกาศจับ คนผู้นี้คงเพิ่งเข้าแดนใหญ่พันศึกในช่วงครึ่งปีนี้ แต่กลับทำเรื่องที่นองเลือดขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่ดุดันร้ายกาจยิ่งแน่นอน!”
“ไม่เห็นหรือ หลิงเสวียนจื่อคนนี้ถึงกับมาจากสถานที่ตกต่ำอย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา…”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ต่างตกตะลึง
กลับเห็นหญิงชุดเขียวเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “ทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่ธรรมดา หลายแสนปีก่อนหน้านี้เคยเป็นอันดับหนึ่งของโลกพันจักรวาล ตอนนั้นมียักษ์ใหญ่เย้ยฟ้าไม่รู้เท่าไหร่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา ทำให้ในช่วงนั้นขอเพียงเป็นมหาจักรพรรดิที่มาจากทางเดินโบราณฟ้า ในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้แทบไม่มีคนกล้าหาเรื่อง”
หลายคนไม่เห็นด้วย “ตอนนั้นจะรุ่งเรืองแค่ไหนแล้วอย่างไร ชื่อเสียงย่อมจางหายไปตามกาลเวลา อันดับในแดนใหญ่พันศึกของทางเดินโบราณฟ้าดาราตอนนี้ ถึงขั้นจะรักษาให้อยู่ในร้อยอันดับแรกก็แทบไม่ไหวแล้ว”
หญิงชุดเขียวส่ายหน้า “พวกเจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว ไม่พูดยังพอว่า เรื่องพวกนี้… ผ่านไปนานมากแล้วจริงๆ…” เสียงเผยความสะเทือนใจ
หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ หญิงชุดเขียวคนนี้เหมือนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่น้อย นี่ถือว่าหายากมาก
หืม?
ก็เป็นตอนนี้เอง หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย สัมผัสถึงความเย็นเยียบเสียดกระดูกสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาเงียบๆ จากบริเวณใกล้เคียง คลุมเครืออย่างที่สุด
ทว่าความเย็นเยียบของไอสังหารกลับคมกริบหาใดเปรียบ
…………………