หลินสวินอดมองเผิงเทียนเสียงแวบหนึ่งไม่ได้

ตอนที่เจอกันครั้งแรก เจ้าหมอนี่ท่าทางสูงส่ง เย่อหยิ่งเต็มเปี่ยม

ทว่าตอนนี้ท่าทีกลับเปลี่ยนไป กระตือรือร้นเป็นมิตรขึ้นมา นี่ทำให้ในใจหลินสวินเองได้แต่พึมพำ นี่มันสถานการณ์อะไร

“สหายยุทธ์ ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องไม่พอใจข้า แต่เจ้าจะต้องเชื่อว่าข้ามาแสดงความขอบคุณด้วยความจริงใจ”

เผิงเทียนเสียงรีบพูด

หลินสวินคิดๆ แล้ว จู่ๆ ก็พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าทำเพื่อเกี้ยวตู๋กูโยวหรันหรือ”

เผิงเทียนเสียงอดตกใจไม่ได้ ความสามารถในการหยั่งรู้ของเจ้าหมอนี่ร้ายกาจมาก!

“ปิดสหายยุทธ์ไม่ได้จริงๆ”

เผิงเทียนเสียงเผยรอยยิ้มขื่น “พูดตรงๆ อย่างไม่ปกปิด ข้าชื่นชมโยวหรันมานาน หลงใหลในเสน่ห์ของนาง รักนางเพียงคนเดียว ดังคำที่ว่าเป็นห่วงจนลนลาน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกประตูเมืองจึงได้ล่วงเกินสหายยุทธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มาครั้งนี้ก็เพราะอยากแลกความเห็นใจของสหายยุทธ์ ถึงอย่างไรสหายยุทธ์ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตโยวหรัน หากนางรู้ความทุ่มเทของข้า บางที… ภาพจำที่มีต่อข้าอาจจะเปลี่ยนไป”

พูดถึงสุดท้ายเขาเหมือนสะท้อนใจ ถอนหายใจไม่หยุด

หลินสวินเผยสีหน้าเข้าใจทันที นี่จึงจะสมเหตุสมผล

เขายิ้มพูด “สหายยุทธ์ช่างทุ่มเทจริงๆ แต่ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ และข้ายังต้องเก็บรวบรวมหินผสานทองรอยเขียว เพื่อผ่านการทดสอบ…”

ไม่รอพูดจบเผิงเทียนเสียงโบกมือใหญ่ทันใด เอ่ยว่า “ขอเพียงแค่สหายยุทธ์ยอมไปร่วมงานเลี้ยงกับข้า เรื่องการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ว่าพลางเขาก็หยิบป้ายคำสั่งหยกม่วงชิ้นหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “สหายยุทธ์ นี่ก็คือยันต์หยกผ่านทางที่สามารถแลกมาได้หลังจากผ่านการทดสอบ เจ้ารับไว้เถอะ”

หลินสวินอดหวั่นไหวไม่ได้ เอ่ยว่า “นี่… จะรับไว้ได้อย่างไร”

เผิงเทียนเสียงยิ้ม “ป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น ถือว่าเป็นความจริงใจของข้า” เขายัดป้ายคำสั่งให้หลินสวินโดยไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ

“เช่นนั้นข้าก็ขอทำตามที่ว่าแล้วกัน” หลินสวินยิ้ม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการเรื่องการทดสอบได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้

เผิงเทียนเสียงเองก็ยิ้มอย่างเบิกบาน

ก็ในตอนนี้เอง…

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เสียงที่ไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้น

ก็เห็นว่าห่างไปไม่ไกลนัก ตู๋กูโยวหรันในชุดเขียว เงาร่างสูงเพรียว งดงามโดดเด่นเดินเข้ามา ในดวงตาดำสนิทกระจ่างแจ้งเผยความประหลาดใจ มุ่นคิ้วเล็กน้อย

เผิงเทียนเสียงเองก็อึ้ง เอ่ยว่า “โยวหรัน เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปพักแล้วไม่ใช่หรือ”

สีหน้าของตู๋กูโยวหรันนิ่งเหมือนน้ำ เอ่ยว่า “ข้าจะทำอะไรจำเป็นต้องรายงานเจ้าตลอดเวลาหรือ”

เผิงเทียนเสียงรีบยิ้มพูด “โยวหรันเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้ามาขอโทษสหายยุทธ์คนนี้ ถึงอย่างไรสหายยุทธ์ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า ข้าในฐานะเจ้าถิ่นจะไม่แสดงความจริงใจสักหน่อยได้อย่างไร”

ว่าแล้วเขามองหลินสวินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลินสวินเข้าใจทันที พลันรู้ว่า “ไม่ผิด พี่เผิงคนนี้เต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่เพียงให้ป้ายหยกผ่านการทดสอบกับข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังชวนข้าไปร่วมงานเลี้ยง ทุกอย่างล้วนเพื่อแสดงความขอบคุณ ทำให้ข้าอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้”

นี่ก็คือคำว่าหมูไปไก่มา

ตู๋กูโยวหรันอึ้ง อดมองเผิงเทียนเสียงอีกแวบไม่ได้ เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะใส่ใจขนาดนี้”

ประโยคเดียวเท่านั้นกลับทำให้เผิงเทียนเสียงตื่นเต้นขึ้นมา อารมณ์สั่นไหว ถึงขั้นรู้สึกว่าน้ำตาจะเอ่ออย่างไม่ได้

ช่วงนี้เขาทุ่มเทให้กับตู๋กูโยวหรันไม่รู้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้รับคือการต่อต้านและละเลยมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ ในที่สุดตู๋กูโยวหรันก็ชมเขาแล้ว!

แม้เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้เผิงเทียนเสียงรู้สึกเหมือนได้เห็นฟ้าหลังฝนแล้ว!

ทันใดนั้นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ ข้า… เพียงแค่อยากช่วยเจ้าสักหน่อยก็เท่านั้น”

ตู๋กูโยวหรันขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น ทำให้ในใจเผิงเทียนเสียงกระตุกวูบ นึกถึงคำชี้แนะของอาสามเผิงเชียนเหอแล้วรู้สึกว่าตนรุกมากเกินไปจริงๆ!

เขาเบี่ยงตัวทันทีพร้อมพูดว่า “โยวหรัน พวกเจ้าคุยกันก่อน ข้าจะไปถามที่จวนเจ้าเมืองสักหน่อยว่าสืบฐานะของมือสังหารนั่นมาได้หรือไม่”

จากนั้นก็ประสานหมัดยิ้มพูดกับหลินสวิน “สหายยุทธ์ คืนนี้ข้าจะส่งคนมาเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง เจ้าต้องมาให้ได้นะ”

พูดจบก็หมุนตัวจากไปอย่างสง่า

นี่ทำให้หลินสวินเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เหมือนจะคิดได้แล้ว

“สหายยุทธ์ เจ้าจะให้ข้าคุยกับเจ้าที่นี่หรือ” ตู๋กูโยวหรันเงยขึ้นมองหลินสวินพลางเอ่ยเย้า

หลินสวินถอนหายใจในใจ

หลังจากได้ยินคำพูดของนกกระจอกเขียว เขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลยจริงๆ หากถูกพวกที่คลั่งไคล้นางรู้เข้า คงนำพาความวุ่นวายนับไม่ถ้วนมาอย่างแน่นอน

คิดๆ แล้วเขาก็เอ่ยว่า “แม่นาง หากเจ้ามาเพื่อขอบคุณก็ไม่จำเป็นหรอก ความจริงในใจแม่นางเองก็คงรู้ดีว่า ในการลอบสังหารครั้งนั้น ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เจ้าก็สามารถสลายอันตรายได้”

ตู๋กูโยวหรันสายตาสวาววาบ ยิ้มขึ้นมา “ดูท่าสหายยุทธ์จะระแวงข้า ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากฝืน แต่พวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่”

พูดจบนางก็หมุนตัวจากไปเช่นกัน

หลินสวินอึ้งไป จากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วปิดประตูห้อง

นอกโรงเตี๊ยม

ตู๋กูโยวหรันสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เป็นฝ่ายแสดงการขอบคุณหลินสวินก่อนสองครั้งติดกัน กลับถูกปฏิเสธทั้งสองครั้ง นี่ทำให้นางเองยังอดสงสัยไม่ได้…

ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดคนผู้นี้จึงระแวงตนเช่นนี้

ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาด

คิดๆ แล้วนางพลิกฝ่ามือเงียบๆ ปรากฏคันฉ่องหยกสีเขียวอ่อนบานหนึ่ง ด้านบนมีเงาร่างหนึ่ง ซึ่งก็คือใบหน้าที่แท้จริงของหลินสวินนั่นเอง

‘หึ หลิงเสวียนจื่อหนอหลิงเสวียนจื่อ เจ้าคิดว่าวิชาแปลงกายง่ายๆ แค่นี้ก็จะปิดบังข้าได้จริงๆ หรือ” ตู๋กูโยวหรันเหยียดมุมปากเล็กน้อย “ข้าอยากเห็นนักว่าครั้งหน้าเจ้ายังจะกล้าปฏิเสธข้าอีกหรือไม่…’

ในขณะที่ครุ่นคิดนางได้เก็บคันฉ่องหยก เอ่ยพูดด้วยแววตาเรียบเฉย “ออกมาเถอะ”

ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งบริเวณนั้น เผิงเทียนเสียงเดินออกมาพร้อมใบหน้าอักอ่วน เอ่ยว่า “โยวหรัน ข้าเพียงแค่ดื่มชาที่นี่ ไม่ได้…”

ตู๋กูโยวหรันหันไปมองเผิงเทียนเสียงพร้อมกล่าวว่า “ในใจเจ้าคิดอะไรข้ารู้ชัดดี แต่ข้าต้องเตือนเจ้าว่า ใครก็ตามที่คิดครอบครองข้าเหมือนเช่นกัน ล้วนเจอความวุ่นวายมากมายโดยไม่มีข้อยกเว้น”

“ข้าเข้าใจ” เผิงเทียนเสียงสีหน้าจริงจัง

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในโลกยอดนิรันดร์มีพวกกร้าวแกร่งมากสามารถไม่รู้เท่าไหร่กำลังเกี้ยวพาตู๋กูโยวหรัน มองนางปานเทพธิดา ปกป้องอยู่ข้างกายนางปานหมู่ดาวล้อมพิทักษ์พระจันทร์

ในนี้ยิ่งไม่ขาดปีศาจชั้นเลิศที่สะดุดตาและผู้กล้าแห่งยุค ไม่ว่าจะฐานะหรือมรรควิถีล้วนไม่ด้อยกว่าเผิงเทียนเสียง ถึงขั้นที่บางคนยังไปเทียบด้วยไม่ได้!

นี่ก็หมายความว่า การเกี้ยวพาตู๋กูโยวหรัน สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกคือการแข่งขันระหว่างศัตรูหัวใจ!

“เจ้าไม่เข้าใจ”

ตู๋กูโยวหรันถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับหดหู่อยู่บ้าง ก่อนก้าวเท้าจากไป

“ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร”

มองเงาร่างที่จากไปของตู๋กูโยวหรัน สีหน้าเผิงเทียนเสียงแปรเปลี่ยนไม่สามารถสงบได้ “แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าใครแย่งกับข้า ข้าก็จะไม่ถอยเด็ดขาด ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าใครกันแน่ที่ดีกับเจ้าที่สุด!”

……

สีรัตติกาลราวกับหมึก

จวนเจ้าเมืองประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม สดใสสว่างไสว

ใจกลางจวนเจ้าเมืองมีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยไอวิญญาณตลอดทั้งปีแห่งหนึ่ง

วันนี้คึกคักมาก เพราะมีมกุฎมหาจักรพรรดิมากมายจะมาร่วมงานเลี้ยงที่นี่

น้ำทะเลสาบเขียวมรกต เจิดจรัสและแผ่วบาง คละคลุ้งด้วยหมอกไอวิญญาณที่งดงามตลอดทั้งปี

บริเวณทะเลสาบสีเขียวมรกต ภูเขาเล็กที่งดงามมากมายตั้งกระจัดกระจาย ลำแสงพรั่งพรู เหมือนทวนวงเดือนเล่มแล้วเล่มเล่าทะยานอากาศ ปักอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบ

ต้นไม้เทพเก่าแก่ต้นแล้วต้นเล่าสูงตระหง่าน ฝังรากบนภูเขาวิญญาณบริเวณทะเลสาบ นอกจากนี้ยังมีศาลาหอเก๋ง น้ำตกแม่น้ำ ทิวทัศน์งดงามยิ่งยวด

หลินสวินยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบมรกต ทอดสายตามองไปรอบๆ ก็อดลอบพยักหน้าไม่ได้ นี่เป็นแดนสมบัติที่หายากแห่งหนึ่ง ไอวิญญาณคละคลุ้ง มหามรรคพลุ่งพล่าน

ในศาลาที่ตกแต่งแบบโบราณแห่งหนึ่ง เผิงเทียนเสียงกำลังสนทนากับมกุฎมหาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งพลางชนจอกไปด้วย

มกุฎมหาจักรพรรดิเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ล้วนท่าทางไม่ธรรมดา ทุกคนมีอานุภาพและความองอาจของตนเอง พิเศษอย่างมาก

ส่วนใหญ่ล้วนมาจากมิติจักรวาลที่แตกต่างกันของโลกพันจักรวาลเหมือนหลินสวิน

แม้เผชิญหน้ากับคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างเผิงเทียนเสียง คนเหล่านี้ก็ยังมีท่าทางสุขุม ไม่ได้เผยสีหน้าประจบประแจง

นี่ก็คือความมั่นใจของมกุฎมหาจักรพรรดิ ไม่ใช่คนที่ระดับจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้

“พี่จิน มาๆๆ ข้าจะแนะนำสหายมรรคเหล่านี้ให้เจ้า”

เผิงเทียนเสียงลุกขึ้นทันใด ทักทายหลินสวินด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น

หลินสวินต่อต้านงานเลี้ยงแบบนี้แต่กำเนิด เป้าหมายหลักที่มาครั้งนี้ก็แค่เพราะอยากจะดูว่า ‘ความลับตะลึงโลก’ ที่เผิงเทียนเสียงว่าคืออะไร

เนื่องจากฐานะหลิงเสวียนจื่อถูกประกาศจับ ตอนนี้หลินสวินทำได้เพียงใช้ฐานะของเจ้าคางคก ‘จินตู๋อี’ อีกครั้ง

“ทุกคน ท่านนี้คือสหายยุทธ์จินตู๋อี มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นเจ็ด พลังต่อสู้เยี่ยมยอด วันนี้ที่นอกประตูเมืองโชคดีที่เขาลงมือทันเวลา จึงช่วยคุณหนูโยวหรันสลายอันตรายไว้ได้”

เผิงเทียนเสียงแนะนำพร้อมรอยยิ้ม

สายตาของมกุฎมหาจักรพรรดิเหล่านั้นล้วนมองมายังหลินสวิน ต่างยิ้มพยักหน้า

หลินสวินเองก็ทักทายทุกคน

“พี่จินเจ้านั่งลงก่อน รอคนมาครบข้าจะประกาศเรื่องใหญ่ให้ทุกท่านทราบ ตอนนี้ข้าต้องไปรับแขกสำคัญยิ่งคนหนึ่ง”

รอยยิ้มของเผิงเทียนเสียงเผยความลึกลับ

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป

หลินสวินนั่งลงง่ายๆ ยกจอกดื่มเพียงลำพัง ไม่มีความสนใจที่จะไปทำความรู้จักและปฏิสัมพันธ์กับใคร

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะพูดคุยกับเขา ต่างเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิ ใครจะไม่มีความเย่อหยิ่งบ้าง

หลินสวินจึงนับว่าได้อยู่อย่างสงบเสียที

ไม่นานจู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากไกลๆ

ก็เห็นตู๋กูโยวหรันที่แต่งกายเป็นชายในชุดเขียว เงาร่างเพรียวสูงแบบบางเดินมาจากไกลๆ ใบหน้าขาวกระจ่างงดงามส่องสะท้อนอยู่ใต้โคมไฟ เผยประกายงดงามไร้ที่ติที่ราวกับภาพมายา

นางถือพัดหยก ฝีเท้าแผ่วเบา แม้สวมชุดผู้ชายแต่กลับมีความสง่าและงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ งดงามกว่าคนทั่วไป

หลินสวินอดอึ้งไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ต่อต้านเผิงเทียนเสียงมากไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาเล่า

หรือแขกสำคัญที่เผิงเทียนเสียงพูดถึง ก็คือนาง

ตอนที่หลินสวินใคร่ครวญ มกุฎมหาจักรพรรดิที่นั่งอยู่ในศาลาเหล่านั้นล้วนหยุดสนทนา ลุกขึ้นต้อนรับในทันที สีหน้าของทุกคนล้วนแฝงความเคารพ

แน่นอนว่าไม่ขาดสีหน้าสงสัย ชื่นชม ประหลาดใจ และเร่าร้อน

——