บรรยากาศที่วุ่นวายคึกคักในตอนแรก ตอนนี้เงียบสงบขึ้นมา นางที่แต่งกายด้วยชุดสีเขียว เพิ่งเดินมาก็ชิงความสนใจทั้งหมดไป สายตาทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่นาง!

ในที่นั้นก็มีมกุฎจักรพรรดิหญิงที่งดงามหาใดเปรียบหลายคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเรียกได้ว่าเลิศล้ำ

แต่ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับตู๋กูโยวหรันที่เดินมาจากไกลๆ ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ บนร่างของอีกฝ่ายมีกลิ่นอายสูงส่งแต่กำเนิด แม้แต่งเป็นชาย กลับสง่างามโดดเด่นไร้ที่เปรียบ

ชั่วขณะนี้หลินสวินที่ตอนแรกนั่งอยู่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาไม่อยากนอกคอก เผยความแตกต่างจากคนอื่นอย่างเด่นชัด

“โยวหรัน รีบนั่งลงสิ”

ข้างๆ เผิงเทียนเสียงเดินประกบทุกฝีก้าว นำทางตู๋กูโยวหรันด้วยตัวเอง เชิญนางไปนั่งในที่นั่งประธาน

เพียงแต่ตอนที่ตู๋กูโยวหรันเดินมาถึงข้างกายหลินสวิน จู่ๆ ก็กะพริบดวงตาคู่ใส พูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“วันนี้ข้าบอกแล้วว่าอย่างไร พวกเราจะยังเจอกันอีก เป็นจริงตามคาดเลย”

ไม่รอหลินสวินเปิดปาก นางก็หันไปพูดกับเผิงเทียนเสียง “งานเลี้ยงวันนี้เจ้าเป็นเจ้าภาพ ที่นั่งประธานควรเป็นเจ้าที่นั่ง ข้านั่งตรงนี้ก็พอ”

ว่าแล้วก็นั่งลงบนที่นั่งว่างข้างๆ หลินสวินอย่างเชื่องช้า

ทุกคนต่างอึ้งงัน

เผิงเทียนเสียงมองหลินสวินแวบหนึ่ง แล้วมองตู๋กูโยวหรันอีกแวบ ครู่หนึ่งถึงยิ้มพูดอย่างใจกว้าง “ก็ดีๆ ทุกท่านก็เชิญนั่งเถอะ”

ว่าพลางเขาเองก็นั่งลง

จนกระทั่งทุกคนนั่งลงเขาจึงยิ้มพูด “คนมาเกือบครบแล้ว คิดว่าทุกท่านคงสงสัยมานานแล้วว่าความลับตะลึงโลกที่ข้าพูดคืออะไร ตอนนี้ข้าเองก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ซากสถานทวยเทพ’ ที่ตั้งอยู่นอกด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้า”

ประโยคเดียวทำเอาจิตใจของทุกคนในที่นั้นต่างถูกดึงดูด

มีเพียงตู๋กูโยวหรันที่สีหน้านิ่งสงบ เหมือนเดาออกอยู่ก่อนแล้วว่าความลับที่เผิงเทียนเสียงจะพูดคืออะไร

“ข้าเพิ่งรู้จากข่าวด่วนที่ตระกูลส่งมา เมื่อไม่นานมานี้ในเผ่าเทพนิรันดร์นิรนามแห่งหนึ่งมีข่าวหนึ่งแพร่ออกมา กล่าวว่าอย่างน้อยสิบปี อย่างมากสามสิบปี ‘สมรภูมิทวยเทพ’ ในตำนานจะปรากฏในซากสถานทวยเทพ!”

เสียงเผิงเทียนเสียงต่ำลึก “ถึงตอนนั้น มีเพียงผู้ที่มีชื่อบนศิลาศึกข้ามแดนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่ซากสถานทวยเทพ ไปยังสมรภูมิทวยเทพนั่น”

“และตามที่ข่าวนี้บอก ใครที่สามารถอออกมาจากสมรภูมิทวยเทพ ก็มีโอกาสได้รับศุภโชคชั้นเลิศออกมาด้วย!”

ทุกคนต่างจิตใจสั่นไหว ถูกข่าวนี้ดึงดูดอย่างสิ้นเชิง

“ขอถามพี่เผิงว่านี่เป็นศุภโชคอย่างไร” มีคนอดถามไม่ได้

เผิงเทียนเสียงยิ้ม “เรื่องนี้ข้าก็ไม่กล้าพูดเหลวไหล แต่ข้าได้ยินว่านี่เป็นศุภโชคที่ล้ำค่าที่สุดในแดนใหญ่พันศึก เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาหลังจากยุคก่อนล่มสลาย!”

ล้ำค่าที่สุด!

ทุกคนตระหนักได้ถึงความแตกต่างของศุภโชคชิ้นนี้อย่างรวดเร็ว

ควรรู้ว่าแม้แดนใหญ่พันศึกจะอันตรายไม่อาจคาดเดา สนามรมสมรภูมิกระจายอยู่มากมาย แต่ก็มีวาสนาและปริศนาที่ไม่มีใครรู้มากมายเช่นกัน

และศุภโชคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมรภูมิทวยเทพ หากใช้คำว่า ‘ล้ำค่าที่สุด’ มาอธิบาย แค่คิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาเพียงใด!

“ทุกท่านอย่าดีใจเร็วเกินไป อยากเข้าร่วมสมรภูมิทวยเทพ ก่อนอื่นจะต้องมีชื่อในศิลาศึกข้ามแดน เพียงแค่ด่านนี้ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายหมดคุณสมบัติแล้ว”

เผิงเทียนเสียงกล่าวเตือน “และต่อให้มีคุณสมบัติเข้าร่วม ก็จะพบเจอการแก่งแย่งจากบุคคลน่าสะพรึงมากมาย ตามที่ข้ารู้ ในโลกยอดนิรันดร์ตอนนี้ คนชั้นเลิศที่แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบไม่รู้เท่าไหร่ต่างเตรียมความพร้อมแล้ว ตัดสินใจจะเข้าร่วม”

คำพูดนี้ทำลายขวัญกำลังใจของทุกคน ทำให้สีหน้าของพวกเขาอดเปลี่ยนไปไม่ได้

ในที่นี้ล้วนเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิ ย่อมไม่เป็นห่วงเรื่องที่จะมีชื่อบนศิลาศึกข้ามแดนหรือไม่

ทว่าหากพวกเขาไปประชันกับเหล่าคนชั้นเลิศที่มาจากโลกยอดนิรันดร์ แรงกดดันนี้ไม่ได้หนักธรรมดาแล้ว

แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมาจากโลกพันจักรวาล ในโลกของตนมีอำนาจเหนือสุด ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีเกียรติภูมิ แต่ในใจมีหรือจะไม่รู้ว่า เหล่าคนชั้นเลิศในโลกยอดนิรันดร์เป็นพวกที่น่ากลัวเพียงใด

อย่างเช่นคนเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเผิงอย่างเผิงเทียนเสียง ก็ทำให้พวกเขาเองยังต้องให้เกียรติอยู่สามส่วน

สำหรับตู๋กูโยวหรัน ความสูงส่งของฐานะยิ่งทำให้แม้แต่พวกเขายังรู้สึกละอายในฐานะตน ไม่อาจเอื้อมถึง!

หลินสวินเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

เขาไม่ได้รู้สึกกดดัน แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นศุภโชคอะไรที่อยู่ในสมรภูมิทวยเทพ ถึงกับทำให้กระทั่งคนชั้นเลิศในโลกยอดนิรันดร์ยังจะเข้าร่วมด้วย

เกี่ยวข้องกับยุคก่อนหรือ

‘ทำไม เจ้าหลิงเสวียนจื่อก็สนใจหรือ’ ตอนนี้เองตู๋กูโยวหรันที่อยู่ข้างๆ สื่อจิต เสียงใสราวกับน้ำหยดดังขึ้น เผยความเยาะเย้ย

ร่างของหลินสวินแข็งทื่อขึ้นมาอย่างยากจะสังเกต สื่อจิตโดยไม่เผยสีหน้า ‘ที่แท้แม่นางก็รู้ฐานะของข้าน้อยนานแล้ว สายตาเฉียบขาดจริงๆ’

ตู๋กูโยวหรันชูจอกเหล้าขึ้น เม้มปากเบาๆ แล้วถึงค่อยเอ่ยเสียงเบา ‘สหายยุทธ์ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ได้เบื่อถึงขนาดจะมาเปิดโปงฐานะของเจ้าที่นี่ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า’

หลินสวินถอนหายใจในใจเบาๆ คราหนึ่ง ที่นกกระจอกเขียวพูดไม่ผิดจริงๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นความวุ่นวายอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ใครที่ข้องเกี่ยวด้วยล้วนต้องปวดหัว

ตู๋กูโยวหรันถาม ‘สหายยุทธ์ ข้าสงสัยเกี่ยวกับทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างมาก ได้ยินว่าเจ้ามาจากที่นั่น ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินชื่อมกุฎมหาจักรพรรดิหลินเต้ายวนหรือไม่’

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า ‘แม่นางอยากรู้อะไรกันแน่’

ตู๋กูโยวหรันยิ้มขึ้นมา งดงามเลิศล้ำ กล่าว ‘ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่เหมาะจะพูดเรื่องพวกนี้ ต่อไปถ้ามีโอกาสค่อยขอคำชี้แนะจากสหายยุทธ์’

แม้ทั้งสองสื่อสารกันด้วยการสื่อจิต แต่จะปกปิดสายตาของเผิงเทียนเสียงได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามสดใสที่ตู๋กูโยวหรันเผยออกมาเป็นระยะๆ ทำให้ในใจเขาอดอิจฉาริษยาไม่ได้ เกือบสกัดกั้นความโกรธในใจไม่อยู่

เพียงแต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของอาสามเผิงเชียนเหอ สุดท้ายเผิงเทียนเสียงก็ทนเอาไว้

หลังจากทำจิตใจให้มั่นคงแล้วเขาจึงยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้ท้อแท้ วันนี้เรียกทุกท่านมารวมตัวกันที่นี่ นอกจากเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้รู้ ยังมีเรื่องดีอีกเรื่องจะแบ่งปันกับทุกท่าน”

สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไป

แม้แต่หลินสวินและตู๋กูโยวหรันเองก็ไม่เว้น

เมื่อรับรู้ได้ว่าสายตาของตู๋กูโยวหรันหยุดอยู่ที่ตน เผิงเทียนเสียงจึงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ทว่าตอนที่เขาเพิ่งหมายจะอ้าปากพูด

จู่ๆ เสียงกึกก้องสะเทือนหูก็ดังขึ้นในรัตติกาลที่อยู่ห่างออกไปไกล รถศึกสีเงินที่งดงามสะดุดตาคันหนึ่งบดขยี้ห้วงอากาศมาอย่างรวดเร็ว

ความเร็วนั้นรวดเร็วเกินไป ตัวรถซัดแสงเงินเป็นระลอกๆ ราวกับเปลวเพลิง ในความเจิดจรัสมีพลังขับเคลื่อนที่น่ากลัวแผ่ออกมา

น้ำทะเลสาบเขียวมรกตบริเวณใกล้เคียงผันผวนรุนแรง แสงมรกตพวยพุ่ง ทำให้เกิดภาพประหลาดที่น่าตกใจ

บนภูเขาวิญญาณรอบๆ รวมถึงในพื้นที่ใกล้เคียงมีทหารยามและสาวใช้ของจวนเจ้าเมืองไม่น้อยเฝ้าอยู่ ตอนนี้ต่างแตกตื่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

นี่เป็นถึงจวนเจ้าเมือง!

ใครกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ ถึงกับขับรถศึกมาถึงที่นี่

ทันใดนั้นเผิงเชียนเหอที่ปกครองดูแลอยู่ในจวนเจ้าเมืองมาโดยตลอดเองก็ตกใจ ปรากฏตัวกลางอากาศ สีหน้าปกคลุมด้วยความอึมครึมเย็นชา

เพียงแต่ยามมองเห็นรถศึกนั่นชัดแล้ว ความอึมครึมบนใบหน้าของเขาพลันกลายเป็นความประหลาดใจเหมือนยากจะเชื่อ

เสียงสวบดังขึ้นคราหนึ่ง แสงทองสายหนึ่งแผ่ขยายออกมา ส่องสว่างจากรถศึก กลายเป็นรุ้งทองสายหนึ่งทะลวงอากาศลงมา

จากนั้นร่างเงาสองสายเดินออกจากรถศึก คนหนึ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้มลทิน ถูกเปลวเพลิงสีทองปกคลุม ราวกับจอมราชันมาเยือนโลก

ท่าทางของเขากำแหงหยิงผยอง โดดเด่นเป็นพิเศษ มีผมยาวสีทองทั้งหัว แม้แต่ดวงตาก็เช่นกัน เสมือนดวงอาทิตย์สีทองสองดวง น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด!

“หรงเซียงหลี!” ในศาลา ใบหน้าของเผิงเทียนเสียงอึมครึมลงทันที จอกเหล้าในมือถูกบีบแตกอย่างเงียบๆ

หรงเซียงหลี!

ผู้โดดเด่นที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหรง ปีศาจคนหนึ่งในบรรดามกุฎมหาจักรพรรดิ

หลายคนสูดหายใจสะท้าน นี่ก็คือหรงเซียงหลีหรือ อานุภาพระดับนั้นน่ากลัวกว่าในคำเล่าลือเสียอีก เหมือนเทพนักรบยุคโบราณคนหนึ่งมาเยือน มองโลกอย่างเหยียดหยัน ดูถูกเหล่าผู้กล้า!

ข้างๆ เขายังมีอีกคน ถูกไอคลุมเครือมากมายห่อหุ้มไว้ เผยเพียงเค้าโครงที่คลุมเครือ ดวงตาทั้งคู่สว่างไสวเหมือนสุริยัน ยามกะพริบปรากฏประกายแยกฟ้า

“จู้หลิน!” และตอนที่เห็นคนผู้นี้ เผิงเทียนเสียงก็ไม่สามารถสงบได้อีก นัยน์ตาหดรัดลง

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขารู้ดีที่สุดว่าจู้หลินคนนี้เป็นบุตรฟ้าเลือกสรรคนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจู้ รู้จักกันในฐานะมหาจักรพรรดิชั้นเลิศของตระกูลจู้ โดดเด่นกล้าหาญ!

เทียบกับหรงเซียงหลีก็ไม่ด้อยกว่าเลยสักนิด

วันนี้ทั้งสองนั่งรถศึกมา จุดประสงค์นั้นชัดเจนมาก!

ในงานเลี้ยงเงียบสงัด

เหล่ามกุฎมหาจักรพรรดิที่มาจากโลกพันจักรวาลต่างประหลาดใจไม่สามารถสงบได้ กลับเป็นหลินสวินที่นิ่งมาก เพราะเขาไม่รู้ฐานะของทั้งสองคนที่มาอย่างกะทันหัน

ทว่าต่อให้รู้ ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขา

แต่หลินสวินยังสังเกตเห็นว่าตู๋กูโยวหรันที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง หว่างคิ้วเผยความเบื่อหน่ายที่ยากจะสังเกตเห็น

“คิดไม่ถึงว่าสหายน้อยทั้งสองถึงกับมาเยือนตอนนี้ นับว่าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” ตอนนี้เองเผิงเชียนเหอเข้าไปรับหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้ว

เห็นได้ชัดว่าฐานะของหรงเซียงหลีและจู้หลินล้วนไม่ธรรมดา ทำให้บรรพจารย์มรรคอย่างเขาต้องปฏิบัติตัวด้วยอย่างให้เกียรติ ต้อนรับด้วยตัวเอง

“พวกเราสองคนมากะทันหัน ถือว่าเสียมารยาทไปบ้าง ขอผู้อาวุโสอย่าได้ถือสา”

หรงเซียงหลีพูดพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้มีสีหน้าเย่อหยิ่ง คารวะกลับอย่างนอบน้อม

จู้หลินกลับเพียงพยักหน้าน้อยๆ แล้วเคลื่อนสายตามองไปยังตู๋กูโยวหรันที่อยู่ในศาลา

ทันใดนั้นสีหน้าที่เย่อหยิ่งเย็นชาของเขาหายไป ใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใสอบอุ่น เดินตรงเข้าไป “คุณหนูโยวหรัน เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”

จู้หลินมองข้ามคนอื่นๆ ในศาลาโดยตรง แม้แต่เผิงเทียนเสียงก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา มาถึงข้างๆ ตู๋กูโยวหรัน

เผิงเชียนเหอที่มองภาพนี้อยู่ไกลๆ มีความเย็นเยียบแวบผ่านในดวงตาอย่างยากจะสังเกตเห็น จากนั้นก็ถอนหายใจในใจคราหนึ่ง สถานการณ์ตรงหน้าเขาไม่สามารถควบคุมได้แล้วจริงๆ

แม้เขาเป็นเจ้าเมืองปกครองจวนเจ้าเมือง ก็ไม่สามารถใช้อำนาจไปกดข่มบุคคลสูงส่งที่มาอย่างกะทันหันสองคนนี้ได้

ชั่วขณะนี้เผิงเทียนเสียงกลับทนไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ “จู้หลิน นี่เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว เจ้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทมากหรือ”

จู้หลินหลุดขำออกมา “ทำไม หรือเจ้าเผิงเทียนเสียงคิดจะไล่ข้าออกไป”

แววตาเผยความท้าทาย

เผิงเทียนเสียงเพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกเผิงเชียนเหอที่ตามมาชิงพูดขึ้นก่อน “ผู้มาเยือนคือแขก ไม่ต้องเคร่งครัดขนาดนั้น สหายน้อยนั่งก่อนเถอะ”

“ผู้อาวุโสพูดถูก พวกเรามาเป็นแขก ไม่ได้มาก่อเรื่อง” ยามนี้หรงเซียงหลีก็เดินเข้ามาในศาลาพร้อมรอยยิ้มแล้วเช่นกัน

นี่ทำให้สีหน้าของเผิงเทียนเสียงอึมครึมขึ้น

…………