ถึงจะเป็นเพียงแค่บทสนทนาไม่กี่ประโยค ทว่ากลิ่นอายเผด็จการบนตัวจู้หลินกลับปะทะหน้า บีบคั้นจนทุกคนในที่นี้ล้วนเหมือนนั่งบนพรมเข็ม

หรงเซียงหลีดูเหมือนหัวเราะร่าเริง ทว่าในทุกการเคลื่อนไหวกลับมีอำนาจบารมี ทำให้คนรู้สึกกดดันเช่นเดียวกัน

ยังไม่เห็นอีกหรือ ว่าคนแข็งแกร่งอย่างบรรพจารย์มรรคเผิงเชียนเหอยังไม่กล้าล่วงเกินสองคนนี้ง่ายๆ

นี่ทำให้ในใจผู้คนลอบทอดถอนใจ สถานที่ระดับโลกยอดนิรันดร์นั่นก็ออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว แค่เผิงเทียนเสียงก็สามารถทำให้ผู้คนยำเกรงได้แล้ว

แต่ตอนนี้กลับมีพวกกร้าวแกร่งยิ่งกว่าโผล่มาเพิ่มอีกสองคน ถึงขั้นล้วนไม่เห็นเผิงเทียนเสียงในสายตา!

บรรยากาศอึมครึม

ตู๋กูโยวหรันอดขมวดคิ้วไม่ได้ เหลือบมองจู้หลินปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลเผิง เจ้าไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือ”

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดจาเช่นนี้ ป่านนี้จู้หลินคงซัดฝ่ามือใส่สักเปรี้ยงแล้ว

ทว่ากับตู๋กูโยวหรัน เขากลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “โยวหรันสั่งสอนถูกต้อง ข้าจะขอโทษเผิงเทียนเสียงเดี๋ยวนี้”

กล่าวพลางก็หันไปประสานหมัดคารวะลวกๆ ให้เผิงเทียนเสียง “พี่เผิง เมื่อครู่ออกจะเสียมารยาทแล้ว”

เผิงเทียนเสียงแค่นเสียงเย็น เห็นได้ชัดว่าฝืนข่มโทสะ

จู้หลินกลับไม่แยแสสักนิด กวาดสายตามองที่นั่งข้างๆ ตู๋กูโยวหรันปราดหนึ่ง แล้วอดมองหลินสวินอีกคราไม่ได้ ยิ้มเผยเนื้อฟันขาวกระจ่าง กล่าวว่า “สหายยุทธ์ท่านนี้ สละที่นั่งหน่อยปะไร”

น้ำเสียงเย้าหยอก ตรงประเด็นและเผด็จการ

ชั่วขณะเดียวสายตาทุกคู่ล้วนมองทางหลินสวิน

เผิงเทียนเสียงตบโต๊ะอย่างแรงหนึ่งฉาด กล่าวว่า “จู้หลิน เจ้าชักจะสามหาวเกินไปแล้ว พี่จินเป็นสหายของข้า เรื่องอะไรต้องต้องสละที่นั่งให้เจ้าด้วย”

จู้หลินกลับไม่แยแสเผิงเทียนเสียงสักนิด สายตาจ้องมองแค่หลินสวิน ในแววตาค่อยๆ ผุดแววเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ไว้หน้ากันหน่อยหรือ”

หลินสวินอยากวางตัวเป็นคนนอกเรื่อยมา แต่เวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่อาจทำเช่นนี้ได้แม้แต่น้อย ในใจเขาอดถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่งไม่ได้ ตู๋กูโยวหรันนี่…

เป็นตัวปัญหาจริงๆ ด้วย!

แค่ที่นั่งที่เดียวเท่านั้น ก็เพราะนั่งกับนางถึงได้พบเจอหายนะไร้มูลเหตุนี่ จะให้ไปอธิบายหลักเหตุผลกับใครได้

ทว่าแม้หลินสวินจะนิสัยดี แต่ภายในก็เป็นพวกอหังการไร้กลัวเกรง เข่นฆ่าเด็ดขาดเช่นกัน มีหรือจะถอยหลีกในเวลาเช่นนี้

เขาก้มหน้าก้มตารินสุราให้ตัวเองแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมด ค่อยเอ่ยว่า “หน้าตาต้องสร้างด้วยตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นมอบให้ หากข้าเป็นเจ้า รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าของที่นี่ไม่ต้อนรับ คงไม่มีทางทำหน้าหน้าโผล่หน้ามาเช่นเจ้า พานให้คนอื่นรังเกียจเอาเปล่าๆ”

ประโยคเดียวทำเอาในใจมกุฎมหาจักรพรรดิในที่นี้ล้วนตกใจ แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

ขนาดเผิงเทียนเสียงยังอึ้งไป ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลินสวินสะใจหาใดเปรียบ แต่เขารู้ดียิ่งกว่านั้นว่านี่ย่อมล่วงเกินจู้หลินแน่นอน!

เผิงเชียนเหอสายตาผิดแปลก นิ่งเงียบไม่พูดจา

เขาจะไม่เข้าไปเกลือกกลั้วกับเรื่องพรรค์นี้เพียงเพราะคนนอกคนเดียวแน่นอน

หรงเซียงหลีอดเผยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ มองหลินสวินเพิ่มอีกหลายหน

ส่วนใบหน้าจู้หลินก็พลันมืดทะมึนลงมาในชั่วครู่ แววตาเผยไอสังหาร ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนควบแข็ง กลิ่นอายฆ่าฟันดุจดั่งจับต้องได้ กดข่มไปทางหลินสวิน

ตู๋กูโยวหรันพลันกล่าวขึ้นมา “ถ้าเจ้ากล้าลงมือ ก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ”

เมื่อมองดูสีหน้านางอีกที ก็เห็นว่าเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งแล้ว

จู้หลินอึ้งงัน กล่าวอย่างตะลึง “โยวหรัน เขาเป็นอะไรกับเจ้า เหตุใดต้องปกป้องเขาขนาดนี้ด้วย”

“พี่จิน จินตู๋อีผู้นี้ เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตโยวหรัน เจ้ากลับจะข่มขู่ให้พี่จินสละที่นั่ง เห็นชัดว่าตั้งใจจะทำให้โยวหรันลำบากใจ”

เผิงเทียนเสียงแค่นหัวเราะ ได้จังหวะส่งเสียงเย้ยหยัน

เห็นว่าตู๋กูโยวหรันไม่ได้ปฏิเสธ สีหน้าจู้หลินก็วูบไหวไม่นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็กัดฟันกล่าว “ก่อนหน้านี้เป็นข้ากระทำตัวผิดไปเอง แต่คนผู้นี้กลับทำข้าอับอายขายขี้หน้า จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้”

“เจ้ายังจะเอาอะไรอีก” ตู๋กูโยวหรันขมวดคิ้ว

“ขอโทษ”

จู้หลินกล่าวอย่างไม่ลังเล “ขอเพียงเขาก้มหัวยอมรับผิด ข้าจะถือว่าหายกันไป หาไม่ข้าคงได้แต่ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยว่าควรประพฤติตนแบบไหน!”

“คำพูดเมื่อครู่ของพี่จินคนนี้รุนแรงเกินไปจริงๆ นั่นแหละ” หรงเซียงหลีที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยปากเนิบนาบ

ยามนี้เผิงเชียนเหอยิ้มพลางกล่าวกับหลินสวิน “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สหายน้อยถอยสักก้าวจะเป็นไรไป กล่าวขอโทษกับคุณชายจู้หลินสักคำ ไม่คุ้มหรอกที่จะมีเรื่องจนทุกคนหมดสนุกเพราะเรื่องนี้ เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”

นี่เท่ากับกำลังเจรจาไกล่เกลี่ย

กลับเห็นหลินสวินเอ่ยอย่างไม่คิด “ไม่มีทาง!”

เขาเดินทางบนแดนใหญ่พันศึกมาจนบัดนี้ เคยฆ่าเหวินเซ่าเหิงจากตระกูลเหวิน เคยสังหารบรรพจารย์มรรคเหิงเทียนซั่ว มีหรือจะเกรงกลัวใครหน้าไหน

แค่เจ้าพวกที่ไม่รู้โผล่หัวมาจากไหนคนหนึ่ง ก็กล้าร้องโหวกเหวกกับเขาเช่นนี้ ออกจะไม่เจียมสังขารตัวเองเกินไปหน่อย!

หลินสวินกลัวความวุ่นวายมากจริงๆ แต่เมื่อพบเจอความวุ่นวาย ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองฝืนทนข่มกลั้นทั้งอย่างนี้เช่นกัน

เจอเรื่องนิดหน่อยก็กลัวหงอ ต่อให้ไปโลกยอดนิรันดร์ได้ ทั้งชีวิตเกรงว่าคงโงหัวไม่ขึ้น!

ในที่นั้นเงียบกริบ

ทุกคนล้วนแปลกใจยิ่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าจินตู๋อีผู้นี้ถึงกับแข็งกร้าวขนาดนี้ ไม่คิดจะประนีประนอมยอมถอยใดๆ สักนิด!

แม้จะเป็นเผิงเทียนเสียงยังอดเลื่อมใสในใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ยักมองออกว่าที่แท้เจ้าหมอนี่ก็หัวแข็งขนาดนี้เหมือนกัน…

มีคนทำหน้าเวทนา มีคนมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น และมีคนทอดถอนใจในใจ ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่เหลือที่ว่างให้ถอยอีกแล้ว

และจินตู๋อีนี่ ต้องประสบเคราะห์แน่นอน!

เผิงเชียนเหอยิ้มน้อยๆ ไม่พูดมากความอีก

หรงเซียงหลีกลับขมวดคิ้ว ดวงตาทอประกายแฝงนัย

แต่ก็เป็นยามนี้ที่ตู๋กูโยวหรันก็สื่อจิตบอกหลินสวิน ‘ข้าก็ไม่ชอบหน้าเจ้าหมอนี่นานแล้วเหมือนกัน เจ้าต่อยเขาอย่างสบายใจได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าช่วยเจ้ารับเอง’

เสียงเจือแววหงุดหงิดหัวเสียเสี้ยวหนึ่ง

หลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าทั้งนั้น!

เขายิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดจะรีบออกจากเมืองพยัคฆ์ครองโดยด่วน ยิ่งห่างจากผู้หญิงคนนี้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี

“เจ้า… ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้สำนึก!”

จู้หลินในเวลานี้ไอสังหารเดือดทะลักแล้ว ในดวงตาของเขาเจือแสงมรกตที่แปลกประหลาดน่าสะพรึง พุ่งเข้าแทงใส่หลินสวินฉับพลัน ดุจดั่งกระบี่เทพเขียวมรกตคู่หนึ่ง แทงทะลวงไปยังจิตวิญญาณของหลินสวินตรงๆ

ระดับจักรพรรดิทั่วไป ถูกตวัดมองเช่นนี้เกรงว่าสภาวะจิตคงล้วนพังทลาย

“เนตรกระบี่ตามรกต!”

เผิงเชียนเหอตกใจยิ่ง ราวกับคาดไม่ถึงว่าทันทีที่จู้หลินลงมือก็สำแดงวิชาลับที่ผิดแผกน่ากลัวระดับนี้ออกมา

“อะไรนะ ใช่เนตรกระบี่ตามรกตจริงๆ หรือ นี่เป็นถึงพรสวรรค์ที่หายากและน่าสะพรึงอย่างหนึ่ง สามารถเจาะทะลวงจิตวิญญาณ โจมตีสภาวะจิตให้แหลกลาญ!”

“น่ากลัวนัก พรสวรรค์แปลกพิศวงลึกลับระดับนี้ถึงกับมีอยู่จริง…”

บริเวณใกล้ๆ เกิดเสียงอุทานระลอกหนึ่ง ไม่สามารถสงบนิ่งได้ ทำเอาพวกเขาตกใจไม่น้อยจริงๆ

ในคำเล่าลือ พรสวรรค์ระดับเนตรกระบี่ตามรกตนั่นเป็นพรสวรรค์ที่จะปรากฏขึ้นระดับหนึ่งในผู้ฝึกปราณนับร้อยล้าน

ไม่ว่าจะอยู่ในโลกพันจักรวาลหรือโลกยอดนิรันดร์ ผู้ที่มีพรสวรรค์แปลกประหลาดมีให้เห็นไม่น้อย พลังพรสวรรค์ที่มียิ่งน่ากลัวเท่าไหร่ มรรควิถีที่ได้รับก็ยิ่งน่าสะพรึงเท่านั้น

ส่วนพวกที่มีพรสวรรค์หายากจำนวนหนึ่ง หลังจากบรรลุมกุฎจักรพรรดิจะยิ่งปะทุพลังอภินิหารที่หาได้ยากในโลกออกมา

อย่างเช่นพรสวรรค์อย่างกายแห่งห้าเร้น ร่างวิญญาณแสงปักษา กายธรรมครรภ์มรรค เลือดศึกทลายวิชา ล้วนเรียกได้ว่าหายากอย่างที่สุด

แต่ละคนภายหน้าล้วนจะกลายเป็นคนใหญ่คนโต ถูกมองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่คาบโชคชะตาสรวงสวรรค์มาเกิด เมื่อเทียบกับคนระดับเดียวกันทั่วไปๆ ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันตั้งกี่เท่า

เนตรกระบี่ตามรกตก็เป็นพลังพรสวรรค์ที่หายากระดับนี้เช่นกัน!

ดวงตาของตู๋กูโยวหรันเจือแววแข็งค้างคล้ายคิดไม่ถึงเช่นกันว่าทันทีที่จู้หลินลงมือ ถึงกับใช้วิชาอันเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงระดับนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะกำจัดหลินสวินแล้ว!

“คุกเข่า! ขอโทษสำนึกผิดให้ข้า!”

จู้หลินตวาดลั่น แววตายิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ แสงมรกตเย็นเยียบ ดุจดั่งกระบี่เทพ จ้องหลินสวินตรงๆ เสมือนคิดจะควบคุมทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของหลินสวิน

ตู๋กูโยวหรันเพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไร หรงเซียงหลีก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “โยวหรันวางใจเถอะ จู้หลินย่อมรู้ขอบเขต ไม่ทำให้สหายยุทธ์ท่านนี้เกิดอันตรายถึงชีวิตเด็ดขาด”

ตอนที่เสียงของเขายังไม่ทันสิ้นสุด ทันใดนั้นริมฝีปากหลินสวินก็พ่นคำพูดหนึ่งออกมา

“ไสหัวไป!”

ดุจดั่งมังกรเทพถอนหายใจ ทั้งเหมือนเทพอสนีบนเก้าชั้นฟ้าส่งเสียงคำราม

สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน คลื่นเสียงเป็นสายๆ แผ่กว้างออกไปโดยมีหลินสวินเป็นศูนย์กลาง ห้วงอากาศแตกเป็นเสี่ยงนับไม่ถ้วน แตกระเบิดคาที่ กลายเป็นศรคมมากมายพุ่งโจมตีไปยังดวงตาของจู้หลินตรงๆ

นี่เป็นวิชาลับที่ควบคุมมหามรรคอย่างหนึ่ง พริบตาที่หลินสวินส่งเสียง พลังมรรควิถีแห่งตนล้วนไหลหลั่งเข้าไปในนั้น อย่ามองว่าเป็นแค่คำพูดประโยคเดียว ความจริงแล้วประทับนัยเร้นลับเข่นฆ่าที่น่าสะพรึงถึงขีดสุดเอาไว้

ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ สำหรับผู้อื่น คำว่าไสหัวไปนี้ของหลินสวินเบาหวิวแผ่วพลิ้ว แต่เมื่อตกถึงหูจู้หลินกลับเหมือนเสียงกึกก้องที่เร่งเอาชีวิต

อีกทั้งแม้แต่จู้หลินเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าภายใต้การโจมตีของพลังพรสวรรค์ของตน หลินสวินจะถึงกับมีพลังต้านทาน จึงต้องรับการโจมตีอันน่าสะพรึงทันใด

ปึง! ปึง!

ก็เห็นว่าดวงตาสองข้างของจู้หลินแตกระเปิดเป็นจุณทันควัน กลายเป็นรูเลือดสองข้าง ลูกตานั่นระเบิดกลายเป็นหยดเลือดพุ่งกระฉูด ทำเอากลางอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายน่ากลัว เต็มไปด้วยคาวเลือด

“อ๊าก…!”

จู้หลินส่งเสียงร้องโหยหวนราวกบหมูถูกเชือด ทั่วร่างล้วนสั่นเทิ้ม มือสองข้างกดดวงตาเอาไว้ ร้องเสียงโหยหวน

“ดวงตาข้า ดวงตาข้า…!”

ระหว่างที่คำรามลั่น เขาโคจรพลังไม่ขาด เสมือนพยายามฟื้นฟูดวงตา แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจควบรวมขึ้นมาได้อีก

คราวนี้ทุกคนล้วนมองออก คำว่าไสหัวไปเพียงคำเดียวของหลินสวิน ถึงกับกำจัดพลังพรสวรรค์ของจู้หลินได้!

อันที่จริงเสียงที่หลินสวินกล่าวออกมาแฝงนัยอัศจรรย์ไร้ขอบเขต รวมมรรควิถีแห่งตนของเขา ต่อให้เป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ภายใต้สถานการณ์ไม่ทันตั้งตัวก็ยังถูกซัดจนบาดเจ็บสาหัส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจู้หลิน

ถึงแม้เนตรกระบี่ตามรกตจะร้ายกาจ สามารถโจมตีทะลวงจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้ แต่มีหรือจะทำร้ายคนร้ายกาจอย่างหลินสวินได้

ครู่เดียวก็โต้กลับจนจู้หลินรับมือไม่ทัน

“เจ้าอยากทำลายสภาวะจิตของข้า ข้าจึงกำจัดพรสวรรค์ของเจ้า ได้มาอย่างไรก็คืนไปอย่างนั้น ยุติธรรมยิ่ง”

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ถ้อยคำเรียบเรื่อย “นี่ก็ถือเป็นการมอบบทเรียนหนึ่งให้เจ้า ต่อไปอย่าได้เที่ยวเอาลูกตาไปถลึงมองคนอื่นเขาไปทั่ว จะระเบิดเอาง่ายๆ”

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด

มีเพียงเสียงของหลินสวินก้องสะท้อนไปมา

ทุกคนล้วนตกใจ รวมถึงบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเผิงเชียนเหอด้วย

“แค่เสียงเดียวเท่านั้นก็ทำลายเนตรกระบี่ตามรกตได้!”

“แข็งแกร่งยิ่ง!”

“มิน่าถึงแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ก็มีความมั่นใจไร้กลัวเกรงนี่เอง…”

“ทำลายพรสวรรค์ผู้อื่นตรงๆ ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่ายต้องไม่ใจดีปล่อยผ่านง่ายๆ เป็นแน่!”

“เหี้ยมนัก!”

ในที่นี้ล้วนมีแต่มกุฎมหาจักรพรรดิ แต่เมื่อลองถามใจตนเอง หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาเกรงว่าคงไม่กล้าทำเช่นนี้สักนิด แม้แต่ความคิดก็ยังไม่กล้ามีด้วยซ้ำ

ดังนั้นพวกเขาถึงได้ถูกการโต้กลับที่ดุดันเฉียบขาดของหลินสวินทำให้ตกใจขนาดนี้ หนังหัวล้วนชาหนึบไปชั่วขณะหนึ่ง ต่างหน้าถอดสี

ส่วนในใจเผิงเทียนเสียงก็ไหวกระเพื่อมเช่นกัน คล้ายเพิ่งได้รู้จักหลินสวิน ล้างภาพจำและความคิดของเขาใหม่ทั้งหมด

ถึงขั้นคิดไปโดยไม่รู้ตัวว่าหากตอนอยู่นอกประตูเมืองตนล่วงเกินเจ้าหมอนี่เข้า ไม่ใช่ว่าจะถูก…

เผิงเทียนเสียงขนลุกซู่ตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าคิดต่อไปอีก

………………