กล่าวจบ หรงเซียงหลีสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

อันที่จริงเขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่ต่ออีกเช่นกัน

การตายของจู้หลินทำให้เขาสะท้านขวัญยิ่งเช่นกัน และท่าทีของตู๋กูโยวหรันยิ่งทำให้เขาอับอายระคนเดือดดาลเข้าไปใหญ่ ศักดิ์ศรีถูกโจมตีอย่างรุนแรง

เห็นว่าเขาจากไปแล้ว แววตาของเผิงเชียนเหอซับซ้อน กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “เรื่องในวันนี้เกรงว่าจะไม่สามารถปล่อยไปเช่นนี้ได้”

“ผู้อาวุโส ท่านในเวลานี้ไม่ใช่ควรยิ้มหน้าระรื่นหรอกหรือ”

เสียงของตู๋กูโยวหรันเรียบเฉย “ถึงอย่างไรตระกูลเผิงก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยแล้ว”

ใบหน้าชราของเผิงเชียนเหอแข็งทื่อ อักอ่วนอยู่บ้าง กล่าวว่า “ตระกูลจู้และตระกูลหรงล้วนไม่ใช่ตระกูลที่ตระกูลเผิงของข้าจะล่วงเกินได้ ก็มีแต่คุณหนูโยวหรันเท่านั้นถึงมีความมั่นใจไม่เกรงกลัวพวกเขา”

“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว โยวหรันเจ้าวางใจได้ ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าเสมอ” แววตาของเผิงเทียนเสียงดูจริงใจ

กล่าวพลางเขาทอดสายตามองหลินสวิน “พี่จิน เจ้าเองก็ไม่ต้องกดดันมากเกินไป ในเมื่อโยวหรันออกหน้าแล้ว ต่อให้ตระกูลจู้อยากจัดการเจ้า ก็ต้องชั่งใจถึงผลที่ตามมาของการล่วงเกินโยวหรัน”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กล่าวว่า “ขอบคุณพี่เผิงที่ต้อนรับข้าอย่างดีในวันนี้ ข้าขอตัวก่อน”

กล่าวจบก็จากไปตรงๆ

“พี่จิน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

ตู๋กูโยวหรันกล่าวพลางตามไปด้วย

มองดูเงาร่างอรชรงดงามของนางไล่ตามหลินสวินออกไป ในใจเผิงเทียนเสียงกระตุกไหว คิดอยากตามไปด้วย

“วันนี้เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ อย่าเพิ่งไปรบกวนคุณหนูโยวหรันอีกจะดีกว่า” เผิงเชียนเหอทัดทาน

“เฮ้อ!” เผิงเทียนเสียงถอนหายใจยาวคราหนึ่ง

“โกรธหรือ”

ราตรีดุจสีหมึก ดวงดาวพร่างพราวบนเวิ้งฟ้า บนท้องถนนแออัดพลุกพล่านมีรถราขวักไขว่ ผู้คนสัญจรไปมา

ตู๋กูโยวหรันไล่ตามหลินสวินมาพลางกล่าว “ข้าบอกแล้ว เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนด้วยแน่”

หลินสวินไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง กล่าวเรียบๆ “พูดแบบไม่เข้าหูเลย เดิมปัญหาก็เกิดขึ้นเพราะเจ้า ย่อมต้องให้เจ้ามาจัดการถึงจะถูก”

ตู๋กูโยวหรันเลิกคิ้วดำงามประณีตขึ้น กล่าวอย่างขบขัน “นี่เจ้าโทษข้าอยู่หรือ”

“ไม่ถึงขั้นกล่าวโทษ เพียงแต่ข้าไม่อยากถูกเหล่าภมรตอมบุปผาข้างกายเจ้าเหล่านั้นมองเป็นเป้าหมายโจมตีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น…”

กล่าวถึงตรงนี้หลินสวินหยุดเท้า สายตามองมาทางตู๋กูโยวหรัน “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าเจ้ากับข้าต่างไม่กวนใจกัน เดินทางใครทางมัน”

จากนั้นเขาก็หมุนตัวมุ่งหน้าต่อไป

ตู๋กูโยวหรันนิ่งค้าง นางคิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าตนถึงขั้นออกหน้า ช่วยเจ้าหมอนี่รับผิดชอบที่ฆ่าจู้หลินตายแล้ว

แต่เขากลับดีนัก ไม่เพียงไม่สำนึก ซ้ำท่าทียังเย็นชาขนาดนี้ ยังคงมองตนเป็นสัตว์ร้ายภัยพิบัติอยู่ตามเดิม!

ครู่ต่อมานางก็ไล่ตามไปกล่าวว่า “นี่ เจ้าไม่ห่วงว่าตระกูลจู้จะหาเรื่องเจ้าเลยหรือ อย่างน้อยหากเจ้าเดินทางพร้อมกับข้า ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเจอความวุ่นวายเหล่านี้นะ”

“เดินทางพร้อมกับเจ้ามีแต่จะยิ่งสร้างความวุ่นวายมากกว่า”

เห็นว่าตู๋กูโยวหรันจะตามมาอีก หลินสวินก็อดปวดหัวไม่ได้ แม่นางผู้นี้ไม่รู้หรือว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นตอของปัญหา

ตู๋กูโยวหรันอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ “หลิงเสวียนจื่อเจ้าช่างดีนัก! เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปิดโปงฐานะของเจ้าหรือ”

หลินสวินนวดหว่างคิ้วเบาๆ ถอนหายใจยาวกล่าวว่า “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ มีเหตุผลอะไรถึงทำให้เจ้าต้องขลุกอยู่กับข้าให้ได้”

เห็นว่าหลินสวินอัดอั้น ตู๋กูโยวหรันอดเบิกบานไม่ได้ คนอื่นล้วนอยากจะพัวพันอยู่ข้างกายตนทุกเมื่อเชื่อวันใจแทบขาด เจ้าหมอนี่กลับดีนัก วางท่าไม่แยแสตน อยากไล่ตนให้พ้นๆ ใจจะขาด

นัยน์ตาใสกระจ่างของนางกลอกคราหนึ่ง แย้มยิ้มงามหยดย้อย “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้ากันเล่า”

หลินสวินหุบปากฉับพลัน เดินดุ่มๆ ในใจเริ่มคิดคำนวณว่าต้องรีบออกไปจากเมืองพยัคฆ์ครองแห่งนี้ อยู่ให้ห่างจากตัวปัญหานี่เข้าไว้

ตู๋กูโยวหรันตามมาอยู่ตลอด สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ เสมือนไม่รู้สักนิดว่าตนก็คือตัวปัญหาในใจหลินสวิน

จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ในที่สุดตู๋กูโยวหรันก็ชะงักเท้า ยิ้มละไมกล่าว “เรื่องที่เกิดวันนี้ข้าเองก็ไม่อยากเห็นเหมือนกัน แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จากนิสัยและธรรมชาติของข้า ย่อมไม่ยอมให้เจ้าพบเจอหายนะไร้มูลเหตุใดๆ อีกเด็ดขาด จำไว้ ข้าพูดจริงทำจริง”

กล่าวเสร็จนางก็หมุนตัวเดินจากไป

ต่อให้ถูกหลินสวินปั้นหน้านิ่งตำหนิตลอดทาง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่มีแววไม่สบอารมณ์ให้เห็นเลยสักเสี้ยว

นี่ทำให้หลินสวินที่เดินเข้าโรงเตี๊ยมเข้าใจคำพูดของนกกระจอกเขียวในที่สุด

หญิงแซ่ตู๋กูผู้นี้ ข้องเกี่ยวด้วยไม่ได้จริงๆ

เมื่อข้องเกี่ยวก็จะเกิดปัญหา!

“เป็นอย่างไร คนแซ่ตู๋กูผู้นั้นรับมือยากมากกระมัง” ในห้อง นกกระจอกเขียวมีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่น

หลินสวินไม่ได้หัวเสีย หากแต่เอ่ยถาม “พอจะเล่าเรื่องของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นในโลกยอดนิรันดร์ให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว ช้าเร็วเจ้าก็ต้องรู้อยู่ดี”

นกกระจอกเขียวกล่าวพลางก็เริ่มเล่าอย่างฉะฉาน

โลกยอดนิรันดร์กว้างใหญ่ไพศาล อาณาเขตในนั้นแบ่งออกเป็นเก้าชั้นฟ้า และถูกมองเป็นเก้าน่านฟ้าใหญ่

น่านฟ้าแต่ละชั้น ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมิติฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ห้อหุ้มแดนมงคลลึกลับและพื้นที่เร้นลับเกิดใหม่อีกไม่รู้เท่าไร

ในนั้น เผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองพลังระเบียบระดับปฐพีกระจายตัวอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่หก

เผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์กระจายตัวอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ด

น่านฟ้าชั้นที่แปด ปกครองโดยเผ่าจักรพรรดิอมตะสิบตระกูลที่เก่าแก่ที่สุด ระเบียบระดับสวรรค์ที่แต่ละตระกูลครอบครองล้วนเรียกได้ว่าเหนือสุด

สิบเผ่าจักรพรรดิอมตะเก่าแก่นี้ ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘สิบยักษ์ใหญ่อมตะ’!

ส่วนน่านฟ้าชั้นที่เก้า เป็นสถานที่สูงสุดซึ่งเป็นที่พำนักของเผ่าเทพนิรันดร์ในตำนาน ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘โลกเทพเก้าสวรรค์’

นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แทบไม่มีใครสามารถเข้าสู่ ‘โลกเทพเก้าสวรรค์’ ได้ สำหรับสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในโลกยอดนิรันดร์ น่านฟ้าชั้นที่เก้านั่น ก็คือสถานที่ที่ผู้เป็น ‘นิรันดร์’ อาศัยอยู่อย่างแท้จริง!

นี่ก็คือการแบ่งอาณาเขตของโลกยอดนิรันดร์

คิดอยากวัดรากฐานพลังของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่งว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ดูจากที่พำนักของตระกูลนั้นว่าตั้งอยู่ในน่านฟ้าชั้นไหน และในน่านฟ้านั่นอยู่ในฐานะใดก็พอแล้ว

อย่างเช่นตระกูลลั่วแห่งฟากฝั่ง ครอบครองระเบียบระดับปฐพีขั้นแปด สถานที่พำนักของตระกูลนี้ก็ตั้งอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่หก

จากที่นกกระจอกเขียวว่ามา เมื่อก่อนตอนที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ลั่วทงเทียนยังอยู่ ตระกูลลั่วพักอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดตลอด!

ถึงขั้นมีโอกาสไปท้าทายขุมอำนาจ ‘สิบยักษ์ใหญ่อมตะ’ ที่กระจายตัวอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่แปด เรียกได้ว่าทรงพลังกร้าวแกร่งยิ่ง

ทว่าหลังจากลั่วทงเทียนหายตัวไป ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง

เวลาสั้นๆ ไม่ถึงพันปี อำนาจบารมีที่ตระกูลลั่วมีอยู่ก็ลดฮวบ เพื่อดำรงอยู่ต่อไปจึงไม่อาจไม่ย้ายออกจากน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดมายังชั้นที่หก

จนกระทั่งตอนนี้ฐานะของตระกูลลั่วในน่านฟ้าชั้นที่หกก็ตกอับลงไปมาก ห่างชั้นกันไกล ไม่สามารถเทียบกับเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองระเบียบระดับปฐพีขั้นเก้าบางส่วนได้

สี่เผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่อย่างตระกูลเหวิน เผิง เฮ่อ และเหิง ก็ตั้งอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่หกเช่นเดียวกับตระกูลลั่ว

เมื่อเทียบกันแล้ว ในขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองระเบียบระดับปฐพี ไม่ว่าจะเป็นตระกูลลั่วหรือสี่เผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่นี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกชั้นนำแล้ว

แต่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าชั้นยอด

และจู้หลินที่ถูกหลินสวินฆ่าในคืนนี้ ก็มาจากตระกูลจู้ที่ครอบครองระเบียบระดับปฐพีขั้นเก้า เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในขุมอำนาจชั้นนำของน่านฟ้าชั้นหก

ตระกูลหรงที่อยู่เบื้องหลังหรงเซียงหลีก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจู้สักเท่าไหร่

และนี่คือสาเหตุว่าทำไมตอนที่เผิงเทียนเสียงและเผิงเชียนเหอเผชิญหน้ากับจู้หลินและหรงเซียงหลี ถึงได้อดทนข่มกลั้นเช่นนั้น

เพราะอำนาจอิทธิพลเทียบไม่ได้!

“กล่าวเช่นนี้ ตู๋กูโยวหรันน่าจะเป็นพวกชั้นสูงจากน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดหรือ” จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม

“ไม่ผิด” นกกระจอกเขียวพยักหน้า “ในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดมีเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์มากมายอาศัยอยู่ ตระกูลตู๋กูก็เป็นผู้มีหน้ามีตาในนั้น”

“มิน่า…” หลินสวินนึกถึงยามที่พวกเผิงเทียนเสียง หรงเซียงหลี จู้หลินปฏิบัติกับตู๋กูโยวหรัน ไม่เพียงแค่ให้เกียรติ ยังมีความยำเกรงอยู่ในทีด้วย

จากเหตุนี้ก็สามารถมองออกว่า ว่าการครอบครองระเบียบระดับปฐพีและระเบียบระดับสวรรค์ต่างกันราวฟ้ากับเหว!

“อย่างเจ้าที่ครอบครองพลังระเบียบสองชนิด ชนิดหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นระดับปฐพีขั้นหก อีกชนิดน่าจะเป็นพลังระเบียบระดับสวรรค์ เสียดายก็แต่เจ้ายังไม่เหยียบย่างมรรคาอมตะ หาไม่ ลำพังแค่พลังระเบียบสองอย่างนี้ ก็สามารถทำให้เจ้าบุกเบิกอาณาเขตแห่งหนึ่งในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดได้แล้ว”

นกกระจอกเขียวเอ่ยเจือแววทอดถอนใจ

หลินสวินเอ่ยถามทันควัน “ตระกูลหยวนล่ะ เป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับตระกูลตู๋กู”

นกกระจอกเขียวกลับพูดจากำกวม กล่าวว่า “ระหว่างตระกูลหยวนและตระกูลตู๋กู เป็นคู่ต่อสู้ที่แข่งขันกันมาตลอด แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ระหว่างสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ การแข่งขันระหว่างสองตระกูลด้ซึมลึกเข้าไปในกระดูกของคนในตระกูลแต่ละฝ่ายนานแล้ว”

นกกระจอกเขียวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเตือน “เจ้าเป็นคนที่คุณหนูข้าให้ความสำคัญ หากให้คุณหนูข้ารู้ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลตู๋กู… จะต้องทำให้เกิดความเข้าใจผิดบางอย่างแน่ ดังนั้นข้าขอเตือนให้เจ้ารีบขีดเส้นความสัมพันธ์กับตู๋กูโยวหรันนั่นให้ชัดเจนดีกว่า ยิ่งออกห่างได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี”

“คนที่คุณหนูเจ้าให้ความสำคัญอะไรกัน ตอนนั้นในเขาพยับคราม นางเป็นคู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือข้าต่างหาก” หลินสวินเกือบจะกลอกตาใส่

“เฮอะ นั่นเพราะคุณหนูข้าจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่ได้ใช้ไพ่ตายบางอย่าง หาไม่เจ้าคิดหรือว่าจะไม่มีทางเอาชนะเจ้าได้จริงๆ” นกกระจอกเขียวกล่าวเหยียดหยาม

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง คร้านจะต่อปากต่อคำกับเจ้านกจอมยโสโอหังตัวนี้แล้ว

ไพ่ตาย?

ใครบ้างจะไม่มี

“จริงสิ ศิลาศึกข้ามแดนตั้งอยู่ที่ไหน” หลินสวินถาม

ในงานเลี้ยงวันนี้ เผิงเทียนเสียงเอ่ยถึงเรื่องของสมรภูมิทวยเทพ ทำให้หลินสวินรู้ว่าถ้าอยากเข้าร่วม ก้าวแรกก็ต้องฝากชื่อบนศิลาศึกข้ามแดนให้ได้ก่อน

และระหว่างทางยามมุ่งหน้ามายังแดนใหญ่พันศึก หลินสวินก็เคยได้ยินนกกระจอกเขียวพูดว่า ลำดับของผู้ฝึกปราณแต่ละคนบนศิลาศึกข้ามแดน จะส่งผลต่ออันดับของมิติจักรวาลที่จากมาของโลกพันจักรวาล!

อย่างเช่นอันดับแรกในโลกพันจักรวาลตอนนี้คือเขตแดนดาราเทพผงาด อันดับสองคือเขตแดนดาราเร้นฟ้า

อันดับเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับลำดับชื่อบนศิลาศึกข้ามแดน

“ศิลาศึกข้ามแดนนี่มีทั้งหมดเก้าแห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของด่านนภาอมตะ กล่าวกันว่าเป็นศิลาแดนลับอย่างหนึ่งที่คงอยู่มาจากยุคก่อน”

นกกระจอกเขียวกล่าว “ศิลานี้ปิดครอบด้วยพลังระเบียบอันลึกลับ สามารถเชื่อมต่อกับพลังกฎระเบียบที่แผ่ครอบทั่วทั้งแดนใหญ่พันศึกได้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มรรควิถีแกร่งแน่น มีความสามารถเหนือธรรมดาในเส้นทางจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสามารถฝากชื่อไว้บนนั้นได้ มหัศจรรย์หาใดเปรียบ”

นกกระจอกเขียวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เท่าที่ข้ารู้ ในด่านนภาอมตะที่เก้าก็มีศิลาศึกข้ามแดนเช่นนี้หนึ่งชิ้น”

“ด่านนภาอมตะที่เก้าหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็นึกถึงสัญญากับพวกเซี่ยงเสี่ยวหยวน เยวี่ยตู๋ชิวในยามอยู่เมืองตั้งต้นขึ้นมาได้

——