‘ก็ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวร่วมกันที่เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวพูดถึง ทำไปเพราะเหตุใด…’ หลินสวินใคร่ครวญ
สองคนนี้พลังต่อสู้ล้วนไม่ธรรมดายิ่ง เป็นพวกชั้นนำในหมู่มกุฎมหาจักรพรรดิ
โดยเฉพาะเซี่ยงเสี่ยวหยวน บนตัวมีกลิ่นอายที่ลึกลับคลุมเครือมากมาย ทำเอาหลินสวินก็ยังไม่กล้าดูเบา
ขนาดสองคนยังตั้งใจเชื้อเชิญตนเคลื่อนไหวร่วมกัน แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่วางแผนกันเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็ก
จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหน้า ไม่คิดมากความอีก
ตอนนี้เพิ่งจะอยู่ด่านนภาอมตะที่สอง การจะไปถึงด่านนภาอมตะที่เก้ายังไม่รู้ว่าจะสิ้นเปลืองเวลาแค่ไหน
หลินสวินยื่นมือพลิกขึ้นคราหนึ่ง โคมทองแดงเก่าแก่ที่ประกายแสงพร่าเลือนดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมา
นี่คือสมบัติที่ได้มาจากแดนลับฝึกหลอมเขตที่เก้าของเมืองตั้งต้น ถึงแม้พลังวิญญาณจะสึกกร่อนหมดเกลี้ยงนานแล้ว แต่ตัวโคมกลับมีคุณสมบัติของวัตถุอมตะ
สมบัติทำนองนี้ยามอยู่เขตที่เก้า หลินสวินรวบรวมมาได้สิบกว่าชิ้น
“ของพวกนี้ให้เจ้า”
หลินสวินเอาครึ่งหนึ่งของสมบัติเหล่านี้ออกมา ยื่นให้นกกระจอกเขียว
“ให้ข้า?” นกกระจอกเขียวอึ้งไป ดูระวังตัวยิ่งยวด “เจ้า… ตัดใจได้หรือ”
หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่เอา?”
“ไม่เอาก็โง่สิ”
นกกระจอกเขียวกล่าวพลางกางปีกกสะบัดพรึ่บ ปลดปล่อยแสงสีเขียวแถบหนึ่งออกมาเก็บสมบัติเหล่านี้ กล่าวปลื้มปริ่มว่า “เจ้านี่ก็พิลึกเกินไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงใจดีขนาดนี้ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าหาใจเมตตาเจอแล้ว”
“ถึงแม้คุณหนูของเจ้าจะให้เจ้านำทางให้ข้า แต่ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำงานเปล่าได้อย่างไรกัน สินน้ำใจพวกนี้ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าแล้วกัน”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ แล้วโยนเศษสำริดชิ้นหนึ่งเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เปรี๊ยะ!
ภายในเศษสำริดนี้มีวัตถุอมตะ เพิ่งร่วงลงเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็แตกระเบิดทันที ถูกเพลิงหงส์ระเบียบสีม่วงที่แวววาวโปร่งแสงสายแล้วสายเล่าหลอมละลาย
สุดท้ายเหลือเพียงประกายแสงสีเทาที่ดุจดั่งเส้นผมสายหนึ่ง ปลดปล่อยกกลิ่นอายไม่เสื่อมสูญอันบริสุทธิ์ออกมา
อย่าเห็นว่าแค่สายเดียว ความรู้สึกที่มอบให้ผู้คนกลับยิ่งใหญ่หนักแน่นปานภูเขาเทพ หนักหน่วงมโหฬาร เสมือนสามารถทับทลายเวิ้งฟ้าได้!
“นี่ก็คือวัตถุอมตะหรือ”
ดวงตาหลินสวินลุ่มลึก สัมผัสโดยละเอียด
ตอนนี้เขารู้แล้ว วัตถุอมตะเป็นเจตวัตถุแห่งยุคที่ถือกำเนิดในต้นกำเนิดมรรคอมตะ มูลค่าล้ำค่าหาใดเปรียบ
มีเพียงบุคคลกร้าวแกร่งยิ่งระดับอมตะเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในต้นกำเนิดมรรคอมตะ ไปรวบรวมสมบัตินี้ได้
และโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้อยู่ในเก้าน่านฟ้าใหญ่ของโลกยอดนิรันดร์ ต้นกำเนิดมรรคอมตะก็พบได้น้อยอย่างที่สุด นี่ก็ทำให้วัตถุอมตะยิ่งล้ำค่าราคาแพงเข้าไปใหญ่
ประโยชน์สูงสุดของวัตถุอมตะก็คือการหลอมศาสตรามรรคอมตะ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้หลอมร่างอมตะได้ด้วย
ศาสตรามรรคอมตะที่สมบูรณ์หนึ่งชิ้น ถึงขั้นสามารถวิวัฒน์เป็นโลกวัฏจักรว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ควบคุมพลังแห่ง ‘แดนโลก’ ได้!
อันที่จริงลักษณะและอานุภาพของศาสตรามรรคอมตะ ก็ใช้ ‘พลังโลก’ มาแบ่งเกณฑ์
เล่าลือกันว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะแต่ละตระกูลล้วนใช้พลังระเบียบเป็นรากฐานตระกูล ใช้ศาสตรามรรคอมตะเป็นอาวุธหลักพิทักษ์ตระกูล
เผ่าจักรพรรดิอมตะที่รากฐานพลังน่าสะพรึงจำนวนหนึ่ง ยิ่งครอบครองศาสตรามรรคอมตะมากกว่าหนึ่งชิ้น!
อย่างเช่นนกกระจอกเขียวเคยหลุดปากเผยว่า ตระกูลเหวินที่เหวินเซ่าเหิงอาศัยอยู่ ครอบครองศาสตรามรรคอมตะที่มีชื่อเรียกว่า ‘โลงฝังโลก’ หนึ่งชิ้น ภายใต้การโจมตีเดียว ก็สามารถดับทำลายโลกใหญ่แห่งหนึ่งให้สิ้นซาก อานุภาพน่ากลัวถึงขีดสุด
“อย่ามองว่าเป็นแค่วัตถุอมตะน้อยนิด หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ ต้องขายได้ในราคาสูงลิ่วที่ทำให้เจ้าคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน”
นกกระจอกเขียวเอ่ยชี้แนะอยู่ข้างๆ
“ราคาสูงลิ่วคือเท่าไหร่” หลินสวินถาม
“อย่างน้อย… ก็ต้องสิบล้านผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งกระมัง”
นกกระจอกเขียวกล่าว “แต่ในสถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีใครเอาออกมาขายหรอก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงสมบัติที่แม้แต่ระดับอมตะยังพากันขวนขวายใฝ่หา”
หลินสวินอึ้งไป “กล่าวเช่นนี้ ราคาของสมบัติที่ข้าเพิ่งให้เจ้าเมื่อครู่ถ้ารวมกันก็จะ…”
นกกระจอกเขียวระวังตัวทันควัน กล่าวว่า “เจ้าจะมานึกเสียใจทีหลังไม่ได้เชียว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์!”
มุมปากหลินสวินกระตุกคราหนึ่ง
เขาเงียบไม่เอ่ยคำ ห่วงว่าขืนพูดอะไรอีก อาจข่มใจไม่ไหวแย่งสมบัติที่ยกให้พวกนั้นกลับคืนมา…
และเวลานี้ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็มีการเปลี่ยนแปลง ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
ก็เห็นพลังของวัตถุอมตะสายนั้นกำลังหลอมละลายทีละน้อย ถูกเตากระบี่ดูดซับไม่หยุด เกิดเสียงดังวู้มแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง ดุจดั่งโห่ร้องยินดี
หลินสวินสัมผัสได้อย่างว่องไวว่าคุณสมบัติของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเสี้ยวหนึ่ง เสมือนได้รับการหลอมรวมอย่างถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกอย่างหนึ่ง!
สวบ!
จากนั้นหลินสวินก็ดึงกระบี่บินที่แตกหักเล่มหนึ่งออกมาแล้วโยนเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง เกิดเสียงแตกระเบิดดังเปรี๊ยะๆ ระลอกหนึ่ง ไม่นานกระบี่บินแตกหักนี้ก็ถูกหลอมจนเหลือเพียงวัตถุอมตะเส้นหนึ่ง
เตากระบี่ส่งเสียงอึงอลไม่หยุด เหมือนลูกสัตว์ที่ร้องขอให้ป้อนอาหาร ดูดซับวัตถุอมตะเสี้ยวนั้นอย่างละโมบบ้าคลั่ง
นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเตากระบี่ของตนจะถึงกับสามารถดูดซับพลังของวัตถุอมตะได้ นี่เห็นชัดว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์นี้ของเจ้าออกจะวิปริตเกินไปแล้ว… สมบัติทั่วไปไม่สามารถทนรับพลังของวัตถุอมตะได้ไหว ไม่ทันำรก็แตกระเบิดดับสลายแล้ว”
นกกระจอกเขียวร้องอุทานตกใจ ดวงตาล้วนเบิกกว้าง “หรือว่า นี่เป็นเพราะพลังระเบียบสองอย่างที่เตาหลอมนี้ของเจ้ามีอยู่”
ความคิดนี้ได้รับการเห็นด้วยจากหลินสวิน
หลังจากข้ามด่านเคราะห์ในเขตที่เก้าเมื่อคราวก่อน เตากระบี่ที่อยู่กับตนในอสนีเคราะห์แห่งยุคก็ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งเช่นกัน เปลี่ยนไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
จะบอกว่ามันเป็นยอดศาสตรามรรคจักรพรรดิในตำนานก็ยังไม่เหมือน ถึงอย่างไรอานุภาพของยอดศาสตรามรรคจักรพรรดิก็ไม่เคยเห็นที่น่ากลัวเท่าเตากระบี่
หลินสวินจำได้แม่น ในการข้ามด่านเคราะห์คราวก่อน ตอนที่เตากระบี่ก่อตัวขึ้นใหม่หลังจากแตกเป็นชิ้นๆ เคยได้รับการฟูมฟักจากพลังเพลิงหงส์ระเบียบและระเบียบนิพพานอย่างน่าอัศจรรย์
บางทีเป็นเพราะย้อมกลิ่นอายของพลังระเบียบสองอย่าง จึงทำให้เตากระบี่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้ ถึงขั้นสามารถแบกรับและดูดซับพลังของวัตถุอมตะ!
หากเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าช้าเร็วย่อมสามารถถอนคราบ กลายเป็นศาสตรามรรคอมตะที่สุดหยั่งแปลกพิศวงชิ้นหนึ่งได้!
หลินสวินถ้าไม่ทำก็ไม่ทำเลย แต่เมื่อได้ทำก็จะทุ่มเทเต็มที่ เอาสมบัติที่มีคุณสมบัติของวัตถุอมตะที่เหลืออยู่โยนเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะๆๆ…
เสียงแตกระเบิดเบียดแน่นระลอกหนึ่งดังขึ้น
ภายในเตากระบี่ ละอองแสงแผ่ปะทุ พลังอึงอล สมบัติทั้งหมดถูกหลอม ดุจดั่งสลัดส่วนเกินทิ้งคงไว้เพียงแก่นแท้ ล้วนค่อยๆ เหลือแต่พลังวัตถุอมตะที่พิสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดเป็นสายๆ
และพร้อมๆ กับการดูดซับและหลอมผสานไม่หยุดของเตากระบี่ เสียงดังครั่นครืนที่คล้ายแซ่ซ้องยินดีระลอกแล้วระลอกเล่าก็ดังขึ้นไม่ว่างเว้น
จนกระทั่งหนึ่งก้านธูปต่อมา
ภายใต้การสังเกตของหลินสวินและนกกระจอกเขียว ผนังภายในเตากระบี่ปรากฏรอยสลักเร้นลับอัศจรรย์ขึ้นมาสายหนึ่ง คล้ายกับร่องรอยของมหามรรค แผ่ละอองแสงอมตะขมุกขมัว ไหลหลั่งพลิ้วลอย พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ดุจดั่งมายา
หลินสวินสังเกตเห็นนทันที ว่าคุณสมบัติของเตากระบี่เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง รูปร่างและอานุภาพของมันก็พลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วย
เขานำดาบศึกสีชาดเล่มหนึ่งออกมาทันที นี่เป็นศาสตราจักรพรรดิขั้นวิญญาณระดับสูงชิ้นหนึ่ง ล้ำค่าอย่างที่สุด มีพลังสังหารร้ายกาจ เพียงขยับเบาๆ ก็สามารถเบิกเขาตัดสมุทร กรีดแหวกนภากว้างได้
เคร้ง!
หลินสวินใช้เตากระบี่กำราบ พร้อมๆ กับเสียงครึกโครมสั่นสะท้านจิตใจดังขึ้น ผิวดาบศึกสีชาดปรากฏรอยแตกเป็นสายๆ คล้ายจวนจะแยกส่วนแตกกระจาย!
หลินสวินรีบเก็บมือทันที ในใจสะท้านสะเทือนขึ้นมา
เขาเพียงแค่ลองดูเท่านั้น ไม่ได้โคจรมรรควิถีอย่างแท้จริง ทว่าดาบจักรพรรดิขั้นวิญญาณระดับสูงชิ้นนี้ถึงกับมีทีท่าจะถูกสยบ!
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า อานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งหลังจากเปลี่ยนแปลงไปน่าสะพรึงแค่ไหน
นกกระจอกเขียวยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ ดวงตาจ้องตรงไปยังเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง กล่าวพึมพำ “ข้าอยู่มาหลายแสนปี แต่ไม่เคยเห็นสมบัติที่แปลกพิสดารเช่นนี้มาก่อน ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้ชัดๆ วิปริตเกินไปแล้ว…”
กล่าวพลางนกกระจอกเขียวก็หันมองหลินสวิน เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยว่า “แน่นอน เจ้าวิปริตยิ่งกว่า”
หลินสวินอารมณ์เบิกบาน ไม่ได้ถือสามันอย่างคนมีจิตใจกว้างขวาง
ในใจเขาเริ่มคิดคำนวณ ภายหน้าหากมีโอกาส ต้องรวบรวมวัตถุอมตะเพิ่มขึ้น บางทีอาจสามารถทำให้ดาบหัก สามพันเคลื่อนคล้อย และเจดีย์ไร้สิ้นสุดฟื้นคืนกลับมาดังเดิมได้ทั้งหมด…
เช้าตรู่วันถัดมา
ฟ้ายังไม่ทันสางหลินสวินก็ออกจากโรงเตี๊ยม มายังนอกประตูบูรพาของเมืองพยัคฆ์ครองแล้ว
ที่นี่มีท่าข้ามมิติแห่งหนึ่ง
ขอเพียงในมือมีป้ายคำสั่งที่ผ่านการทดสอบ ก็สามารถโดยสาร ‘เรือกระสวยสุริยันจันทรา’ ออกจากท่า มุ่งหน้าไปยังท่าปลายทางแห่งหนึ่ง
เรือกระสวยสุริยันจันทราที่เรียกกัน ก็คือสมบัติที่รูปร่างคล้ายกระสวยบิน ประทับรอยสลักผนึกลึกลับอันเป็นเอกลักษณ์ มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้าย
ขณะเดียวกัน มีเพียงรอยสลักผนึกลับของเรือกระสวยสุริยันจันทรา ที่สามารถสัมผัสถึงทิศทางของเป้าหมายจากที่ไกลๆ ในเส้นทางข้างหน้าได้
เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องเลือกโดยสารเรือนี้ออกไป
ตอนที่หลินสวินเร่งมาถึง เรือกระสวยสุริยันจันทราลำหนึ่งจอดที่หน้าท่าข้ามมิติแห่งนั้นแล้ว เมื่อยื่นป้ายคำสั่งที่เผิงเทียนเสียงมอบให้ หลินสวินก็ขึ้นเรือสมบัติที่แปลกพิกลลำนี้ได้อย่างราบรื่น
พื้นที่ในเรือสมบัติกว้างใหญ่สุดขีด ตอนที่หลินสวินมาถึงก็มีระดับจักรพรรดิหลายสิบคนอยู่ในนั้นแล้ว ล้วนไม่คุ้นหน้า
เมื่อหาที่ว่างตำแหน่งหนึ่งได้แล้วหลินสวินก็หลับตาพักผ่อน
ออกจากเมืองพยัคฆ์ครอง จำต้องผ่านสนามรบที่เสี่ยงอันตรายนองเลือดหลายสิบแห่งถึงจะสามารถไปยังด่านนภาอมตะที่สามได้
มีนกกระจอกเขียวชี้แนะตลอดทาง ทำให้หลินสวินไม่ต้องกังวลอะไร
‘ด้วยมรรควิถีในปัจจุบันของข้า สามารถต่อสู้กับบรรพจารย์มรรคอย่างเหิงเทียนซั่วได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าหากปราณบรรลุขั้นผสานมรรค จะสามารถอาศัยมรรควิถีแห่งตนเหยียบบรรพจารย์มรรคอย่างเหิงเทียนซั่วไว้ใต้เท้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่…’
หลินสวินขบคิด
ขั้นผสานมรรค ก็คือระดับจักรพรรดิขั้นแปด
แต่ว่าปราณของหลินสวินเพิ่งจะอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดชั้นต้น คิดอยากก้าวสู่ขั้นผสานมรรค ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน
‘แดนใหญ่พันศึกแม้จะอันตราย แต่กลับเป็นสถานที่ฝึกฝนที่คุ้มค่า ก่อนไปถึงโลกยอดนิรันดร์ ไม่ต้องพะวงว่าจะไม่สามารถทะลวงขั้นผสานมรรค…’
หลินสวินมั่นใจในจุดนี้ยิ่ง
ตั้งแต่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึกจนบัดนี้ เวลาเพิ่งจะครึ่งปีเท่านั้น แต่เขาได้รับการเคี่ยวกรำและโชควาสนามากมาย ขนาดมรรควิถีก็ยังเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด
ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ ขอเพียงหนทางข้างหน้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยที่คาดไม่ถึง การทะลวงเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นแปดก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“เอ๋ บังเอิญนัก สหายยุทธ์จินก็ตั้งใจจะจากไปวันนี้ด้วยหรือ”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะที่เสนาะหูราวเสียงสวรรค์สายหนึ่งก็ดังขึ้น เจือกลิ่นชื่นบาน ลอยเข้าหูหลินสวิน
ร่างของหลินสวินแข็งทื่ออย่างไม่อาจสังเกต ปวดหัวขึ้นมาทันที
——