เรื่องมิอาจล่าช้า หลินสวินออกเดินทางทันที
เพียงแต่เพิ่งเดินออกจากโรงเตี๊ยม
“โฮก!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามสนั่นสายหนึ่งก็ดังลอยมาจากฟ้าด้านนอก ทั่วทั้งเมืองยอดยุทธ์ล้วนสั่นไหวรุนแรง กำแพงเมืองส่งเสียงก้องกระหึ่ม
ตูม!
ไม่นานตัวเมืองก็สาดแสงผนึกออกมาสายแล้วสายเล่า ค้ำยันม่านแสงเจิดจรัสชั้นหนึ่งที่แผ่ครอบเมืองเก่าแก่ทั้งเมืองเอาไว้
หลินสวินอดตกใจไม่ได้
เขาสัมผัสได้ทันทีว่าส่วนลึกของเวิ้งฟ้าด้านนอกนั่น ในความมืดมิดมีเงามายาสูงใหญ่มหึมาสายหนึ่งปรากฏขึ้น
ดุจดั่งเทพมารในตำนาน เงาร่างสูงถึงหมื่นจั้งเต็ม เท้าเหยียบดารา แหงนหน้าคำรามสู่ห้วงจักรวาล
เวลานี้เงามายาที่ดุจดั่งเทพมารนี้ร่างกายส่ายไหวราวกับบ้าคลั่ง ดุจดั่งต้องการสลัดพันธนาการอะไรบางอย่าง ทำเอาเวิ้งฟ้าสั่นสะเทือน จักรวาลแถบนั้นล้วนแหวกแยก รอยแตกมหึมาลุกลามไปทุกที่ ก่อเกิดพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึง
กลิ่นอายระดับนี้น่าสะพรึงยิ่งกว่าบรรพจารย์มรรคอย่างแน่นอน!
แต่ในสายตาหลินสวิน เงามายาเทพมารนี้… ความจริงเป็นแค่พลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่พุ่งโฉบออกมาจากโลกมืดมิดที่ดุจดั่งม่านราตรีแห่งนั้น!
กล่าวง่ายๆ คือ สิ่งที่ปรากฏนอกเวิ้งฟ้ายามนี้ เป็นเพียงเจตจำนงลวงตาสายหนึ่ง
ทว่าอานุภาพระดับนั้น เหนือชั้นกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิมากโข!
หลินสวินยังอดสูดหายใจสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงอะไรกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้นอีก โบราณสถานมหามรรคนั่นนับวันก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ พักนี้มักเกิดเรื่องแปลกๆ เช่นนี้อยู่เสมอ ยังดีที่ตอนนี้ยังไม่ได้ลามมาถึงเมืองยอดยุทธ์…”
ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนนับว่าค่อนข้างเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เพิ่งเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ได้ยินว่าเป็นเพราะในโบราณสถานมหามรรคนั่นมีประทับผนึกที่ลึกลับแห่งหนึ่งคล้ายกำลังคลายตัวอยู่ สิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในนั้น เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงในยุคก่อน”
มีคนกล่าวเสียงเบา
“นี่เป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น ข้ากลับได้ข้อมูลมาว่ากลางโบราณสถานมหามรรคแห่งนั้นจะมีศุภโชคแห่งยุคปรากฏ คาดว่าว่าอาจเกี่ยวข้องกับกระบี่อำมหิตเล่มหนึ่งของยุคก่อน”
มีคนกล่าวอย่างเป็นจังหวะจะโคน
“ไม่ผิด ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน กระบี่อำมหิตนั่นแม้จะไม่เคยปรากฏ ทว่าเจตกระบี่ที่แผ่คลุ้งออกมาก็กลายเป็นลักษณ์ประหลาดสีเลือดที่ประหนึ่งภูเขาศพทะเลเลือด มีซากศพของเทพมารนับไม่ถ้วนกองพะเนิน แปลกพิสดารและน่ากลัวยิ่ง”
จากการสนทนานี้ หลินสวินถึงได้รู้ว่าระยะนี้ในโบราณสถานมหามรรคเกิดการเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง มีเสียงกระบี่ครวญดังก้อง แปรสภาพเป็นลักษณ์ประหลาดสีเลือด กลบฝังทวยเทพ
ภาพเหตุการณ์นี้ถูกพวกกร้าวแกร่งมากมายมองเห็น และคิดว่าลักษณ์ประหลาดนี้เป็นไปได้สูงว่าอาจเกี่ยวข้องกับกระบี่อำมหิตเล่มหนึ่งที่อยู่ในโบราณสถานมหามรรค
นอกจากนี้ยังมีเสียงคำรามเหมือนอย่างเมื่อครู่ดังขึ้น มีเจตจำนงของสิ่งน่ากลัวขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง สันนิษฐานว่าหมายจะทุบทำลายประทับผนึกและพุ่งออกมาสู่โลก
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้กลายเป็นม่านมืดมิดชั้นหนึ่งปกคลุมเมืองยอดยุทธ์
เพราะเมืองยอดยุทธ์ตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานมหามรรคแห่งนั้นใกล้เกินไป หากเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงอะไร เมืองยอดยุทธ์ต้องถูกลูกหลงเป็นแห่งแรกอย่างแน่นอน
ทว่าสำหรับพวกกร้าวแกร่งบางส่วนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของโบราณสถานมหามรรคกลับทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง…
ก็คือมีศุภโชคสะท้านยุคใกล้ปรากฏแล้ว!
ชั่วขณะเดียว เรื่องที่เกี่ยวกับโบราณสถานมหามรรคก็กลายเป็นประเด็นสนทนาที่ร้อนแรงมากที่สุดในเมืองยอดยุทธ์
เมื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วหลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ความผิดปกติทั้งหมดนี้หากเกี่ยวข้องกับยุคก่อนจริงๆ เช่นนั้นเมื่อปะทุออกมา… ย่อมต้องอันตรายสุดหยั่งอย่างแน่นอน!
นอกเวิ้งฟ้าในส่วนลึกของจักรวาล เงามายาเทพมารที่สูงหมื่นจั้งเต็มนั้นดิ้นขลุกขลักอยู่เนิ่นนานก่อนจะส่งเสียงคำรามอย่างขัดใจออกมา จากนั้นถึงค่อยสลายไป อันตรธานหายลับในทันที
“เห็นแล้วกระมัง โบราณสถานมหามรรคอันตรายยิ่งยวด มหาจักรพรรดิทั่วไปไม่กล้าเข้าไปแม้เพียงก้าวเดียว ก็มีแต่พวกร้ายกาจแห่งยุคเหล่านั้นเท่านั้นถึงกล้าบุกเข้าไปแสวงหาศุภโชค”
มีคนทอดถอนใจ ในโบราณสถานมหามรรคแห่งนั้นไม่เพียงเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาด ซ้ำยังมีวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิที่ไม่อาจจินตนาการมากมายกระจายตัวอยู่ เต็มไปด้วยอันตรายน่ากลัว
แน่นอน สำหรับพวกร้ายกาจบางส่วนแล้ว ก็มีโชคลาภที่ยากจะจินตนาการด้วยเช่นกัน
หลินสวินไม่ได้คิดมากความ มุ่งตรงไปยังฝั่งตะวันออกของเมือง
เมืองยอดยุทธ์สูงตระหง่านกว้างใหญ่ กำแพงเมืองราวยอดเขา สูงใหญ่แน่นหนา เจือกลิ่นอายโอ่โถง
แต่บริเวณตะวันออกของเมืองกลับกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม อนุญาตเพียงระดับจักรพรรดิขึ้นไปเท่านั้นที่เข้าใกล้ได้
หนึ่งใน ‘ศิลาศึกข้ามแดน’ เก้าหลักที่คงอยู่เรื่อยมาจากยุคก่อนก็ตั้งอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อหลินสวินมาถึง ก็เห็นว่าในพื้นที่อันกว้างขวางถึงขีดสุดแถบหนึ่ง มีป้ายศิลาที่คละคลุ้งกลิ่นอายแรกกำเนิดตั้งอยู่
มันสูงสามพันจั้งเต็ม ไพศาลมโหฬาร แผ่กลิ่นอายแรกกำเนิด ดุจดั่งเสาที่ค้ำยันเวิ้งฟ้า มีระลอกคลื่นกฎเกณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
ศิลาศึกข้ามแดน!
ตำนานเล่าว่าศิลานี้มีทั้งหมดเก้าหลัก กระจายอยู่ในด่านนภาอมตะต่างๆ คงอยู่เรื่อยมาท่ามกลางการดับสิ้นของยุคก่อน
ศิลานี้มีคุณสมบัติพิเศษลึกลับอย่างที่สุด สามารถเชื่อมต่อกับพลังที่ปิดครอบทั่วทั้งแดนใหญ่พันศึกได้ เร้นลับยิ่ง
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา เคยมีระดับอมตะไม่รู้เท่าไหร่ตาลุกวาว พยายามเอาศิลาศึกข้ามแดนออกไป
ทว่าที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ แม้จะเป็นระดับอมตะลงมือเองก็ไม่สามารถเคลื่อนศิลานี้ได้แม้แต่เสี้ยว!
ใกล้ๆ ศิลาศึกข้ามแดนในยามนี้มีคนจำนวนหนึ่งบ้างยืนนิ่งเงียบ บ้างก็นั่งขัดสมาธิ แสงมรรคไหลเวียนทั่วร่าง เห็นชัดว่าล้วนกำลังสัมผัสและหยั่งรู้พลังบนศิลาศึกข้ามแดน
ความจริงแล้วหลินสวินเองก็สัมผัสได้ตั้งแต่จังหวะแรกเช่นกัน ศิลาศึกข้ามแดนแผ่ระลอกคลื่นไร้รูปออกมา ดุจดั่งโซ่คลื่น ปิดครอบพื้นที่แถบนี้เอาไว้
เมื่อสัมผัสอย่างถี่ถ้วน ระลอกคลื่นนี้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง เปี่ยมด้วยพลังเจตจำนงมหามรรคนานาชนิด มีทั้งเผด็จการเลือดเย็น มีทั้งอหังการเย่อหยิ่ง มีทั้งดื้อแพ่งแข็งกร้าว มีทั้งเบาหวิวดุจเมฆ มีทั้ง…
มากมายหลากหลาย สารพัดรูปแบบ
หลินสวินตระหนักได้ในทันที พวกนี้ล้วนเป็นกลิ่นอายเจตจำนงมหามรรคของผู้แข็งแกร่งที่เคยฝากชื่อบนศิลาศึกข้ามแดนในกาลเวลาไร้สิ้นสุด
หาใช่นัยเร้นลับมหามรรคอะไร เป็นเพียงการปรากฏของกลิ่นอาย แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ หากไปสัมผัสและหยั่งรู้ ก็มีประโยชน์ไม่น้อยต่อการฝึกปราณ
‘มิน่าหลังจากผู้ฝึกปราณมากมายมาถึงเมืองยอดยุทธ์ก็ไม่อยากจากไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวาสนาในโบราณสถานมหามรรคนั่น ลำพังแค่ฝึกปราณอยู่แถวศิลาศึกข้ามแดนนี้ก็สามารถทำประโยชน์ให้มรรควิถีของตนได้มหาศาลแล้ว ได้รับการหล่อหลอมรุดหน้า…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
พื้นที่แถบนี้ นอกจากเงาร่างที่หยั่งรู้และสัมผัสเหล่านั้น ยังมีผู้ฝึกปราณที่เพิ่งมาถึงเหมือนหลินสวินอีกจำนวนมากด้วย
“ศิลานี้แบ่งออกเป็นสามกระดาน แบ่งเป็นปฐพี นภา และเร้นลับ”
ชายชราชุดหรูหราคนหนึ่งกำลังกล่าวฉะฉาน อธิบายให้ทุกคนที่อยู่ข้างกาย
“ผู้ที่สามารถฝากชื่อไว้บนกระดานปฐพี ล้วนเรียกได้ว่าเป็นหงส์มังกรกลางฝูงชน คุณสมบัติฝึกปราณหนึ่งในหมื่น อย่างน้อยต้องมีมรรควิถีระดับจักรพรรดิขั้นหก”
“ผู้ที่สามารถฝากชื่อไว้บนกระดานนภา ก็เรียกว่าเป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุค ในมิติจักรวาลแต่ละแห่งของโลกพันจักรรวาล ก็เป็นตัวอ่อนฝึกมรรคโดยกำเนิด ได้รับความโปรดปรานจากสรวงสวรรค์”
“หรือกล่าวได้ว่า ผู้ที่สามารถฝากชื่อบนกระดานนภา แทบทุกคนล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคที่เหยียบย่างบนเส้นทางมกุฎจักรพรรดิ แต่ละคนล้วนมีอานุภาพปกคลุมฟ้าดิน”
ประโยคนี้เรียกเสียงร้องอุทานขึ้นระลอกหนึ่ง
ระดับจักรพรรดิขั้นหกถึงมีคุณสมบัติฝากชื่อบนกระดานปฐพี
ส่วนกระดานนภานั่น ยิ่งมีแต่มกุฎมหาจักรพรรดิถึงมีคุณสมบัตฝากชื่อไว้ได้!
เงื่อนไขข้อนี้หฤโหดยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเอาผู้คนสะท้านสะเทือน
กลับเห็นชายชราชุดหรูหรายิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีคุณสมบัติฝากชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝากชื่อไว้ได้เสมอไป ทั้งหมดล้วนต้องมีพลังต่อสู้ พรสวรรค์ ศักยภาพแฝงแห่งตนที่แข็งแกร่งมากพอจึงจะทำได้”
“เช่นนั้นควรจะฝากชื่อบนกระดานเร้นลับอย่างไร” มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้
คนอื่นต่างก็มองไปเช่นกัน
ชายชราชุดหรูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ทอดมองจุดที่สูงที่สุดของศิลาศึกข้ามแดนนั่น กล่าวด้วยแววตาเร่าร้อน
“นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีคำกล่าวหนึ่งคงอยู่ต่อเนื่องมา ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถฝากชื่อบนกระดานเร้นลับได้ ย่อมต้องมีมาดสง่างามสะท้านหมื่นยุค มีรากฐานพลังที่เหนือกว่าระดับบรรพจารย์!”
“ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ไม่มีใครไม่เรียกว่าเป็นนายเหนือหัวแห่งโลกหนึ่ง เป็นพวกชั้นเลิศในหมู่ยอดมกุฎ!”
ประโยคเดียวทำเอาทั่วลานเงียบสงัด เสียงสูดหายใจเย็นระลอกหนึ่งดังขึ้น
“คำกล่าวของเจ้าเฒ่าผู้นี้แม้ออกจะคุยฟุ้งใส่ไข่ไปหน่อย แต่ก็พูดถูกต้อง กระดานปฐพี กระดานนภา กระดานเร้นลับ สิ่งที่สามกระดานใหญ่สื่อถึงล้วนเป็นมรรคาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
นกกระจอกเขียวกล่าวประเมิน “เหมือนอย่างเช่นเจ้า เป็นไปได้สูงว่าอาจสามารถฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับนั่นได้”
นกกระจอกเขียวติดตามหลินสวินตลอดทางตั้งแต่เมืองตั้งต้นจนถึงเมืองยอดยุทธ์ ทำให้มันตระหนักได้ถึงความวิปริตและน่าสะพรึงในมรรควิถีของหลินสวินนานแล้ว
มันไม่กังวลว่าหลินสวินจะไม่สามารถฝากชื่อบนกระดานเร้นลับได้สักนิด สิ่งเดียวที่ไม่แน่ใจก็คือ ตำแหน่งบนกระดานเร้นลับของหลินสวินจะอยู่อับดับต้นๆ ได้มากแค่ไหน
“ให้ข้าลองก่อน!”
ชายชุดเงินคนหนึ่งเดินไปเบื้องหน้า ใต้เท้าเรืองแสง บนพื้นดินทิ้งรอยแผนภาพมหามรรคเป็นวงๆ อร่ามเรืองรอง ลึกลับหาใดเปรียบ หนำซ้ำทั่วร่างยังลุกโชติช่วง
จนกระทั่งมาถึงเบื้องหน้าศิลาศึกข้ามแดนนั่น มรรควิถีของทั้งตัวเขาก็พุ่งทะยานถึงสภาวะสูงสุด
จากนั้นเขากดฝ่ามือหนึ่งลงบนศิลา
วู้ม…
ละอองแสงเร้นลับสาดพรมดุจกลีบดอกไม้ร่ายระบำ พร้อมๆ กับเสียงอึงอลสายหนึ่ง ศิลาศึกข้ามแดนทั้งก้อนล้วนผุดเกลียวคลื่นแสงมรรคอันคลุมเครือขึ้นมาระลอกหนึ่ง
คนไม่น้อยถูกทำให้ตกใจ นึกขึ้นได้ว่าชายชุดเงินผู้นี้เป็นมหาจักรพรรดิขั้นแปดคนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ขอบเขตมกุฎ แต่มรรควิถีกลับกร้าวแกร่งอย่างที่สุด
ครู่ต่อมาก็เห็นละอองแสงสีทองอ่อนระลอกหนึ่งอาบชโลมร่างชายชุดเงินไว้ภายใน
“ฝากชื่อบนกระดานปฐพี!”
ชายชราชุดหรูระบุได้ในทันที ละอองแสงสีทอง ก็หมายถึงการนำพลังเจตจำนงแห่งตนฝากไว้บนกระดานปฐพีได้สำเร็จ
ทันใดนั้นในลานต่างฮือฮา คนมากมายฉายแววอิจฉาชื่นชม
ทว่าชายชุดเงินผู้นั้นกลับส่ายหน้าขมขื่น สีหน้าเห็นชัดว่าค่อนข้างหดหู่ “ไม่เคยเหยียบย่างขอบเขตมกุฎ… ห่างชั้นกันเกินไปดังคาด…”
กล่าวพลางเขาจากไปเพียงลำพัง เงาหลังเห็นชัดว่าค่อนข้างเซื่องซึม
“เหตุใดจึงไม่สามารถมองเห็นลำดับแท้จริง” มีคนอดถามไม่ได้
ชายชราชุดหรูกล่าวอธิบายง่ายๆ “มีเพียงตัวผู้ฝากชื่อเองจึงจะสามารถล่วงรู้ลำดับที่ตนอยู่ คนอื่นไม่สามารถสอดส่องได้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “อย่างสหายยุทธ์คนเมื่อครู่นั้น ฝากชื่อไว้บนกระดานปฐพี ทั้งมีปราณระดับจักรพรรดิขั้นแปด หากข้าเดาไม่ผิด ลำดับของเขา… เกรงว่าคงอยู่นอกลำดับที่หนึ่งหมื่นบนกระดานปฐพี”
“หนึ่งหมื่น?” มีคนร้องอุทาน
ขนาดหลินสวินยังอึ้งไป
นอกลำดับที่หนึ่งหมื่น?
นี่ไม่ได้หมายความว่า ในกาลเวลาที่ผ่านมา มีบุคคลที่มีปราณระดับจักรพรรดิขั้นหกอย่างน้อยหมื่นคนฝากชื่อไว้บนกระดานปฐพีแล้วหรอกหรือ
จำนวนนี้มหาศาลเกินไปแล้ว!
“นี่เรียบง่ายยิ่ง อย่างไรก็เป็นลำดับที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตกาลกาล ต่อให้เงื่อนไขในการฝากชื่อจะโหดหินหาใดเปรียบ ทว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุด รายชื่อที่ฝากไว้ย่อมไม่มีทางน้อยนิดเป็นแน่”
ชายชราชุดหรูลงความเห็น “อันที่จริงการที่สามารถฝากชื่อบนศิลาศึกข้ามแดนได้ ก็เป็นผลงานยอดเยี่ยมที่น่าทึ่งถึงขีดสุดแล้ว จักรพรรดิที่ไม่มีคุณสมบัติฝากชื่อไว้ได้มีแต่จะมากกว่า!”
——