ริมฝีปากอวิ้นหลิวแค่นเฮอะออกมาคราหนึ่ง
นัยน์ตาที่ปรากฏภาพนองเลือดน่าสะพรึงของเขาพลันเปลี่ยนเป็นมืดสลัวลง
“เกี่ยวโยงถึงผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนั้น ทุกสิ่ง… ล้วนเต็มไปด้วยตัวแปรหรือ”
อวิ้นหลิวส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
สิ่งที่เขาบำเพ็ญคือ ‘คัมภีร์ศากยะอนาคตกาล’ ของอารามเสียงอสนีเล็ก มีความสามารถในการสอดส่องความลับสวรรค์บางส่วน ทำนายอนาคต
คัมภีร์นี้ถูกมองเป็นวิชาพยากรณ์เร้นลับ คนทั่วไปขอเพียงถูกเขาจ้องมองสักครา ก็สามารถสอดส่องทิศทางโชคชะตาตลอดชีวิตของผู้นั้นได้
แม้จะเป็นโชคชะตาของผู้ฝึกปราณทั่วไป ก็ยากจะหลีกหนีคำทำนายจากสายตาของเขาได้
ที่น่าเสียดายคือ มรรคแห่งโชคชะตาสูงส่งเป็นที่สุด เกี่ยวโยงถึงความลับแห่งอมตะนิรันดร
สิ่งที่เขาสามารถพยากรณ์ได้ ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวร่องรอย คลุมเครือไม่ชัดเจน
ก็เหมือนเวลานี้ที่เขาใจกระตุก สอดส่องถึงลางสังหรณ์บางส่วน และระบุเงาของพิบัติเคราะห์ครั้งหนึ่งออกมาได้ว่าจะปรากฏในด่านนภาอมตะที่เก้า
ทว่าพิบัติเคราะห์ครั้งนี้จะเกี่ยวพันถึงบุคคลแห่งยุคคนไหนบ้าง กลับระบุไม่ได้สักนิด
ต่อให้อวิ้นหลิวเค้นมรรควิถีแห่งตนฝืนทำนายก็ไม่สามารถมองเห็นได้
อวิ้นหลิวรู้ดียิ่ง ว่าจุดนี้เกี่ยวข้องกับมรรควิถีของตน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือในพิบัติเคราะห์ครั้งนี้เกี่ยวโยงถึงคนผู้หนึ่ง!
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนั้น!
“โชคชะตาผันเปลี่ยน ฟ้าไม่เที่ยง จะสุขจะทุกข์ไม่มีผู้ใดหนีพ้น”
อวิ้นหลิวพึมพำ
ริมฝีปากแห้งแตกของเขามีคราบเลือดไหลนอง แต่เขากลับไม่รู้ตัวสักนิด
…
ปีที่สามที่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึก
หลินสวินบุกฝ่าขวากหนาม ตะลุยเส้นทางเสี่ยงอันตราย ในที่สุดก็มาถึงนอกด่านนภาอมตะที่เก้าแล้ว!
กลางจักรวาลที่ดำมืดเงียบสงัด เมืองเก่าแก่แข็งแกร่งมหึมาแห่งหนึ่งลอยอยู่กลางเวิ้งฟ้า แผ่แสงศักดิ์สิทธิ์มากมาย
และขุดที่ห่างไปไกลโพ้นของเมืองนี้ กลับเป็นม่านราตรีสีดำสายหนึ่ง ดุจดั่งม่านฟ้าร่วงลู่ พาดขวางอยู่ตรงนั้น กลายเป็นฉากหลังให้แก่เมืองแห่งนั้น
หากยืนมองจากฟากฟ้าเหนือเมืองนั้น
จะมองเห็นชัดเจนว่ากลางม่านราตรีสีดำของจักรวาลที่ไกลออกไปนั้น ปรากฏภาพภูผาธาราอันคลุมเครือจำนวนหนึ่ง
ถึงขั้นมีเงาของสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเทียวผลุบเทียบโผล่ ส่งเสียงคำรามน่าสะพรึงออกมา สั่นสะเทือนจักรวาลเวิ้งว้าง!
ม่านราตรีสีดำนั่นเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดายิ่ง ดุจดั่งสถานที่ชั่วร้ายพิศวงแห่งหนึ่ง
นี่ก็คือด่านนภาอมตะที่เก้า
เมืองใหญ่มหึมาที่ลอยแขวนกลางจักรวาล มีชื่อเรียกว่า ‘ยอดยุทธ์’
ต่างจากด่านนภาอมตะแปดด่านก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เมืองยอดยุทธ์ไพศาลถึงขีดสุด ตระการตาหาใดเปรียบ ดุจดั่งหัวใจของจักรวาลแถบนี้ พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัส อาบชโลมกลางละอองแสงมากมาย
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว…”
หลินสวินพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเฮือกยาว
ระหว่างที่เร่งรุดมาด่านนภาอมตะที่เก้า เขาผ่านประสบการณ์ต่อสู้นองเลือดทั้งน้อยใหญ่สิบกว่าครั้ง
โดยเฉพาะครั้งหลังๆ นี้ ตอนที่เดินทางผ่านอารามเสื่อมโทรมที่คงอยู่สืบเนื่องมาจากยุคก่อนแห่งหนึ่ง เพราะถูกใจทวนศึกสำริดที่รูปปั้นดินเหนียวแกะสลักถืออยู่ในมือ ขณะที่คว้ามากลับพบเจอการโจมตีถึงชีวิตอย่างไม่คาดฝัน
ทวนศึกสำริดนั่นดูเหมือนผุพัง แต่กลับเผยพลานุภาพน่าสะพรึงไร้ขอบเขตออกมาชัดเจน เพียงแค่การโจมตีเดียวก็สามารถผ่าเวิ้งฟ้าขาดสะบั้น โจมตีแผ่นดินใหญ่แหลกกระจุย กร้าวแกร่งยิ่งยวดอย่างที่สุด
หลินสวินต่อสู้อย่างทุลักทุเลกับมันอยู่หลายวัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน หลายครั้งล้วนเกือบถูกสังหาร แต่สุดท้ายก็ยังอาศัยอภินิหารหยุดเวลา กำราบทวนศึกสำริดอันแปลกพิสดารเล่มนี้ได้ในที่สุด
น่าเสียดาย จังหวะที่ถูกกำราบนั้น ทวนศึกสำริดเล่มนี้ก็ดุจดั่งใช้เรี่ยวแรงจนหมด ระเบิดโครมคราม ทำเอาหลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ
สู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงตอนท้ายกลับไม่ได้อะไรติดมือมา เหมือนเอาตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ!
อันที่จริงเรื่องเช่นนี้ ในระหว่างที่เขาบุกตะลุยตลอดทางก็มีให้เห็นไม่น้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ยังทำให้หลินสวินอัดอั้นใจอย่างเลี่ยงได้ยากอยู่ดี
ประโยชน์หนึ่งเดียว บางทีอาจเป็นการเคี่ยวกรำที่ยากจะได้รับครั้งหนึ่งจากการผ่านประสบการณ์ต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้มรรควิถีของเขามั่นคงถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ
และหลังออกจากอารามทรุดโทรมแห่งนั้น หลินสวินก็มุ่งตรงมาถึงจักรวาลที่ด่านนภาอมตะที่เก้าแห่งนี้ตั้งอยู่
เขาในเวลานี้ทั่วร่างเปื้อนคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูเหมือนสะบักสะบอม ทว่าไอสังหารจางๆ เป็นสายๆ ที่รายล้อมทั่วร่าง กลับควบรวมกร้าวแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนเทพมารที่เพิ่งบุกฝ่าออกมาจากกลางภูเขาศพทะเลเลือดดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง!
ตอนที่หลินสวินปรากฏตัวอยู่ในฟ้าดาราแถบนี้ ก็เห็นชัดว่าเตะตาอย่างที่สุด
ผู้ฝึกปราณที่ทะยานผ่านข้างกายเขาไม่มีใครไม่เหลียวมอง แต่เมื่อพวกเขาประสานสายตากับหลินสวินก็รู้สึกตกใจหวาดหวั่น สิ้นหวังฉับพลัน ราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
แววตาที่เจือไอสังหารเย็นยะเยือกนั่น แค่สบตากันครั้งเดียวก็เหมือนสบตากับผนึกเลือดชัดๆ!
“น่าสะพรึงนัก!”
“คนผู้นี้เป็นใครอีก”
“เดินทางตัวคนเดียว ซ้ำยังรอดชีวิตมาถึงด่านนภาอมตะที่เก้า… ยากจะพบยิ่ง…”
เสียงถกเจือแววตกใจแกมสงสัยดังขึ้น
แต่ตอนที่พวกเขามองมาทางหลินสวินอีกหน กลับเผยแววอึ้งค้างออกมา
ชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้แค่มองปราดเดียวก็ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อคนนั้น เวลานี้กลับเหมือนคนธรรมดาสามัญที่พบเห็นทั่วไป ทั่วร่างไร้ซึ่งพลานุภาพใดๆ ให้เอ่ยถึง
ต่อให้พยายามสัมผัสอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงระลอกคลื่นพลังได้เลย!
เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง!
หลินสวินไม่ได้สนใจสายตาเหล่านี้ เงาร่างพริบไหวหายไปกลางอากาศ
หน้าประตูเมืองที่สูงตระหง่านเก่าแก่ ผู้คุ้มกันระดับจักรพรรดิสองกองเฝ้าประจำการสองฝั่ง ซ้ำยังมีบรรพจารย์ขั้นเก้าสองคนควบคุมดูแล หน้าตาขึงขังน่ากลัว
“ด่านนภาอมตะที่เก้าไม่ธรรมดายิ่ง เปี่ยมด้วยพลังเร้นลับ ในกาลเวลาที่ผ่านมาเคยมีพวกกร้าวแกร่งมากมายได้รับการเปลี่ยนแปลงจากในนี้”
นกกระจอกเขียวให้คำชี้แนะ
จากที่มันว่ามา เก้าเป็นตัวเลขพิเศษตัวหนึ่ง เปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด แตกต่างอย่างยิ่ง
และเมืองนี้ยิ่งถูกขนานนามว่าสถานที่หลอมมรรค ที่นี่มีกฎที่ดั้งเดิมที่สุดและแข็งแกร่งอยู่ การเลือกที่นี่เคี่ยวกรำมหามรรค ฐานมรรคที่สร้างขึ้นจะคงทนหาใดเปรียบ
สาเหตุก็อยู่ที่ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่รู้มียักษ์ใหญ่คับฟ้ามากมายเท่าไหร่ผ่านเข้ามา ยิ่งไม่ขาดผู้มากสามารถเหนือกาล พวกเขาแต่ละคนมองด่านนภาอมตะที่เก้าเป็นสถานที่แข่งขัน ฝากเจตจำนงมหามรรคของตนไว้บนศิลาศึกข้ามแดนภายในเมือง
และพลังของศิลาศึกข้ามแดน สามารถเชื่อมต่อกับพลังทั่วทั้งแดนใหญ่พันศึก เท่ากับเป็นการสลักและบันทึกบารมีแห่งมหามรรคของผู้ฝากชื่อเหล่านี้
เมื่อหยั่งรู้ในเมืองนี้ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงบารมีแห่งมหามรรคที่สั่งสมมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด สำหรับผู้ที่หยั่งถึงเหล่านั้นล้วนมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษเลวร้ายอะไร
ระหว่างฟังคำชี้แนะของนกกระจอกเขียว หลินสวินก็เข้าสู่เมืองยอดยุทธ์แล้ว
เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าเมืองนี้ใหญ่โตมหึมายิ่งกว่าแปดเมืองก่อนหน้า ซ้ำยังมีคนมากมาย เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลายปีมานี้มีพวกกร้าวแกร่งที่ตะลุยแดนใหญ่พันศึกเยอะมาก ล้วนแวะพักที่นี่ด้วยเหตุผลมากมายสารพัด เลือกเคี่ยวกรำตนเองอยู่ที่นี่
หาใช่ไม่อยากจากไป หากแต่เมืองนี้มีพลังเร้นลับมากมาย ทำให้พวกเขาตัดใจไปไม่ได้
สาเหตุหลักที่สุดก็อยู่ที่นอกเมืองยอดยุทธ์!
สถานที่ดุจดั่งม่านตรีสีดำในส่วนลึกของจักรวาลนั่น อันที่จริงเป็น ‘โบราณสถานมหามรรค’ ที่คงอยู่เรื่อยมาอย่างสมบูณ์จากยุคก่อน!
โบราณสถานมหามรรคนั่นหาได้ผุพัง คงสภาพสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยโชควาสนาลึกลับที่ยากจะจินตนาการ
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา มีคนบรรลุมรรคในโบราณสถานมหามรรคแห่งนั้น ทะลวงวิชามรรคแห่งตนในคราเดียว
มีคนค้นพบตำราลับมหามรรคของยุคก่อน หยั่งถึงมรรคเลิศล้ำ
ยิ่งมีคนขุดสมบัติจากธรรมชาติที่ถือกำเนิดเฉพาะในยุคก่อนได้ด้วย!
ทว่าขณะเดียวกันแม้โบราณสถานมหามรรคจะเปี่ยมด้วยวาสนาลึกลับ แต่ก็มาพร้อมกับอันตรายมากมาย น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด ทำให้ผู้คนทั้งใจเต้น ทั้งกริ่งเกรง ทั้งรักทั้งเกลียด
“ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินที่ถูกประกาศจับนั่น จะปรากฏตัวในด่านนภาอมตะที่เก้าเหมือนอย่างที่ลือกันจริงๆ หรือไม่”
“เป็นพวกร้ายกาจแห่งยุคคนหนึ่งจริงๆ เหิงเทียนซั่วเจ้าเมืองเมืองตั้งต้นก็สังหารไปแล้ว โจมตีเหวินเซ่าเหิงจากตระกูลเหวินตายอนาถ ได้ยินว่าการต่อสู้ครั้งนั้น เมืองตั้งต้นถูกเลือดแดงฉานอาบย้อม อยากเห็นจริงๆ ว่าหลินสวินผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร”
“กี่หมื่นปีมาแล้ว ทางเดินโบราณฟ้าดาราที่ตกต่ำในกาลเวลาไร้สิ้นสุดไปนานแล้วนั่น ในที่สุดก็มีมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งปรากฏตัว ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับไม่สู้ดี ให้ข้าเดา หากเขากล้าโผล่มาจริงๆ เมืองยอดยุทธ์นี้เกรงว่าคงกลายเป็นสถานที่ฝังศพของเขาแล้ว”
…เพิ่งเข้าเมืองไม่ทันไรหลินสวินก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับตนระลอกหนึ่ง
หลังสืบข้อมูลคร่าวๆ เขาจึงรู้ว่าระยะนี้มีคนโหมกระพือข่าว บอกว่าตนจะปรากฏตัวที่ด่านนภาอมตะที่เก้าแห่งนี้
ถึงตอนนั้นกองกำลังของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว จะเคลื่อนทัพพร้อมกัน เข้ากำราบตน
หากเป็นเพียงข่าวโคมลอย ย่อมไม่อาจเรียกความโกลาหลใหญ่โตขนาดนี้ได้เป็นแน่
สาเหตุก็เพราะหลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ยังได้รับการเห็นด้วยจากขุมอำนาจตระกูลเหิงและตระกูลเหวินอีกด้วย!
หนำซ้ำยังมีบุคคลแห่งยุคมากมายคุยโว ว่าหากเขาหลินสวินกล้าโผล่มาที่เมืองยอดยุทธ์จริงๆ จะฟันคอผู้ร้ายที่อยู่ในลำดับสามบนกระดานประกาศจับอย่างเขาทิ้งแน่นอน!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้จึงยากที่จะไม่โหมกระพือ อย่างน้อยในเมืองยอดยุทธ์ตอนนี้ ใครๆ ล้วนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
‘ดังคาด พวกเขาวางกำลังไว้ล่วงหน้าแต่แรกแล้ว…’
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ก่อนมาเมืองยอดยุทธ์เขาก็คาดเดาไว้แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจนัก
สองฝั่งถนนกว้างเก่าแก่มีร้านยา โรงอาวุธ หอลูกกลอนโอสถ และมีหอสุรา หอน้ำชาต่างๆ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ รุ่งเรืองและครึกครื้นหาใดเทียบ
หลินสวินทำเหมือนทุกครั้งที่เข้าสู่ด่านนภาอมตะแต่ละแห่ง
มุ่งหน้าไปยังร้านค้าที่กิจการค่อนข้างใหญ่โตจำนวนหนึ่ง เร่ขายสมบัติที่ตนรวบรวมมาได้ตลอดทาง ขณะเดียวกันก็เสาะหาร้านค้าที่จำหน่ายมุกยมโลก
จนกระทั่งสามชั่วยามต่อมา หลินสวินถึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน
‘ยังขาดมุกยมโลกเก้าเม็ด ก็จะสามารถหลอมลายมรรคนรกสามเส้นที่เหลืออยู่นั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์…’
ภายในห้อง หลินสวินโยนมุกยมโลกที่ซื้อมาเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทั้งหมด และมองดูการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์ของลายมรรคนรกสามสายที่เหลืออยู่นั่น พลางลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้
จากด่านนภาอมตะที่สามจนถึงตอนนี้ ตลอดทางนี้ยามเขาเข้าด่านนภาอมตะแต่ละแห่ง ล้วนต้องซื้อมุกยมโลกจากในเมือง ถึงแม้จะต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อการนี้ แต่ประสิทธิผลที่ได้รับก็เห็นชัดยิ่งเช่นกัน
เขามีสังหรณ์อย่างหนึ่ง
เมื่อลายมรรคนรกเก้าสายควบรวมอย่างสมบูรณ์ จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านโลกแน่นอน!
“นกกระจอกเขียว เล่าเรื่องการทดสอบในเมืองยอดยุทธ์นี่ให้ข้าฟังหน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
นกกระจอกเขียวกล่าว “มุ่งหน้าไปโบราณสถานมรรคที่อยู่นอกเมืองนี้แล้วจับวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิสิบตน ไม่ถึงขั้นลำบากนัก เพียงแต่โบราณสถานมรรคนั่นอันตรายยิ่งยวด แม้จะมีวาสนาของยุคก่อนมากมาย แต่คิดอยากรอดชีวิตออกไปก็ต้องระวังสุดกำลัง”
หลินสวินพยักหน้า
ก่อนหน้านี้ตอนที่เร่ขายสมบัติในเมือง เขาก็รู้แล้วว่าทุกๆ หนึ่งเดือนจะมีผู้ฝึกปราณจำนวนหนึ่งลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบ และถูกส่งไปยังโบราณสถานมรรคนั่น
และตอนนี้ เหลืออีกแค่สามวันก็จะถึงการทดสอบครั้งถัดไปแล้ว ลงชื่อร่วมตอนนี้ยังทัน
แต่ก่อนจะลงชื่อ หลินสวินตั้งใจจะไปยังจุดที่ศิลาศึกข้ามแดนตั้งอยู่ก่อนสักรอบ!
——