“เอ๋ ลำดับของหลิงเสวียนจื่อนี่ถึงกับเลื่อนขึ้นมาช่วงใหญ่ในคราวเดียว หนำซ้ำฐานะเดิมของเขายังเป็นหลินสวิน นี่เป็นใครอีก พวกร้ายกาจจากทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือ”
เผิงเทียนเสียงไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติเหล่านี้แม้แต่น้อย เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจินตู๋อีที่ถูกเขายกให้เป็นพี่น้องคนสนิท ก็คือหลินสวินที่อยู่ลำดับสามในประกาศจับนั่น
เขาเห็นเพียงสายตาของตู๋กูโยวหรันถูกชื่อนี้ดึงดูด
“นี่เป็นจอมสารเลวคนหนึ่ง เป็นคนหลอกลวง” ตู๋กูโยวหรันยิ้มพลางวิจารณ์
พอเห็นว่านางยิ้ม เผิงเทียนเสียงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นึกถึงคำกำชับของอาสามเผิงเชียนเหอขึ้นมา คิดในสิ่งที่นางคิด ห่วงในสิ่งที่นางห่วง ลมวสันต์กลายเป็นสายฝน รินรดชุ่มฉ่ำอย่างเงียบงัน…
เขาพลันกล่าว “โยวหรัน ในเมื่อเจ้าชิงชังคนผู้นี้ขนาดนี้ ไม่สู้ข้าใช้ชื่อของตระกูลเผิงออกประกาศจับคนผู้นี้ดีหรือไม่ เอ๋ โยวหรันเจ้าเป็นอะไรไป รอข้าด้วย…”
พูดยังไม่ทันจบก็เห็นตู๋กูโยวหรันปั้นหน้าทะมึนเดินเข้าไปในประตูเมืองแล้ว นี่ทำให้เผิงเทียนเสียงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นี่มันอะไรกันเนี่ย
ผู้หญิงจะเปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปแล้วกระมัง
…
เมืองของด่านนภาอมตะที่สามสิบหก
นี่เป็นเมืองที่ปกครองโดยขุมอำนาจตระกูลลั่ว
ภายในจวนเจ้าเมืองเวลานี้
หญิงสาวงดงามที่ท่าทางอ้อนแอ้น คิ้วตาดุจภาพวาดคนหนึ่งเอ่ยเสียงกระจ่างใส เจือแววหยิ่งผยอง
“ท่านอาห้า เมื่อหลายปีก่อนเรื่องตั้งรางวัลประกาศจับผู้แข็งแกร่งทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เป็นข้ารับผิดชอบมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นข้าคนแรกที่มองทะลุตัวตนของหลินสวินผู้นี้ ดังนั้นเรื่องนี้ย่อมต้องให้ข้ามาจัดการ”
เนตรงามของนางเฉยชา ท่วงท่าสง่าผ่าเผย เป็นลั่วหลิงที่เหมือนไข่มุกในมือที่เด่นสะดุดตาที่สุดในตระกูลลั่ว รูปงดงามสะท้านยุค พรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ก็เพราะหญิงผู้นี้ เหวินเซ่าเหิงถึงวิ่งวุ่นหมายจะจับตัวหลินสวินโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน เพียงเพราะอยากได้ใจสาวงาม
ในโถงใหญ่ ผู้ฝึกปราณของตระกูลลั่วทั้งหมดนั่งอยู่
ผู้นำคือลั่วอวิ๋นเฟิงเจ้าเมืองนี้ เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิที่มรรควิถีลึกล้ำสุดหยั่งคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นอาห้าของลั่วหลิง
“อาหก อาเจ็ด และอาเก้าของเจ้าล้วนร่วงหล่นอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา”
“ในนั้น อาเก้าของเจ้าถูกจักรพรรดิสงครามยุทธ์ศิษย์คนโตของคีรีดวงกมลสังหาร”
“อาเจ็ดของเจ้าจบชีวิตในแดนหงส์เซียน”
“อาหกของเจ้าตายในแหล่งสถานคุนหลุน ลือกันว่าถูกจ้งชิวศิษย์คนรองของคีรีดวงกมลสังหาร”
บนที่นั่งประธาน ลั่วอวิ๋นเฟิงสีหน้าเย็นเยียบ กล่าวว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความสูญเสียเหล่านี้หนักหนาแค่ไหน ในน่านฟ้าชั้นที่หกในปัจจุบัน มีขุมอำนาจใหญ่มากมายร้องโวยวาย หมายจะขับไล่ตระกูลลั่วของพวกเราไปอยู่น่านฟ้าชั้นที่ห้า!”
หว่างคิ้วของเขาผุดแววอำมหิตดุดัน สีหน้ามืดทะมึน “เมื่อแรกเริ่มตระกูลลั่วของพวกเราเป็นถึงเผ่าจักรพรรดิแข็งแกร่งที่ตั้งอาณาเขตในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ด! สามารถไปท้าทายพวก ‘สิบยักษ์ใหญ่อมตะ’ ในน่านฟ้าชั้นที่แปดได้!”
โถงใหญ่เงียบสงัด มีเพียงเสียงของลั่วอวิ๋นเฟิงดังก้องสะท้อน
ผู้ฝึกปราณตระกูลลั่วทั้งหมดสีหน้าล้วนปรากฏแววอึมครึม วูบไหวไม่นิ่ง
ลั่วหลิงกล่าวเสียงต่ำลึก “ข้าทราบ นี่เป็นเพราะพลังพรสวรรค์ชั้นสูงที่สุดของตระกูลเราขาดการสืบทอด จึงตกต่ำถึงขั้นนี้”
“ดังนั้นข้าถึงได้ตัดสินใจไปจัดการหลินสวินนี่ด้วยตนเอง ขอเพียงจับเขาได้ ตระกูลเราก็จะมีโอกาสผงาดขึ้นอีกครั้ง คืนสู่ความรุ่งเรืองอย่างที่ผ่านมาได้!”
ลั่วอวิ๋นเฟิงกล่าวแค่นเสียงเย็น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอาศัยแค่พลังที่เจ้าครอบครอง จะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรือ”
ไม่รอให้เอ่ยตอบ เขาก็โยนประโยคหนึ่งลงมาอย่างเยียบเย็น
“เขาเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล”
“ตอนนี้เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นเจ็ด อีกทั้งยามเข้าสู่เมืองตั้งต้นก็เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ในการต่อสู้ประจันหน้าก็สามารถสังหารบรรพจารย์มรรคอย่างเหิงเทียนซั่วให้ตายได้!”
“ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ตัวเขายังมีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเราอยู่ อีกทั้งเป็นไปได้สูงว่าอาจปลุกพลังพรสวรรค์ขั้นที่สองได้แล้วด้วย!”
กล่าวถึงตอนท้าย ในใจลั่วอวิ๋นเฟิงก็อดเกิดความริษยายิ่งยวดขึ้นมาไม่ได้
หุบเหวกลืนกิน!
นี่เป็นจุดบอกช้ำในอกของผู้อาวุโสตระกูลลั่วทั้งหมดชัดๆ
ย้อนนึกถึงคราแรกสุด เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์อาศัยพรสวรรค์นี้สร้างรากฐานอันมั่นคงให้ตระกูลลั่วได้ในคราเดียว อานุภาพทั้งตระกูลสะเทือนน่านฟ้าชั้นที่เจ็ด กดข่มจนตระกูลใหญ่ที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์ไม่รู้เท่าไหร่ล้วนก้มหัว!
บารมีระดับนี้ เป็นหนึ่งไม่มีสอง!
แม้จะเป็นขุมอำนาจอย่างสิบยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าชั้นที่แปด ยังไม่ถูกเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์เห็นอยู่ในสายตา ความอหังการระดับนั้น จนบัดนี้ยังคงสะท้อนอยู่ในน่านฟ้าชั้นที่แปด
แต่ปัจจุบันเล่า…
เมื่อเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์หายตัวไปอย่างประหลาด และพรสวรรค์สายเลือดหุบเหวกลืนกินขาดการสืบทอด ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไป
จนบัดนี้รากฐานของทั้งตระกูลลั่วในน่านฟ้าชั้นที่หก ถึงขั้นส่อแววสั่นคลอนแล้ว!
ความแตกต่างนี้ใหญ่โตเกินไป ผู้อาวุโสตระกูลลั่วอย่างลั่วอวิ๋นเฟิง ใครบ้างจะไม่โกรธแค้น
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดนั่นขาดการสืบทอด!
และตอนนี้ พรสวรรค์ระดับนี้กลับไปโผล่อยู่บนตัวเจ้าหนุ่มที่ไม่ได้แซ่ลั่วคนหนึ่ง นี่ทำให้ลั่วอวิ๋นเฟิงริษยาแค้นเคืองเป็นล้นพ้น ที่มีมากกว่าก็คือความเดือดดาล
“ตอนนี้เจ้าบอกข้ามา ว่าเจ้าจะเอาอะไรไปจับเป็นเศษสวะนั่น” ลั่วอวิ๋นเฟิงสายตาอึมครึม จ้องมองลั่วหลิง
สายตาทั้งหมดในโถงใหญ่ล้วนมองทางลั่วหลิงเช่นกัน
“ข้าเองก็มีความสามารถในการสร้างภัยคุกคามถึงชีวิตให้บรรพจารย์จักรพรรดิเหมือนกัน”
ลั่วหลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “อีกอย่าง ข้ายังสามารถร่วมมือกับกองกำลังตระกูลเหิง ตระกูลเหวิน ไปจัดการคนผู้นี้ได้”
ลั่วอวิ๋นเฟิงขำพรืดออกมา “หลิงเอ๋อร์ สุดท้ายเจ้าก็ยังไม่เข้าใจว่าหุบเหวกลืนกินมีความหมายอย่างไร นั่นเป็นถึงพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเรา เป็นพลังที่สามารถคุกคามขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าชั้นที่เจ็ดเหล่านั้นได้! จำไว้ อย่าดูเบาพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งแต่เดิมเป็นของตระกูลเราอีกเด็ดขาด!”
กล่าวถึงตอนท้าย เขาเน้นย้ำทุกคำ ทรงพลังกังวาน เจือกลิ่นอายกดข่มอันยิ่งใหญ่
ลั่วหลิงนิ่งเงียบยิ่งขึ้น เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยว่า “ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต ข้าก็จะจับเป็นคนผู้นี้ให้จงได้!”
กล่าวเสร็จนางหยัดกายลุกขึ้นและเดินออกไปนอกโถงใหญ่
ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งลุกขึ้นหมายจะไปห้ามปราม กลับถูกลั่วอวิ๋นเฟิงขวางไว้ กล่าวว่า “ปล่อยนางไป ข้าก็อยากเห็นนักว่านางจะสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้หรือไม่!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาทอประกายกล้ากล่าวว่า “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หากข้าเดาไม่ผิด บนตัวนางยังพกสมบัติชิ้นนั้นเอาไว้อยู่ บางทีอาจจะพอมีประโยชน์ใช้ต่อกรกับเจ้าหมอนั่นก็ได้”
…
หลังออกจากด่านนภาอมตะที่ห้า
ตลอดเส้นทางนี้หลินสวินเร่งเดินทางยิ่งขึ้น
หนำซ้ำจากคำชี้แนะของนกกระจอกเขียว เส้นทางนับตั้งแต่ด่านที่ห้าจนถึงด่านที่เก้า มีสนามรบที่อันตรายสุดหยั่งกระจายอยู่ไม่ถึงสิบแห่ง
ระยะทางย่นลงไปมากโข ทว่าอันตรายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ระดับจักรพรรดิทั่วไปจำต้องมีเพื่อนพ้องร่วมเดินทาง จึงจะสามารถรอดชีวิตผ่านไปได้
ต่อให้เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิ ก็ยังต้องเดินทางอย่างรอบคอบ หาไม่อาจร่วงหล่นระหว่างทางได้!
และอันที่จริง หลินสวินก็ได้สัมผัสความน่ากลัวและอันตรายตลอดทางแล้วจริงๆ ผ่านประสบการณ์เคราะห์สังหารนองเลือดนับไม่ถ้วน ลำบากตรากตรำสุดกำลัง
มีอยู่หลายครั้งยังต้องอาศัยพลังของอภินิหารหยุดเวลาถึงจะคว้าโอกาสหนีรอดเสี้ยวสุดท้าย โชคช่วยหลุดรอดมาได้
สาเหตุก็เพราะในสนามรบเหล่านั้นเต็มไปด้วยความพิสดารและอัปมงคลอันน่าเหลือเชื่อ เกือบจะเกี่ยวข้องกับเรื่องน่าสะพรึงในยุคก่อนแทบทั้งหมด
แต่ผลเก็บเกี่ยวก็มหาศาลด้วยเช่นกัน
ตอนที่มาถึงด่านนภาอมตะที่แปด ลำพังแค่ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งซึ่งแลกมาจากสมบัติที่สะสมมาทั้งหมด ก็มีถึงสิบห้าล้านผลึกแล้ว!
นอกจากนี้พลังปราณของเขายังพัฒนาขึ้น เข้าสู่ขั้นปลายของระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดแล้ว เพียงแต่ระยะห่างจากขั้นสมบูรณ์ยังเหลืออีกไม่น้อย
แม้จะเป็นเช่นนี้ การพัฒนาระดับนี้ก็เรียกได้ว่ารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว
อย่างน้อยในโลกภายนอกก็ไม่มีทางมีโอกาสให้เขาผ่านประสบการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ และได้รับโชควาสนา รวมถึงโอกาสในการพัฒนาพลังแห่งตนมากมายเช่นนี้สักนิด
ตลอดทางมานี้ต้องต่อสู้ต่อเนื่องไม่หยุด ผ่านการเคี่ยวกรำด้วยหยาดเลือดและความเป็นความตาย ทำให้อานุภาพและสภาวะทั้งตัวหลินสวินล้วนถูกขัดเกลาจนราบเรียบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ก็เหมือนเพื่องฟูแล้วร่วงโรย ทุกสิ่งกลับสู่แก่น
เงียบสงบดุจหุบเหว หนักแน่นดั่งเตาหลอม
เมื่ออยู่กลางฝูงชน ก็เหมือนหมื่นลักษณ์ฟ้าดิน เห็นได้ทุกที่ พบบ่อยจนชินตา หาได้ทั่วไปไม่แปลกใหม่
แต่ในสายตาผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง กลับสามารถมองเห็นนัยเร้นลับยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายในความธรรมดาทั่วไปนั้น
ความลึกของมันดุจหุบเหว ไม่รู้ว่าใหญ่ปานใด ฉะนั้นอานุภาพของมันก็ไม่อาจชั่งวัดได้!
นี่คือสิ่งที่สะท้อนหลังจากมรรควิถีหล่อหลอมเต็มที่ คืนสู่แก่นแท้ถึงขีดสุด จริงเท็จคละเคล้า ตัวข้าคือจริง
การบำเพ็ญตนที่เรียกกัน ก็คือการบำเพ็ญเพื่อแก่นความจริงนี้
ไร้การปรุงแต่งอานุภาพมหามรรค เพราะตนก็คือศูนย์รวมของมหามรรค!
ตอนที่ออกจากด่านนภาอมตะที่แปด จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ช่วงเวลาครึ่งปีผ่านไปนานแล้ว ‘น้ำค้าง’ มือสังหารระดับมกุฎจักรพรรดิจากแดนเร้นนภานั่น จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏตัว
นี่แดนเร้นนภาตั้งใจจะละมือแล้วหรือ
เมื่อคำนวณเวลาอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ออกจากด่านนภาอมตะที่หนึ่งในเมืองตั้งต้น จนถึงด่านนภาอมตะที่แปดในปัจจุบันก็ผ่านไปสองปีครึ่งแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเวลานี้ฉุกคิดขึ้นได้ หลินสวินก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
‘ถ้าหากอยากจัดการข้า ด่านนภาอมตะที่เก้าก็เป็นโอกาสหนึ่ง’
สายตาหลินสวินวับวาว ทำการคาดเดาล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเหิง ตระกูลเหวิน ตระกูลลั่ว หรือจะเป็นน้ำค้าง หากอยากคว้าโอกาสจัดการตนให้อยู่หมัด จะต้องเป็นที่ด่านนภาอมตะที่เก้าอย่างไม่ต้องสงสัย
สาเหตุง่ายดายยิ่ง
ด่านนภาอมตะที่เก้ามีศิลาศึกข้ามแดนแห่งหนึ่ง!
และตน ย่อมไม่อาจพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด
ศัตรูเหล่านี้ขอเพียงคาดเดาได้ล่วงหน้า ต่อให้เป็นการเตรียมซ่อมหลังคาก่อนหน้าฝน ก็ต้องวางกระบวนรบไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินนิ่งสงบไม่แตกตื่น
การเคี่ยวกรำและสู้ศึกตลอดทางทำให้สภาวะจิตของเขายิ่งหนักแน่นขึ้น ไม่ใช่คนหน้าใหม่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต่อแดนใหญ่พันศึกนานแล้ว
เขารู้ดียิ่ง บนเส้นทางนองเลือดที่ไม่อาจหวนคืนสายนี้มีเพียงต้องบุกตะลุยอย่างอาจหาญ ไม่อาจล่าถอยใดๆ ได้แม้แต่น้อย!
ทายาทเผ่าจักรพรรดิอมตะอะไร ยักษ์ใหญ่แห่งยุคอะไร บรรพจารย์มรรคอะไร คิดอยากรอดชีวิตต่อไปก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่น!
เขาหลินสวินตั้งแต่วัยเด็กก็ออกเดินทางเพียงลำพัง พบเห็นลมฝนจนชิน ผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลาน จิตมรรคหล่อหลอมเจตจำนงไร้ศัตรูออกมานานแล้ว
หาใช่หลับหูหลับตาหลงตัวเอง หากแต่มั่นใจยิ่งยวดต่อมรรควิถีแห่งตน
บนเส้นทางจักรพรรดิ ตัวข้าไร้ศัตรู!
เช่นนี้จึงจะสามารถครอบครองมรรคที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน กดข่มคนระดับเดียวกัน โดดเด่นหมื่นยุค!
ในวันนี้หลินสวินออกเดินทางอีกครั้ง เหยียบย่างบนเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ด่านนภาอมตะที่เก้า
“คราวเคราะห์ครั้งนี้ซุ่มอยู่ใกล้แล้ว ไม่อาจหลีกเลี่ยง คลื่นลมสีเลือดปั่นป่วนอยู่ในด่านนภาอมตะที่เก้า…”
ในซากสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง
ภิกษุที่สวมชุดผ้าป่าน เงาร่างซูบผอมคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในนั้น เป็น ‘อวิ้นหลิว’ ภิกษุอารามเสียงอสนีเล็กที่เข้าสู่ประตูข้ามแดนปฐพีพร้อมกับหลินสวินนั่นเอง
เวลานี้เขาเสมือนมีลางสังหรณ์ในใจ สองมือพนมเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้นมองไปไกลๆ นัยน์ตาทอประกายเร้นลับสุดหยั่ง
ชั่วขณะหนึ่งกลางนัยน์ตาของเขาปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ฝนเลือดดุจน้ำตก ฟ้าถล่มดินทลาย เหล่าจักรพรรดิร่วงหล่น หมื่นชีวิตล่มสลายเป็นฉากๆ
น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด!
——