จวนเจ้าเมือง

สะพานเล็กสายน้ำไหล ทิวทัศน์ดุจภาพวาด

ในศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ข้างทะเลสาบ ไป๋เจี้ยนเฉินที่ผมขาวดุจหิมะ รูปงามราวกับเด็กหนุ่มหนีบหมากตัวหนึ่งขึ้นมาวางลงบนกระดานหมากเบาๆ

จากนั้นเขายิ้มพลางเงยหน้าขึ้น มองหญิงคู่ประลองหมากพลางกล่าว “หลานสาวคนดี ตาเจ้าแล้ว”

หญิงสาวสวมชุดเขียว แต่งกายเป็นชาย ริมฝีปากแดงฟันขาว รูปร่างหน้าตาดั่งภาพวาด ตอนนี้นางหนีบหมากขาวขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่เนิ่นนานแล้วกลับไม่อาจวางหมากลงได้

เป็นตู๋กูโยวหรันนั่นเอง!

“ทั้งภายนอกและภายในกระดานหมาก ล้วนอยู่ในการควบคุมของท่าน ข้าได้แต่…”

นางพูดพลางสะบัดชายเสื้อ ซัดกระดานหมากจนกระจาย ตัวหมากกระเด็นดุจสายฝน

จากนั้นนางจึงเหมือนผ่อนคลายลงแล้วยิ้มกล่าว “พลิกกระดานหมากนี้ซะ”

ไป๋เจี้ยนเฉินลูบจมูก ยิ้มขื่นพลางกล่าว “ไม่เจอกันหลายปี เจ้ายังเหมือนเมื่อปีนั้น สง่างามดังเดิม”

ตู๋กูโยวหรันแย้มยิ้ม กะพริบตาเปล่งประกาย “ขอบคุณสำหรับคำชม”

ไป๋เจี้ยนเฉินยื่นมือรินชาเต็มจอก แล้วส่งให้พลางกล่าว “ว่ามาเถอะ ทำไมถึงสนใจหลินสวินนี่เช่นนี้ หากให้บิดาของเจ้ารู้เข้า เจ้าหนุ่มนี่ได้ตายแน่ ในน่านฟ้าที่เจ็ดใครบ้างไม่รู้ว่าความหนักใจของบิดาเจ้าก็คือยัยหนูอย่างเจ้า”

คำพูดนี้เผยความหยอกเย้า

“เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้” ตู๋กูโยวหรันคิดไปคิดมาแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่”

ไป๋เจี้ยนเฉินหลุดขำออกมา “ในแดนใหญ่พันศึกนี้ ต่อให้บรรพจารย์มรรคลงมือด้วยตัวเองก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตอะไร เจ้าจะทำให้ข้าขำตายแล้วสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองของข้าหรือ”

ตู๋กูโยวหรันหัวเราะคิกคักพลางกล่าว “แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยข้าไว้ ข้าช่วยเขาครั้งหนึ่งก็ไม่ถือว่าเกินไปกระมัง”

ไป๋เจี้ยนเฉินนวดหว่างคิ้ว กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “แต่ช่วยเจ้าครั้งนี้ กลับเกรงว่าจะทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างตระกูลเหิง เหวิน ลั่วชิงชังข้ามาก ถึงขั้นมีความคิดติดต่อนักฆ่าของแดนเร้นนภานั่น ข้ายังไปเจอนางครั้งหนึ่งด้วยตัวเอง หากแดนเร้นนภารู้แล้วส่งคนมาลอบสังหารข้าจะทำอย่างไร”

เขาเหมือนบ่นตำหนิ ระบายความขมขื่นในใจออกมา

ตู๋กูโยวหรันยิ้มฟังเงียบๆ มองอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าว “ท่านอาไป๋ เป็นจริงอย่างที่ท่านพ่อข้าพูด ท่านดูสันโดษเย่อหยิ่ง ผงาดผยองโอหัง ความจริงเป็นพวกวิปลาสคนหนึ่ง อายุเท่าไหร่แล้วยังทำตัวเป็นเด็กหนุ่ม ไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”

ไป๋เจี้ยนเฉินกระแอมเล็กน้อย รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เอาเถอะ ธุระก็ช่วยแล้ว เจ้าน่ะรีบออกไปจากเมืองยอดยุทธ์ดีกว่า”

ตู๋กูโยวหรันเลิกคิ้ว “เพราะเหตุใด”

ไป๋เจี้ยนเฉินชี้ไปบนเวิ้งฟ้า “ในโบราณสถานมหามรรคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหยั่งรู้ปะทุขึ้น หากข้าสันนิษฐานไม่ผิด นี่ต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่ มีโอกาสสูงว่าจะม้วนกลืนเมืองยอดยุทธ์ ถึงตอนนั้น… ด่านนภาอมตะแห่งนี้จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ล้วนเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง”

กล่าวถึงตอนท้ายสุด หว่างคิ้วเขาเผยแววเคร่งขรึม

ในฐานะเจ้าเมือง นับตั้งแต่โบราณสถานมหามรรคเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ถูกเขาจับตามองมาตลอด จนถึงตอนนี้เมื่อการเปลี่ยนแปลงประหลาดในโบราณสถานมหามรรคนั้นยิ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้แต่เขาก็รู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงในโบราณสถานมหามรรคนั่นแปลกประหลาดเกินไป เต็มไปด้วยความอัปมงคล!

“ทำไมท่านถึงไม่ให้ทุกคนในเมืองจากไปก่อนล่วงหน้าเล่า” ตู๋กูโยวหรันเอ่ยถาม

“ไม่อาจจากไปได้แล้ว”

ไป๋เจี้ยนเฉินถอนใจเบาๆ เปิดเผยความลับหนึ่งออกมา “เมืองนี้เชื่อมต่อกับเส้นทางของด่านนภาอมตะที่สิบ เมื่อถูกพลังลึกลับที่เอ่อล้นออกมาจากโบราณสถานมหามรรคปกคลุมแล้ว มีแค่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่สามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัย”

ตู๋กูโยวหรันนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา

เนิ่นนานกว่านางจะเอ่ยถาม “ท่านล่ะ คิดจากไปก่อนที่หายนะจะปะทุขึ้นหรือไม่”

ไป๋เจี้ยนเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองแห่งนี้ มีหรือจะถอยโดยไม่คิดสู้เช่นนั้น ในเมืองยอดยุทธ์นี้ แค่คนพื้นถิ่นของเมืองก็มีเกือบสามล้าน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกปราณที่มาจากโลกพันจักรวาลมากมาย หากข้าจากไปแล้ว…”

พูดถึงตอนท้ายสุด ไป๋เจี้ยนเฉินถอนใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “พวกเขาจะทำอย่างไร”

ตู๋กูโยวหรันกล่าวอึ้งๆ “แต่ถ้าถึงตอนท้าย แม้แต่ท่านก็ต้านหายนะครั้งนี้ไม่อยู่เล่า”

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มรับ ท่าทางผ่อนคลาย “พยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกัน”

พยายามทำให้ดีที่สุด!

นี่ทำให้ตู๋กูโยวหรันตระหนักได้ เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจรู้ครั้งนี้ ในใจไป๋เจี้ยนเฉินก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะต้านทานได้เท่าไหร่

“ต้องการให้ข้าช่วยไหม” ตู๋กูโยวหรันถาม สีหน้าจริงจังอย่างเห็นได้น้อยครั้งนัก

ไป๋เจี้ยนเฉินกลับหัวเราะลั่นขึ้นมา “ได้ เจ้าออกจากเมืองยอดยุทธ์ไปตอนนี้ก็ถือว่าช่วยข้ามาก”

ตู๋กูโยวหรันกลอกตาใส่ “ข้าจริงจัง!”

ไป๋เจี้ยนเฉินเก็บรอยยิ้ม “ข้าก็จริงจัง”

ตู๋กูโยวหรันเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มพราวเสน่ห์พลางกล่าว “รอหายนะนั่นปะทุขึ้นแล้ว ข้าค่อยไป”

หลินสวินเปลี่ยนโรงเตี๊ยมใหม่

เพิ่งผ่านการเข่นฆ่านองเลือดมา สำหรับเขาแล้วไม่มีผลกระทบมากนัก แต่กลับอ่านความคิดของเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินไม่ออกอยู่บ้าง

แต่ยังไม่รอให้เขาใคร่ครวญนานเกินไปก็มีคนมาเยี่ยมเยือน

“พี่หลิน เจ้าตุ๋นข้าเสียเปื่อยเลย!”

ผู้มาเยือนคือเผิงเทียนเสียง ทันทีที่เจอก็กล่าวตำหนิ “ข้าคิดว่าเจ้าคือจินตู๋อี ใครจะรู้ว่าเจ้ากลับเป็นหลิงเสวียนจื่อ ไม่ถูกสิ เป็นหลินสวิน”

หลินสวินแปลกใจ เชิญเขาเข้ามานั่งพลางกล่าว “ฐานะไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร”

เผิงเทียนเสียงยิ้มขึ้นมา กล่าวอย่างมีนัยลึกล้ำ “ข้านับนิ้วคำนวณ ในใจเจ้าต้องมีเรื่องสงสัยแน่ ส่วนข้าก็มาเพื่อไขข้อสงสัยให้เจ้า”

หลินสวินอึ้งไปสักพัก คาดเดาอะไรได้รางๆ “เป็นตู๋กูโยวหรันขอให้ไป๋เจี้ยนเฉินลงมือใช่ไหม”

เผิงเทียนเสียงตบเข่าฉาด พูดอย่างตกตะลึง “ความสามารถในการหยั่งรู้ของพี่หลินเฉียบคมยิ่งนัก ข้าเพิ่งเอ่ยปากเท่านั้น เจ้าก็คาดเดาออกมาได้แล้ว”

ตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว ไม่แปลกที่ไป๋เจี้ยนเฉินจะเข้ามาแทรกแซง ที่แท้เป็นเพราะตู๋กูโยวหรันช่วยออกแรง

แต่ทำไมเจ้าตัวปัญหานี้ต้องช่วยข้าด้วยเล่า

“เจ้าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของโยวหรันนี่นา ไม่ช่วยเจ้าแล้วจะช่วยใคร” เผิงเทียนเสียงยิ้มกล่าว “จะว่าไปจนถึงตอนนี้ข้าก็เพิ่งรู้ ที่แท้พี่หลินก็ร้ายกาจเช่นนี้ มิน่าถึงกล้าสังหารจู้หลินโดยตรง”

น้ำเสียงเจือความเคารพนับถือ

ตอนเพิ่งรู้ข่าวเขาก็ตกใจสะดุ้งโหยง แทบไม่กล้าเชื่อ แม้แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินเวลานี้ก็ยังมีความรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง

“เจ้าคงไม่ได้มาเพื่อชื่นชมข้าเท่านั้นกระมัง” หลินสวินยิ้มกล่าว

เผิงเทียนเสียงกล่าว “โยวหรันให้ข้ามาบอกเจ้า โบราณสถานมหามรรคจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจรู้ มีโอกาสสูงว่าจะนำมาซึ่งหายนะที่ส่งผลกระทบไปทั่วเมืองยอดยุทธ์ รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วดีกว่า”

นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด ไม่ต้องสงสัยว่าข่าวนี้ย่อมมาจากไป๋เจี้ยนเฉินแน่!

น่าเสียดาย เผิงเทียนเสียงก็ไม่รู้ว่าหายนะครั้งนี้คืออะไรกันแน่ สนทนากันอีกครู่หนึ่งเขาก็จากไปอย่างรีบเร่ง

‘รีบจากไปโดยเร็ว แต่… หากไม่เข้าร่วมการทดสอบล่าวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิ ไหนเลยจะมีโอกาสจากไปได้’

หลินสวินคิดไปคิดมาแล้วตัดสินใจ

หลังจากนี้สามวัน การทดสอบที่มุ่งหน้าไปโบราณสถานมหามรรคจะเปิดฉาก ถึงตอนนั้นค่อยชิงโอกาสทำภารกิจให้สำเร็จทันที แล้วค่อยจากเมืองยอดยุทธ์ไปโดยเร็วก็พอ

เหนือความคาดหมายของหลินสวิน เผิงเทียนเสียงเพิ่งจากไปไม่นานก็มีคนมาเยือนอีกครั้ง

เป็นเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิว

“ท่านทั้งสองใคร่ครวญดีแล้วหรือ” หลินสวินถาม

ตอนนี้เรื่องที่เขาล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามอย่างตระกูลเหวิน เหิง ลั่วอย่างสมบูรณ์แพร่กระจายไปทั่วเมืองยอดยุทธ์นานแล้ว

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ทั้งสองคนกลับเลือกมาเจอตน เกรงว่าในใจคงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

“ขอพูดอย่างไม่เกรงใจสักประโยค แม้ว่าข้าจะมาจากโลกพันจักรวาล แต่ก็ไม่กลัวหากต้องก่อเรื่องวุ่นวายอะไร”

เสียงของเซี่ยงเสี่ยวหยวนนุ่มนวล ไพเราะเสนาะหู แฝงความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

หลินสวินเคลื่อนสายตามองเยวี่ยตู๋ชิว ฝ่ายหลังยิ้มกล่าว “ข้ากับเทพธิดาเสี่ยวหยวนคิดเหมือนกัน”

หลินสวินพยักหน้าพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ว่ามาเถอะ ท่านทั้งสองมาหาข้าด้วยเรื่องอะไร”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนหยิบแผนภาพลับหนึ่งออกมาส่งให้หลินสวิน “นี่คือแผนภาพลับที่ท่านพ่อของข้าวาดไว้ยามมุ่งหน้าไปโบราณสถานมหามรรคเมื่อปีนั้น เกี่ยวข้องกับวาสนาลึกลับอย่างหนึ่ง”

หลินสวินรับแผนภาพปริศนามาดู ในนั้นระบุเส้นทางคดเคี้ยวซับซ้อนบางส่วนไว้ รวมถึงอันตรายบางอย่างที่กระจายอยู่ระหว่างทาง

ส่วนปลายทางของแผนภาพลับก็มีจันทร์โลหิตแดงก่ำคู่หนึ่งปรากฏ

“ปีนั้นยามท่านพ่อของข้าไปถึงที่นั่น วาสนายังไม่ปรากฏ สุดท้ายก็จนปัญญาต้องกลับมามือเปล่า จากการวิเคราะห์ของเขา เมื่อแดนแห่งวาสนานั่นมีจันทร์โลหิตเก้าดวงปรากฏ วาสนาที่ผนึกอยู่ในนั้นก็จะปรากฏขึ้นบนโลก”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนอธิบายเสียงเบา

บิดาของนางเป็นบุคคลที่เหมือนตำนานคนหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วก็เคยก้าวผ่านแดนใหญ่พันศึก ฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับ

หลังจากไปถึงโลกยอดนิรันดร์ก็สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุนี้ถึงแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสักแห่งในน่านฟ้าที่เจ็ด ซึ่งก็คือมารดาของเซี่ยงเสี่ยวหยวน

“ท่านพ่อของเจ้าเคยบอกไหมว่าวาสนานี้คืออะไร” หลินสวินคืนแผนภาพลับให้เซี่ยงเสี่ยวหยวนแล้วเอ่ยถาม

เซี่ยงเสี่ยวหยวนส่ายหัว “นี่ก็ไม่ค่อยรู้ชัดนัก แต่ตามที่ท่านพ่อข้าสันนิษฐาน น่าจะเป็นมรดกอมตะอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับยุคก่อน เพราะเขาเคยได้ยินเสียงท่องคัมภีร์ระลอกหนึ่ง ลึกลับและอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดที่เขามีเมื่อปีนั้น ยามรับฟังเสียงท่องคัมภีร์นี้ยังได้แค่ยืนหยัดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจไม่ตัดสัมผัสแล้วถอยร่นออกห่างไป”

มรดกอมตะ!

เสียงท่องคัมภีร์!

หลินสวินใจกระตุกวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริง วาสนานี้ก็เยี่ยมยอดเป็นอย่างยิ่ง

เยวี่ยตู๋ชิวกล่าวอยู่ด้านข้าง “ในโบราณสถานมหามรรคอันตรายเกินคาดเดา คิดจะไปถึงแดนแห่งวาสนานั้นยิ่งไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้พวกเราสองคนจึงคิดร่วมมือกับพี่หลิน หากได้วาสนามาพวกเราจะแบ่งให้เท่ากันทั้งสามคน”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็เคลื่อนสายตามองหลินสวิน

หลินสวินนวดหว่างคิ้ว ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ท่านทั้งสองรู้ไหมว่าในโบราณสถานมหามรรคจะมีหายนะที่ไม่อาจหยั่งรู้เกิดขึ้น มีโอกาสสูงว่าจะม้วนกลืนเมืองยอดยุทธ์ทั้งหมด”

กลับเห็นเซี่ยงเสี่ยวหยวนพยักหน้ากล่าว “เพิ่งได้ยินมา แต่ตามข้อสันนิษฐาน การระเบิดของเหตุไม่คาดฝันนี้ มีโอกาสสูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่วาสนาในโบราณสถานมหามรรคใกล้ปรากฏ แม้ว่าหายนะจะไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่วาสนากลับเป็นสิ่งที่แสวงหาได้”

“ได้ ถ้าหลังจากไปถึงโบราณสถานมหามรรคแล้วไม่เกิดภัยคุกคามถึงชีวิตอะไร ข้ายินดีร่วมมือกับท่านทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง”

หลินสวินพยักหน้า พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เขามีหรือจะปฏิเสธอีก

ส่วนอันตรายกับหายนะอะไร หากอยากได้วาสนา ย่อมถูกลิขิตให้ไม่อาจราบรื่นเช่นนั้น

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวยิ้มขึ้นมาทันที มีหลินสวินเข้าร่วม พวกเขายิ่งมั่นใจในการเคลื่อนไหวครั้งนี้มากขึ้นแล้ว

…………………