สามวันต่อมา
หรือก็คือวันที่สี่หลังจากหลินสวินเข้าเมือง
ยังไม่ทันได้คุ้นเคยและเข้าใจ ก็ต้องเดินทางไปพร้อมกับผู้ฝึกปราณซึ่งอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีพวกนั้น เข้าไปในโบราณสถานมหามรรคตรงส่วนลึกของจักรวาลนั่นเพื่อทำการทดสอบ
นี่คือการทดสอบที่อันตรายครั้งหนึ่ง ทั้งเป็นโอกาสและความท้าทายครั้งใหญ่อย่างหนึ่ง
ใครต่างก็รู้ว่าโบราณสถานมหามรรคนั้นดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อน ทั้งยังอยู่ในลักษณะสมบูรณ์ ลึกลับหาใดเปรียบ มีสมบัติจากธรรมชาติมากมาย มีจารึกคัมภีร์เซียน มีมรดกสะท้านโลก มียอดสมบัติที่หลงเหลือจากยุคก่อน…
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถรอดชีวิตกลับมาจากโบราณสถานมหามรรค เกือบทุกคนล้วนได้รับประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อทั้งสิ้น
บ้างพลังรุดหน้า
บ้างมองทะลุปริศนาแห่งมหามรรค
บ้างช่วงชิงวิชาลับ สมบัติโบราณ ของล้ำค่า เจตวัตถุที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคก่อนได้…
ทุกอย่างนี้ล้วนมีมากมายนานัปการ
ก่อนออกเดินทาง เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินปรากฏตัวกลางอากาศ กวาดมองผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบในลานพลางกล่าว
“คาดว่าพวกเจ้าคงรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงในโบราณสถานมหามรรคแล้ว การเดินทางครั้งนี้ย่อมอันตรายยากคาดเดาแน่ หากใครเปลี่ยนใจ ตอนนี้ยังสามารถอยู่ต่อได้”
ในที่นั้นเงียบสงัด ไม่มีใครตอบ
พวกที่กล้าเข้าร่วมการทดสอบ ใครบ้างไม่ใช่บุคคลร้ายกาจที่จิตใจดุจเหล็ก ผ่านการกรำศึกมามาก ในเมื่อกล้าเข้าร่วมการทดสอบ แน่นอนว่าไม่มีทางถอยหนี
บุคคลร้ายกาจที่แข็งแกร่งบางส่วนยิ่งตั้งท่าเตรียมพร้อม ในบรรดาพวกเขามีคนไม่น้อยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยจากไปไหนมาตลอด ด้วยเฝ้ารอโอกาสที่ยากพบเห็นนี้
สำหรับคนอื่น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีโอกาสสูงว่าจะนำมาซึ่งหายนะที่ไม่อาจคาดเดา
แต่สำหรับคนร้ายกาจพวกนี้ นี่กลับเป็นโอกาสใหญ่ที่ไม่เคยมีในอดีต เป็นหนทางเสาะหาวาสนาและศุภโชคที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ในลานกลายเป็นแหล่งรวมผู้แข็งแกร่ง ดูเคร่งขรึมไปทั้งแถบ กลิ่นอายกร้าวแกร่งพลุ่งพล่าน ราวกับทวยเทพบนสวรรค์รวมตัวกัน อานุภาพปกคลุมเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
หลินสวินยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชน เขาตกลงกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวแล้วว่าจะรวมตัวกันในโบราณสถานมหามรรค
พร้อมกันนั้นเขาเห็นตู๋กูโยวหรันที่ยืนอยู่ข้างกายไป๋เจี้ยนเฉิน นางสวมชุดเขียว งดงามดุจภาพวาด ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมีชีวิตชีวา มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงสง่าโดดเด่นเป็นของตนเอง
บุคคลเจิดจรัสที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายล้วนมองนางด้วยแววตาเร่าร้อน ทั้งมีเฒ่าชราบางคนวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา
นี่ทำให้ตู๋กูโยวหรันดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ระดับความสนใจที่ได้รับไม่ด้อยกว่าไป๋เจี้ยนเฉินสักนิด
หืม?
ขณะที่หลินสวินเตรียมเก็บสายตากลับไป ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าตู๋กูโยวหรันมองมาทางเขา นัยน์ตากระจ่างที่เปล่งประกายพร่างพราวแฝงความซุกซนเสี้ยวหนึ่ง
เกือบจะเวลาเดียวกัน เสียงสื่อจิตของตู๋กูโยวหรันดังขึ้นข้างหูเขา
‘พี่หลิน ระวังตัวด้วย’
สีหน้าหลินสวินค้างแข็งอย่างยากสังเกตเห็น ไม่ได้ปริปาก
ตู๋กูโยวหรันไม่พูดอะไรมากอีก แต่นัยน์ตากระจ่างกลับกวาดมองหลินสวินเล็กน้อยเหมือนจงใจแต่ไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
‘เจ้าตัวปัญหานี่อย่าทำอะไรสกปรกออกมาอีกแล้วกัน…’
หลินสวินพึมพำในใจ
“ทุกท่านระวังตัวด้วย เรื่องอื่นข้าขอไม่พูดมากความ!” ไป๋เจี้ยนเฉินไม่พูดไร้สาระ ออกคำสั่งให้คนเปิดผนึกมุ่งสู่โบราณสถานมหามรรค
เพียงชั่วขณะผู้ฝึกปราณมากมายที่เข้าร่วมการทดสอบก้าวขึ้นไปบนอากาศ พุ่งตัวไปนอกเวิ้งฟ้า เคลื่อนไปยังโบราณสถานมหามรรคที่ห่างไกล
โครมครืน!
ทั่วเวิ้งฟ้าสั่นสะเทือนเหมือนกระแสเหล็กกล้า เหล่ามหาจักรพรรดิเคลื่อนผ่านฟากฟ้า อานุภาพประดุจเทพ ทำให้ห้วงอากาศสั่นครืน พาให้ผู้คนหวั่นหวาดใจ
เหล่าผู้กล้ารวมตัว ราวกับกองทัพขุนพลสวรรค์นับแสนมาเยือน ก่อเกิดเสียงมรรคเคล้าหมอกเมฆ ยิ่งใหญ่เกรียงไกร คลื่นสะเทือนกร้าวแกร่งแผ่กระจายทั่วทิศ ไม่มีสักคนที่เป็นพวกธรรมดา
ถึงขั้นมีบรรพจารย์มรรคเข้าร่วมด้วย
“เจ้าเดรัจฉาน โบราณสถานมหามรรคจะเป็นที่ตายของเจ้า!” ทันใดนั้นเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังก้อง
ห่างไปไม่ไกล เหวินเทาเลวี่ยนำเหล่าผู้ผู้แข็งแกร่งมาด้วยกัน ไม่อำพรางไอสังหารที่มีต่อหลินสวินแม้แต่น้อย
“เจ้าระวังตัวไว้ให้ดี” อีกด้านหนึ่งเหิงสิงโจวปรากฏตัวพร้อมผู้แข็งแกร่งมากมาย ท่าทีเหิมเกริม สีหน้าเยียบเย็นอำมหิต
“ครั้งนี้เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว หลินสวิน เมื่อเจ้ายืนหยัดไม่อยู่ ข้าจะชิงโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่งให้เจ้า”
เงาร่างของเหล่าคนตระกูลลั่วอย่างลั่วหลิงกับลั่วเสินถูก็ปรากฏตัวแล้ว นัยน์ตาล้วนเจือความเยียบเย็นเสียดกระดูก
หลินสวินยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กวาดสายตามองศัตรูพวกนี้พลางกล่าว “จำคำที่ข้าพูดวันนั้นไว้ ล้างคอรอข้าไว้ได้เลย!”
จากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ห่างออกไป
มองเห็นเขาจากไป พวกเหวินเทาเลวี่ย เหิงสิงโจว ลั่วเสินถูสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนเผยไอสังหารที่ทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน ก่อนมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานมหามรรค
“หากข้าเป็นหลินสวิน ย่อมไม่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้แน่”
ระหว่างทางผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนสังเกตเห็นภาพนี้ ล้วนอกสั่นขวัญแขวนอย่างอดไม่ได้ รับรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของหลินสวินมีโอกาสสูงว่าจะเคราะห์มากโชคน้อย
ห่างออกไปโบราณสถานมหามรรคดั่งม่านรัตติกาลสีดำผืนหนึ่ง ทิ้งตัวลงมาจากสุดขอบจักรวาล
เมื่อเข้าไปใกล้จะมองเห็นได้รางๆ ว่าในโลกมืดนั้นมีภูเขาแม่น้ำทอดตัวยาว เต็มไปด้วยหมอกควัน ไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำ
ในอาณาเขตแห่งหนึ่งถึงขั้นมองเห็นโบราณสถานมากมาย มีลานมรรคที่พังทลาย ประตูภูเขาที่ถูกทิ้งร้าง ตำหนักโอ่อ่าผุพัง…
“อย่าเข้าใกล้ที่นั่น เล่าลือว่ามีวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวหนึ่งจำศีลอยู่ในนั้น หลายปีมานี้กลืนกินผู้เข้าร่วมการทดสอบไปมากมาย พลังลึกล้ำยากหยั่งถึง จนถึงปัจจุบันล้วนไม่มีใครอยากหาเรื่อง”
วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์!
หลายคนหนาวสะท้านในใจ
พวกเขามาคราวนี้ หนึ่งคือเพื่อเสาะหาศุภโชค สองก็ด้วยต้องการล่าวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิ มีเพียงเท่านี้จึงจะแลกป้ายยืนยันข้ามด่านได้
แต่ไม่มีใครทะเล่อทะล่าไปล่วงเกินวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวหนึ่งแน่ อันตรายเกินไปแล้ว!
กระทั่งเข้าใกล้พื้นที่ที่โบราณสถานมหามรรคตั้งอยู่ ยามทอดมองออกไป ในโลกมืดนั้นจะมีเสียงสิงสาราสัตว์คำรามดังขึ้นรางๆ สะเทือนโสตประสาท
ท่ามกลางไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำ สันเขาเขียวชอุ่ม ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า เถาวัลย์โบราณบางส่วนก็ไม่รู้ว่าเติบโตมากี่ปีแล้ว พันรอบภูเขาเหมือนมังกรพาดผ่านยอดเขาสองสามลูก
“โฮก…”
ในส่วนลึกของเทือกเขานั้นมีเสียงคำรามชวนประหวั่นดังขึ้น ราวกับเสียงคำรามของเทพมารดึกดำบรรพ์สะท้อนก้องฟ้าดิน
“ไม่เหมือนเมื่อก่อนดังคาด มีกลิ่นอายเหี้ยมโหดน่ากลัวมากเกินไปแล้ว”
มีคนหน้าเปลี่ยนสี
“แต่วาสนาก็เยอะขึ้นมากเช่นกัน…”
มีคนสังเกตเห็นเช่นกันว่าส่วนลึกของโบราณสถานมหามรรคนั้นมีแสงสมบัติงามตระการพุ่งขึ้นมา สาดประกายแล้วหายไปในไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำ
เวลานี้หลินสวินก็เครียดขมึงอย่างอดไม่ได้ ที่นี่เป็นพื้นที่โบราณอันตรายแห่งหนึ่งดังคาด ยังไม่เข้าไปเขาก็จับกลิ่นอายดุดันแข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้มากมาย
มีเขตผนึกบางแห่งที่ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปโดยง่าย
แต่เมื่อเข้าใกล้โบราณสถานมหามรรค กลิ่นอายมหามรรคหนึ่งพลันถาโถมเข้าใส่ เข้มข้นจนเหมือนคงอยู่จริง อบอวลด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ดึกดำบรรพ์
“ไป!”
“ไปที่นั่น”
“แยกกันเคลื่อนไหว”
มหาจักรพรรดิที่เข้าร่วมการทดสอบแม้จะมาก แต่เมื่อเข้ามาในโบราณสถานมหามรรคก็กระจายกันออกไปในอาณาเขตต่างๆ
โบราณสถานที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนแห่งนี้ราวกับไร้ซึ่งขอบเขต ทัดเทียมกับโลกใบใหญ่แห่งหนึ่ง เพียงพอให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบเหล่านี้แยกกันเคลื่อนไหว
แผ่นดินกว้างใหญ่ที่เห็นเมื่อครู่เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง อาณาเขตลึกลับไม่อาจหยั่งรู้อีกมากอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของเส้นขอบฟ้า
หลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน เงาร่างพุ่งวาบเคลื่อนที่ไปบนฟากฟ้า ชั่วพริบตาก็หายลับจากไป
“ไป ตามเขาไป!”
ไม่นานบุคคลน่ากลัวของเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลอย่างพวกเหวินเทาเลวี่ย เหิงสิงโจว ลั่วเสินถูที่ตามมาติดๆ ก็ปรากฏตัวพร้อมกัน ไล่ตามไปยังทิศทางที่หลินสวินหายไป
เห็นชัดว่าพวกเขาอดใจรอไม่ไหวแล้ว คิดว่าก่อนจะตามหาศุภโชคต้องสังหารหลินสวินซะ!
แต่กระทั่งมาถึงโบราณสถานมหามรรค สีหน้าของพวกเหวินเทาเลวี่ยล้วนอึมครึมลง
หลินสวินหายไปแล้ว!
ด้วยจิตรับรู้และพลังของพวกเขา ถึงกับไม่อาจสัมผัสร่องรอยได้แม้เพียงเสี้ยว
“บัดซบ เห็นชัดว่าเจ้าหมอนี่เตรียมการมาก่อน เลือกหลบหนีในทันที” เหิงสิงโจวสีหน้าอึมครึม
“เรื่องปกติ ไม่มีการคุ้มครองจากไป๋เจี้ยนเฉิน เขาไม่มีทางกล้าปะทะกับพวกเราซึ่งหน้าแต่แรก”
แววตาเหวินเทาเลวี่ยเยียบเย็น “ถ้าเป็นข้าก็คงไม่โง่รอคนมาปิดล้อมและตามฆ่า หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าหมอนี่มีโอกาสสูงว่าจะเลือกตามล่าวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิก่อน จากนั้นค่อยออกจากโบราณสถานมหามรรคนี้ไปทันที”
“หรือพูดได้ว่าพวกเราต้องรีบหาเขาให้เจอก่อนที่เขาจะล่าวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิได้สิบตัว?” ลั่วเสินถูขมวดคิ้ว
“ไม่ผิด” เหวินเทาเลวี่ยพยักหน้า
ลั่วหลิงพลันเอ่ยปาก “ข้ามีวิชาลับที่สัมผัสกลิ่นอายของเขาได้ แต่ต้องอยู่ในรัศมีหมื่นลี้”
ในมือนางมีหินหยกประหลาดก้อนหนึ่ง ตกทอดมาจากเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ สามารถรับรู้กลิ่นอายของหุบเหวกลืนกินได้!
ทุกคนคึกคักขึ้นมา เหวินเทาเลวี่ยกล่าว “โบราณสถานมหามรรคนี้ นอกจากเขตผนึกอันตรายพวกนั้นแล้ว อาณาเขตก็เหมือนโลกใบใหญ่แห่งหนึ่ง ด้วยพลังของข้าสามารถค้นพื้นที่พวกนี้ได้ในสามวัน”
ลั่วหลิงกล่าว “ยามค้นหา ขอเพียงสัมผัสกลิ่นอายของเขาได้ ต้องเจอเขาในทันทีแน่!”
“แต่ถ้าเจ้าหมอนี่เข้าไปในเขตผนึกอันตรายพวกนั้นเล่าจะทำอย่างไร” เหิงสิงโจวขมวดคิ้ว
ทุกคนต่างเงียบไปพักหนึ่ง
เหวินเทาเลวี่ยยิ้มหยัน “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือ เขาต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!”
หลังจากนั้นคนทั้งขบวนจึงเริ่มเคลื่อนไหว
…
“ขอบคุณสำหรับสมบัติของแม่นางมาก”
กลางยอดเขาที่อบอวลด้วยไอชั่วร้ายแห่งหนึ่ง หลินสวินยื่นกำไลหยกที่สาดแสงสว่างไสววงหนึ่งให้เซี่ยงเสี่ยวหยวน
ก่อนหน้านี้ด้วยอาศัยสมบัตินี้ จึงทำให้หลินสวินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไปได้ไกลถึงสามหมื่นลี้ในพริบตาแรกที่มาถึงโบราณสถานมหามรรค จากนั้นถึงปรากฏตัวอยู่กลางยอดเขานี้
ส่วนเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวก็รออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
“ในเมื่อเป็นการเคลื่อนไหวร่วมกัน ข้าจะทนเห็นพี่หลินถูกเจ้าพวกนั้นตามล่าได้อย่างไร”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนยิ้มกล่าวพลางสะบัดมือ กำไลหยกที่สาดแสงสว่างไสวนั้นกลับคืนสู่ข้อมือขาวผ่องของนางดังเคร้ง
นี่คือสมบัติก้นหีบของนางที่มารดามอบให้ มีนามว่า ‘กำไลเก้าโลกเร้น’ สามารถทำให้คนทำลายทุกพันธนาการ เคลื่อนที่ไปสามหมื่นลี้ได้ในพริบตา
ต่อให้ติดอยู่ในกระบวนค่ายกลผนึก ก็ขวางพลังของกำไลเก้าโลกเร้นไม่อยู่
“พวกเราไปกันเถอะ”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนนำทางไปโดยไม่ล่าช้า มุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกล
หลินสวินกับเยวี่ยตู๋ชิวตามหลังนางไปติดๆ
“อ๊าก…”
แต่เพิ่งเดินหน้าไปได้ไม่นานเสียงร้องโหยหวนพลันดังขึ้น เสียงคำรามดังก้องฟ้า เบื้องหน้ามีศึกใหญ่ดุเดือด ไอชั่วร้ายอำมหิตพลุ่งพล่าน แสงสมบัติทะลวงเมฆ
ระดับจักรพรรดิไม่น้อยกำลังหนีตาย!
“วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวหนึ่งพุ่งออกมา กลืนกินผู้ฝึกปราณไปสิบกว่าคนแล้ว!”
“รีบออกจากที่นี่เร็ว!”
เงาร่างมากมายเคลื่อนตัวแหวกอากาศหนีตาย ด้านหลังพวกเขาโกลาหลไปทั้งแถบ เขาถล่มดินทลาย เทือกเขาราบเป็นหน้ากลอง
พวกหลินสวินเห็นดังนี้แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
……………………