เหล่าวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์หมอบคลานบนพื้น ร่างกายสั่นสะท้าน

ไม่เพียงรู้สึกเกรงกลัวสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่ถูกผนึกในบ่อน้ำโบราณ แต่ยิ่งครั่นคร้ามกระบี่ที่ปักเฉียงอยู่ด้านข้างของบ่อน้ำโบราณมากกว่า

ในบ่อน้ำโบราณ เสียงเย็นเยียบเต็มไปด้วยอานุภาพน่าเกรงขามดังลอยออกมาอีกครั้ง “ได้เวลาเปิดฉากสังเวยโลหิตแล้ว…”

บนปากบ่อน้ำแห่งนั้นปรากฏเงาร่างมายาสายหนึ่งขึ้นอย่างประหลาด ราวกับนักพรตเฒ่านั่งขัดสมาธิเทียวผลุบเทียวโผล่อยู่ในสายหมอก

เสียงท่องคัมภีร์ดังคลุมเครือมาจากปากเขา

ปึง! ปึง! ปึง!

ร่างของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ที่หมอบอยู่บนพื้นแตกออกเป็นชิ้นๆ ทันที กลายเป็นกระแสเทาขุ่นเป็นระลอก พุ่งเข้าหานักพรตเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิบนปากบ่อไม่ขาดสาย

ด้านข้างบ่อน้ำโบราณ กระบี่ยอดยุทธ์ที่ปักเฉียงบนพื้นส่งเสียงดังกระหึ่ม สาดปราณกระบี่ไร้เทียมทานออกมา กระหน่ำสังหารนักพรตเฒ่าอย่างต่อเนื่อง

ร่างของนักพรตเฒ่าแตกเป็นเสี่ยงแล้วรวมร่างขึ้นใหม่ไม่หยุด ราวกับมีร่างกายเป็นอมตะ และแม้ปราณกระบี่จะฟันตัดไปมา เขาก็ยังคงนั่งขัดสมาธิท่องคัมภีร์ยากเข้าใจตามเดิม

ตูม!

ในเขตผนึกนี้ ฟ้าดินพลิกคว่ำ

โครงกระดูกเน่าเปื่อยและน้ำเลือดที่สะสมอยู่ในส่วนลึกของผืนดินมาไม่รู้กี่กาลเวลา ล้วนรินรดลงไปในบ่อน้ำโบราณจากสี่ทิศแปดทางราวกับถูกชักจูง

โครงกระดูกดุจกระแสธาร น้ำเลือดสาดพุ่ง!

ใต้พื้นดินของเขตผนึกนี้ถึงกับฝังซากศพที่ไม่อาจจินตนาการได้ เคยถูกแช่ด้วยโลหิตแดงฉาน และตอนนี้ซากศพและเลือดเหล่านี้ได้กลายเป็นพลังประหลาดน่าสะพรึง ถูกนักพรตเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิบนบ่อน้ำโบราณคนนั้นดูดซับไม่ขาดสาย

“นั่นคืออะไร”

“เป็นภาพที่น่ากลัวชะมัด!”

บริเวณขอบของเขตผนึกนี้ เงาร่างของผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ต่างตกใจกับภาพนี้ แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

ศพกองเหมือนภูเขา เลือดหลั่งนองดุจทะเล!

“ไป!”

มีบรรพจารย์จักรพรรดิหัวใจสะท้าน สังเกตได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงหมุนตัวจะจากไป

แต่ก็สายไปแล้ว

เสียงท่องคัมภีร์คลุมเครือระลอกหนึ่งลอยแว่วเข้ามา แต่เมื่อกระทบหูของผู้ฝึกปราณเหล่านี้ กลับเหมือนกระบี่เทพแห่งยุคไร้ใดเปรียบ ทุบทำลายจิตดั้งเดิมของพวกเขาจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี!

ก็เห็นพวกเขาเลือดออกเจ็ดทวาร แววตาแข็งทื่อ เดินไปยังบริเวณที่บ่อน้ำโบราณตั้งอยู่ เหมือนกลายเป็นหุ่นเชิดซึ่งถูกเสียงท่องคัมภีร์สายนั้นชักจูงในชั่วอึดใจ

“นี่…นี่…” บรรพจารย์จักรพรรดิที่มีปราณแข็งแกร่งที่สุดยังพอมีแรงขัดขืน แต่ในเวลานี้ก็รู้สึกหวาดหวั่นสุดขีดเช่นกัน ราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง

เหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป เพียงแค่เสียงท่องคัมภีร์ระลอกเดียวเท่านั้น แต่กลับสามารถกำจัดจิตดั้งเดิมของมหาจักรพรรดิเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แม้แต่บรรพจารย์จักพรรดิอย่างเขาก็ยังบาดเจ็บสาหัสสะสม

“ไม่…!”

เขาเพิ่งหมายจะหนี เสียงท่องคัมภีร์ก็ทะลวงผ่านจิตดั้งเดิม ทันใดนั้นจิตดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ก็แตกระเบิด สิ้นสติไปโดยสิ้นเชิง

ที่ตามมาติดๆ คือศพของเขาเดินไปที่บ่อน้ำโบราณราวกับหุ่นกระบอกด้วยเช่นกัน

ชิ้ง! ชิ้ง!

เสียงกระบี่ครวญที่สะเทือนโสตจนหูจะหนวกดังขึ้นจากข้างบ่อน้ำโบราณ แรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงของกระบี่ยังคงกระหน่ำฟาดฟันต่อเนื่อง แต่นักพรตเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิบนบ่อน้ำโบราณนั้นกลับเหมือนไม่สะทกสะท้าน ร่างกายแตกละเอียดและรวมตัวกันใหม่ เวียนว่ายตายเกิด เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับอยู่เช่นนั้น

มีเพียงเสียงท่องคัมภีร์ยังคงก้องสะท้อนอย่างต่อเนื่องในเขตผนึกแห่งนี้

เมืองยอดยุทธ์

จวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินที่สวมชุดขาว หน้าตาหล่อเหลาราวเด็กหนุ่ม สีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุดในทันที

เบื้องหน้าเขามีป้ายศิลาชิ้นหนึ่งตั้งอยู่

ภาพนองเลือดสยดสยองปรากฏขึ้นบนป้ายศิลาในขณะนี้ มีบ่อน้ำโบราณที่พยับหมอกแรกกำเนิดคละคลุ้ง มีนักพรตเฒ่านั่งสมาธิบนปากบ่อ ปากท่องคัมภีร์ มีกระบี่เซียนที่ปักเฉียงอยู่บนพื้นส่งเสียงชิ้งๆ กรีดหู แผ่ปราณกระบี่ไปทั่วฟ้า…

ไกลออกไปยังมีศพแห่แหนมาจากสี่ทิศแปดทางราวทะเลเลือด…

‘มารเทพตี้สือในตำนานนี้ที่ถูกผนึก ยอมเดิมพันทุกอย่างเพื่อทำลายผนึกจริงๆ หรือนี่…’

แววตาไป๋เจี้ยนเฉินวาบลำแสงชวนประหวั่น

ในฐานะเจ้าเมืองยอดยุทธ์ เขารู้ที่มาของโบราณสถานมหามรรคเป็นอย่างดี และยังได้อ่านตำราดั้งเดิมมากมายเกี่ยวกับ ‘เมืองยอดยุทธ์’ ที่บันทึกไว้ในกาลเวลาที่ผ่านมา

นี่ทำให้เขารู้ชัดกว่าคนอื่นๆ ว่า ‘ภัยพิบัติ’ ที่คงอยู่สืบเนื่องมาจากยุคก่อนนี้ ก็มาจากสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงซึ่งถูกผนึกไว้ในบ่อน้ำโบราณนั่น ตัวตนที่ราวกับเทพแห่งความชั่วร้าย!

ไป๋เจี้ยนเฉินออกคำสั่งโดยไม่ลังเล

“ทหาร เปิดใช้พลังผนึกทั้งหมดในเมืองยอดยุทธ์ และแจ้งคนทั้งเมืองว่ามีภัยพิบัติครั้งใหญ่ใกล้มาเยือน ตอนนี้ใครที่ต้องการออกไป… ให้รีบออกไปโดยด่วน…”

“หากเลือกอยู่ในเมืองนี้ต่อ ข้าจะพยายามปกป้องสุดความสามารถ!”

ในวันนี้เมืองยอดยุทธ์ตกสู่บรรยากาศกดดันหดหู่

เมื่อคำสั่งของไป๋เจี้ยนเฉินถ่ายทอดออกไป ชาวเมืองหลายแสนคนที่อาศัยอยู่ในเมือง รวมถึงผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่ปักหลักอยู่ในเมืองมานานล้วนแตกตื่น ในใจตระหนกลนลาน

เห็นชัดว่าจะมีภัยร้ายแรงปะทุขึ้น และจะม้วนกลืนเมืองยอดยุทธ์!

“ด่านนภาอมตะที่เก้าซึ่งตั้งอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไร ยังจะถูกทำลายได้อีกหรือ”

“ไป ต้องรีบออกจากเมืองยอดยุทธ์แล้ว ไม่เห็นหรือ แม้แต่เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินก็ยังไม่มั่นใจว่าจะปกป้องเมืองนี้ได้!”

ผู้ฝึกปราณหลายคนตัดสินใจย้อนกลับที่ด่านนภาอมตะที่แปดราวกับกระแสน้ำ

เพราะตามข้อมูล เส้นทางที่เชื่อมสู่ด่านนภาอมตะที่สิบถูกพลังลึกลับที่เกิดขึ้นในโบราณสถานมหามรรคตัดขาดไปแล้ว

มีเพียงด่านนภาอมตะที่แปดเท่านั้นที่เป็นทางถอยเพียงทางเดียว

พวกที่มีต้นกำเนิดไม่ธรรมดา ปราณกร้าวแกร่งจำนวนหนึ่ง เวลานี้ในใจก็ละล้าละลังเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เลือกหนีไป ไม่กล้าลังเลอีก

แต่คนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในเมืองต่อ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากออกไป แต่ด้วยพลังของพวกเขาคงไม่มีปัญญารอดชีวิตไปถึงด่านนภาอมตะที่แปดได้ เพราะระหว่างทางก็มีอันตรายน่ากลัวมากมายเช่นเดียวกัน

เวลาเพียงครึ่งวัน

เมืองยอดยุทธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองถึงกับกลายเป็นเมืองร้าง ไร้ซึ่งความคึกคักจอแจในอดีตอีกต่อไป

ผู้คนในเมืองต่างหวาดกลัว มีแต่ความรู้สึกตึงเครียดและพรั่นพรึงคละคลุ้งในบรรยากาศ

สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ ก็คือเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินในจวนเจ้าเมืองยังคงอยู่!

“หลานสาวคนดี หากเจ้ายังไม่ไปอีก ข้ามีแต่ต้องส่งเจ้าไปเท่านั้นแล้ว”

จวนเจ้าเมือง ไป๋เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วอย่างจนปัญญาเล็กน้อย

เขาบอกถึงความร้ายแรงของสถานการณ์กับตู๋กูโยวหรันไปหมดแล้ว แต่ฝ่ายหลังไม่มีทีท่าว่าจะจากไปสักนิด นี่ทำให้เขาปวดหัวมาก

“ภัยพิบัติครั้งนี้ยังไม่ปะทุอย่างแท้จริง จะเครียดไปทำไม ข้าไม่ใช่คนขี้กลัวซะหน่อย”

ตู๋กูโหยวหรันยังคงแต่งกายเป็นชาย สวมชุดเขียวทั้งตัว จิบชาด้วยท่าทีสบายใจ นัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นปราศจากความกังวล

“ยิ่งกว่านั้นการทดสอบครั้งนี้ยังไม่จบ พวกที่เคี่ยวกรำอยู่ในโบราณสถานมหามรรคพวกนั้นยังไม่กลัว แล้วข้าจะกังวลไปทำไม” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หว่างคิ้วไป๋เจี้ยนเฉินเผยความอึมครึม กล่าวว่า “ไม่พ้นสามวัน ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการทดสอบจะรู้สึกถึงอันตรายและย้อนกลับมาอย่างต่อเนื่อง แต่จากการคาดเดาของข้า คนที่รอดชีวิตออกมาจากโบราณสถานมหามรรคได้จริงๆ… เกรงว่าคงมีไม่เท่าไหร่แล้ว…”

มือหยกที่ถือถ้วยชาของตู๋กูโยวหรันชะงักค้าง เงยมองไป๋เจี้ยนเฉินแล้วเอ่ยว่า “มีไม่เท่าไหร่นี่คือกี่คนหรือ”

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มขื่น “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

ในการคาดการณ์แต่เดิมของเขา แม้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้ใกล้จะปะทุขึ้น แต่คงไม่เร็วขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงยินยอมให้ดำเนินการทดสอบครั้งนี้ตามปกติ

แต่ใครจะคิด ภาพที่เขาเห็นทั้งหมดในวันนี้ทำให้เขาตระหนักได้ในทันใดว่าสถานการณ์ผิดปกติแล้ว และภัยพิบัติครั้งนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด!

สิ่งนี้ทำให้ไป๋เจี้ยนเฉินรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมมารเทพตี้สือที่ถูกผนึกในส่วนลึกของบ่อน้ำโบราณถึงพยายามทำลายผนึกโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น

ในนั้นต้องเกิดตัวแปรบางอย่างขึ้นเป็นแน่!

ตู๋กูโยวหรันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างใจเย็น “เช่นนั้นรออีกสามวันแล้วข้าจะจากไป”

ทางเข้าที่เชื่อมสู่โบราณสถานยอดยุทธ์

“กลิ่นอายของหลินสวินเคยปรากฏที่นี่ หากข้าคาดเดาถูก เขาต้องเข้าไปในเขตผนึกในประตูมิตินี้แล้วเป็นแน่”

ดวงตาสุกใสของลั่วหลิงฉายแววปิติยินดี

หลังจากค้นหามาตลอดทางเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดนางก็อาศัยหินหยกแปลกๆ ชิ้นนั้นสัมผัสถึงกลิ่นอายของหุบเหวกลืนกิน

ในบริเวณใกล้เคียง ผู้ฝึกปราณจากเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลอย่างเหวินเทาเลวี่ย เหิงสิงโจว และลั่วเสินถูรวมตัวกัน เงาร่างกร้าวแกร่ง กำลังพลแข็งขัน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนล้วนฮึกเหิมขึ้นมา

“ที่นี่เคยเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น ยังหลงเหลือกลิ่นอายของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ และมีกลิ่นอายของบุคคลระดับบรรพจารย์ด้วย หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าหลินสวินต้องเผชิญอันตรายบางอย่างด้วยเช่นกัน”

เหวินเทาเลวี่ยกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบเบาะแสมีค่ามากมายในพริบตา

“ลองเข้าไปสืบหาในเขตผนึกนี้ดูก็สิ้นเรื่อง”

เหิงสิงโจวกล่าวเสียงขรึม

“ได้ เอาตามนี้ ทุกคนต้องระวังหน่อง พักนี้ในโบราณสถานมหามรรคมีความผิดปกติมากเกินไป เกิดเคราะห์ภัยขึ้นบ่อยครั้ง ต้องระวังตัวให้มาก”

ลั่วเสินถูกล่าวกำชับ

จากนั้นทุกคนก็เข้าไปในประตูมิติด้วยกัน

บนบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้น หน้าตำหนักยอดยุทธ์

ในที่สุดเงาร่างของเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวก็เดินออกมา สีหน้าของทั้งคู่ไม่อาจซ่อนแววสุขใจได้ เห็นชัดว่าประสบการณ์ของการหยั่งรู้บนหินเขียวนั่นทำให้พวกเขาได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ

หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็รีบเข้าไปรับ กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคน เกรงว่าพวกเราต้องรีบออกจากโบราณสถานมหามรรคนี้ทันทีแล้ว”

พวกเซี่ยงเสี่ยวหยวนต่างอึ้งไป

หลินสวินเล่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนให้ฟังโดยไม่ปิดบังใดๆ

“หมายความว่าวิญญาณร้ายที่กระจายอยู่ในโบราณสถานมหามรรค ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิหรือระดับบรรพจารย์ ล้วนถูกควบคุมโดยสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงในบ่อน้ำโบราณนั่นหรือ”

เยวี่ยตู๋ชิวสูดหายใจสะท้าน ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา

“จอมมารที่รอดมาจากยุคก่อน เป็นหายนะร้ายแรงที่ไม่อาจประเมินได้จริงๆ มิน่าเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินถึงเคยกล่าวไว้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้อาจจะลุกลามไปถึงเมืองยอดยุทธ์ หากที่พี่หลินคาดเดาไว้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นผลที่ตามมาก็ย่อมร้ายแรงมากจริงๆ”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน

“ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องออกจากโบราณสถานมหามรรคแห่งนี้โดยเร็วที่สุด”

หลินสวินว่าพลางก็เตรียมจะเริ่มเคลื่อนไหว

จู่ๆ เสียงเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้นทันใด “คิดจาะจากไปตอนนี้หรือ สายไปแล้ว!”

เสียงสะเทือนทั่วฟ้าดินแถบนี้

ก็เห็นเงาร่างกลุ่มหนึ่งกระโจนมาจากไกลๆ แต่ละคนกลิ่นอายกร้าวแกร่ง อานุภาพทรงพลัง มีสี่สิบห้าสิบคน กำลังพลแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ใครก็ตามใจสะท้าน

คนที่เป็นผู้นำก็คือระดับบรรพจารย์พวกอย่างเหวินเทาเลวี่ย เหิงสิงโจว ลั่วเสินถู

เมื่อพวกเขามาถึง ไอสังหารไพศาลที่ยากอธิบายก็ปกคลุมฟ้าดินแถบนี้ ราวครอบฟ้าคลุมปฐพี ทำให้ห้วงอากาศส่งเสียงครวญ

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวต่างหน้าเปลี่ยนสีตามๆ กัน ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะพบกับเคราะห์สังหารเช่นนี้ในขณะที่กำลังจะจากไป

หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน

แต่ในใจเขากลับสงบไร้คลื่น ถึงขั้นนึกขันอยู่บ้าง

เขากำลังกังวลว่าจะไม่มีโอกาสกำจัดศัตรูเหล่านี้ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่!

——