ประโยคเดียวของอวิ๋นจิ่วเวย ทำให้คนอื่นๆ นิ่งเงียบ
‘นัยเร้นลับสูงสุด’ ในโบราณสถานทวยเทพอาจทำให้คนไขว้เขว แต่เหตุที่ระดับอมตะอย่างพวกเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพื่อการนี้เท่านั้น
ว่ากันถึงที่สุด เป้าหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียว…
หลินสวิน!
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ชิงวาสนายอดหนทางสู่อมตะไปคนนั้น!
ขอเพียงจับเขาได้ เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง
…
แดนเซียนว่างเปล่า
ส่วนลึกของเทือกเขาที่สลับซับซ้อนทอดยาวสุดสายตาดุจมังกรเลื้อยรัด หมอกเซียนลอยล้อม สี่ทิศวังเวง
ไอวิญญาณเซียนเข้มข้นลอยคลุ้งทั่วฟ้าดิน กลางภูผาธารากลับปราศจากสิ่งมีชีวิต และไม่มีโอสถสมุนไพรวิเศษอะไร
ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเป็นซากสถานของโลกที่แตกดับแห่งหนึ่ง
แกร๊ง!!
เสียงกระทบบาดหูหาใดเปรียบทำลายความเงียบของเทือกเขาแถบนี้โดยพลัน จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตพุ่งออกมา เจาะทะลวงเวิ้งฟ้า ภูเขาบริเวณใกล้เคียงลูกแล้วลูกเล่าล้วนถล่มครืนฉับพลัน กลายเป็นเถ้าธุลี ห้วงอากาศถูกคลื่นต่อสู้บ้าคลั่งฉีกทึ้งราวกระดาษผ้ากระจัดกระจาย
วู้ม…
ละอองเลือดสายหนึ่งพุ่งกระเซ็น สยองขวัญติดตา
หลินสวินชูมือฟันกระบี่ ผ่าชายสวมเกราะสีเข้มที่สูงใหญ่กำยำคนหนึ่งขาดเป็นสองท่อน กระแสปราณกระบี่เผด็จการไร้ทัดเทียม กลบจิตดั้งเดิมที่เพิ่งลอยหนีออกไปของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ ชั่วพริบตาพลันแหลกสลายหายเกลี้ยง
หลินสวินถอนใจยาว โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เก็บทรัพย์หลังศึกที่หล่นร่วงจากตัวอีกฝ่าย จากนั้นแปลงเป็นแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งหายลับไปในเทือกเขาเวิ้งว้างแถบนี้ในทันที
“คนที่สาม”
หลินสวินพลิกมือ ป้ายยืนยันที่เกิดจากแสงเซียนรวมตัวอันหนึ่งโผล่ขึ้นมา พื้นผิวป้ายยืนยันเพิ่มคราบสีเลือดขึ้นมาอีกสามสาย แดงสดดั่งเพลิงโหม
นี่หมายความว่าชายร่างกำยำที่เพิ่งถูกเขาสังหารเมื่อครู่ เป็นผลงานการต่อสู้คนที่สามของเขา
และเวลานี้ เป็นชั่วยามที่หกที่หลินสวินเข้ามาเริ่มล่าสัตว์ในแดนเซียนว่างเปล่าแห่งนี้
เขาเริ่มคุ้นเคยกับกฎการ ‘ล่าสัตว์’ แล้ว
สถานที่แห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นผู้ล่า และทุกคนล้วนเป็นเหยื่อ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรอดชีวิตในท้ายที่สุด และใครจะกลายเป็นเหยื่อของฝ่ายตรงข้าม
นี่ก็คือการล่าสัตว์
ระยะเวลาสามวัน เหยื่อของผู้ล่ายิ่งมาก หมายความว่าผลงานการต่อสู้ยิ่งสูง เมื่อด่านที่สองนี้สิ้นสุด ยิ่งผลงานการต่อสู้สูงเท่าไหร่ รางวัลที่ได้รับยิ่งล้นหลาม
จากความเข้าใจของหลินสวิน ในศึกฟ้าเลือกสรรของยุคก่อน ด่านล่าสัตว์นี้เป็นด่านที่หฤโหดนองเลือดมากที่สุด
ผู้ที่เข้าสู่แดนเซียนว่างเปล่ามาได้ ล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่เคยได้รับชัยชนะเก้าศึกรวดจากศึกครองสังเวียนมาแล้ว แต่ละคนล้วนมีมรรควิถีน่ากลัว ช่ำชองมากประสบการณ์ ไม่ว่าสภาพจิต เจตจำนง หรือประสบการณ์และฝีมือต่อสู้ล้วนเหนือกว่าคนทั่วไป น่าสะพรึงสุดขีด
เหมือนอย่างคู่ต่อสู้สามคนที่หลินสวินสังหารก่อนหน้านี้ สองคนเป็นพวกโหดหินระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด อีกคนเป็นบรรพจารย์มรรค ล้วนเป็นบุคคลสะท้านยุคที่แกร่งกร้าวสุดขั้ว หากอยู่แดนใหญ่พันศึกล้วนเป็นบุคคลระดับแนวหน้าปลายยอด
สิ่งที่ทำให้คนครั่นคร้ามที่สุดคือ ในแดนเซียนว่างเปล่าอนุญาตให้หยิบยืม ‘ปัจจัยภายนอก’ ได้!
นี่หมายความว่าผู้ที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ทุกคนยิ่งมีไพ่ตายและไม้เด็ดในครอบครองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายยิ่งขึ้นเท่านั้น
ตอนที่หลินสวินสังหารคู่ต่อสู้คนที่สอง ก็ถูกไพ่ตายของอีกฝ่ายเล่นงานจนตั้งรับไม่ทัน ฝากแผลให้เขาไม่น้อย
หากไม่เพราะเขาใช้อภินิหารหยุดเวลายับยั้งอานุภาพไพ่ตายของอีกฝ่ายได้ในทันที อาจถูกทำร้ายเจ็บหนักและสิ้นชีพไปก็เป็นได้!
‘การล่ามีเวลาเพียงสามวัน หากบาดเจ็บเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นเล็กน้อย แต่ถ้าไม่อาจฟื้นฟูสู่สภาพปกติภายในเวลาอันสั้นก็ยังอันตรายถึงชีวิต…’
หลินสวินรู้ดียิ่ง ต่อให้เป็นบรรพจารย์มรรค เมื่อได้รับบาดเจ็บก็ต้องส่งผลต่อการสำแดงพลังต่อสู้ของเจ้าตัว และหากถูกคู่ต่อสู้หมายหัว ย่อมตกสู่สภาพหมื่นเคราะห์ไม่อาจหวนคือ!
‘หากไม่ต้องปะทะตรงๆ ได้ย่อมเป็นวิธีที่เข้าท่าที่สุด…’
หลินสวินตระหนักได้ว่าหากต้องการอยู่รอดต่อไปในสามวันนี้ ก็ต้องดำเนินการอย่างเงียบๆ เขาไม่กลัวการเข่นฆ่า แต่ก็ไม่อาจไม่หวั่นเกรงไพ่ตายที่ศัตรูเหล่านั้นกุมอยู่ในมือ
ถึงขั้นที่เขาไม่สงสัยสักนิด ว่าใครก็ตามที่ฝ่าทะลวงเข้ามาในการด่านล่าสัตว์ได้ ในมือย่อมไม่ขาดแคลนไพ่ตายที่พลิกฟ้าบางอย่าง
เหมือนอย่างศึกครองสังเวียนก่อนหน้านี้ ลำพังแค่จากตัวพวกหนานหย่งเชียง หนานเทียนเจิง หนานเทียนป้า ก็ทำให้หลินสวินกอบโกยของดีที่บรรจุพลังผนึกมาได้แล้วหกอย่าง
สามชิ้นในนี้เป็นสมบัติที่บรรจุพลังเจตจำนงอมตะเอาไว้ เมื่อสำแดงออกมา แม้จะไม่สามารถเทียบกับระดับอมตะตัวจริงได้ แต่พลังทำลายล้างเช่นนั้นก็สามารถสร้างภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตของบรรพจารย์มรรคได้!
ขณะเดียวกันก็ยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเขาหลินสวินด้วยเช่นกัน
น่าเสียดาย พลังเจตจำนงอมตะที่บรรจุในสมบัติสามชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ระดับอมตะจากตระกูลหนานทิ้งเอาไว้ จำเป็นต้องใช้สายเลือดคนตระกูลหนานมากระตุ้น คนนอกไม่สามารถใช้งานได้โดยสิ้นเชิง
กลับเป็นสมบัติอีกสามชิ้นที่เหลือที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
‘ยันต์เคลื่อนฟ้า’ แผ่นหนึ่ง เป็นยอดอาวุธที่ใช้ในการหลบหนี เมื่อใช้ยันต์ ต่อให้ตกอยู่กลางวงล้อมแน่นหนาก็สามารถย้ายหนีไกลหมื่นลี้ได้ในชั่วพริบตา
จากการสัมผัสของหลินสวิน ภายในยันต์เคลื่อนฟ้านี้บรรจุกลิ่นอายระเบียบมิติเป็นริ้วๆ อัศจรรย์พันลึกสุดขั้ว
อีกสองชิ้นที่เหลือเป็นยันต์หยกและดาบขึ้นสนิมท่อนหนึ่ง
ยันต์หยกประทับสัญลักษณ์ ‘ทวนหมื่นมายา’ แผ่นนั้นกลิ่นอายคลุมเครือชวนสยอง แค่กำให้แตกก็สามารถปลดปล่อยเจตจำนงทวนหมื่นมายาออกมาได้
ถึงแม้ไม่อาจเทียบกับอานุภาพทวนหมื่นมายาของจริง แต่หากสำแดงออกมากะทันหัน ก็สามารถสร้างภัยคุกคามถึงชีวิตให้บรรพจารย์มรรคได้
ส่วนดาบสนิมเกรอะท่อนนั้น กลิ่นอายอมตะเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย เห็นชัดว่าเป็นชิ้นส่วนของศาสตรามรรคอมตะชิ้นหนึ่ง
จากการคาดเดาของหลินสวิน หากกระตุ้นสมบัตินี้ด้วยกำลังทั้งหมด จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอานุภาพของยันต์หยกที่ประทับสัญลักษณ์ทวนหมื่นมายานั่นแน่นอน!
พอจะจินตนาการได้ว่า หากในศึกครองสังเวียนอนุญาตให้ดึงไพ่ตายมาใช้ได้ ต่อให้หลินสวินอยากสังหารพวกหนานหย่งเชียง เกรงว่าคงต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างด้วยเช่นกัน
แต่หลินสวินก็รู้ว่าในการล่าสัตว์นี้ หากไม่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคงไม่มีใครดึงไพ่ตายออกมาใช้
เพราะไพ่ตายระดับนี้ ส่วนใหญ่ล้วนดึงออกมาใช้ได้เพียงครั้งเดียว และจำนวนที่มีในครอบครองของแต่ละคนก็มีจำกัด การใช้หนึ่งครั้งเท่ากับเสียไพ่ตายคุ้มครองชีวิตไปหนึ่งอย่าง
พอใช้เสร็จ ก็เท่ากับไม่มีที่พึ่งใดๆ ให้พูดถึงอีก
แน่นอนว่าหลินสวินไม่ขาดแคลนไพ่ตาย อย่างเพลิงระเบียบดับสูญ ปัจจุบันยังเหลืออีกสามกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีอภินิหารหยุดเวลา กายมรรคทั้งห้าและอื่นๆ อีก
หืม?
ตอนเหินทะยานกลางอากาศ จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าบริเวณไกลโพ้นปรากฏระลอกคลื่นกลิ่นอายที่คลุมเครือเร้นลับหลายสาย
หากไม่เพราะเขาเปิดตาทิพย์สำรวจดู ในจิตรับรู้ก็แทบสัมผัสไม่เจอ
เบื้องหน้ามีศัตรูดักซุ่มอยู่!
ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว!
หลินสวินหรี่ตาลง จากนั้นหมุนตัวออกไป
ตั้งแต่เข้าสู่แดนเซียนว่างเปล่าจนบัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงหกชั่วยาม แต่ตลอดทางเขากลับพานพบศัตรูมากมาย
ส่วนใหญ่แทบจะมากันเป็นหมู่คณะ เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจเดียวกัน
เมื่อพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินมักจะหลบเลี่ยงไป
ถูกล้อมกรอบไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย แต่เมื่อสู้โรมรัน หากไม่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้น ลำพังแค่ระลอกคลื่อนจากการต่อสู้ระดับนั้นก็ดึงดูดคู่ต่อสู้ให้แห่แหนเข้ามามากขึ้นได้แล้ว
นี่ต่างหากคือสาเหตุที่ทำให้หลินสวินหวั่นใจ
เหมือนเช่นศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ซึ่งพบในขณะนี้ เห็นชัดว่ามาจากขุมอำนาจเดียวกัน
“เจ้าหลินสวินดูเหมือนจะสังเกตเห็นพวกเราก่อนแล้ว”
หลินสวินเพิ่งจากออกไป ชายชุดดำที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดคนนั้นก็อดขมวดคิ้วเอ่ยกล่าวไม่ได้ “ผู้อาวุโส จะตามไปหรือไม่”
ข้างกายเขา หญิงงามมีเสน่ห์ที่สวมชุดบางพลิ้ว อรชรเพราพริ้วคนหนึ่งนั่งอยู่ ดวงหน้างามเนียนกระจ่างดั่งเด็กสาว ผิวพรรณดุจมันวาว นัยน์ตาราวผิวน้ำฤดูใบไม้ร่วง ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนมีเสน่ห์ล้นเหลือ
โดยเฉพาะเนินเนื้อเอิบอิ่มบริเวณหน้าอกที่เผยให้เห็นเนื้อขาวเนียนครึ่งหนึ่ง ไหวกระเพื่อมเป็นจังหวะ เจือประกายวาวเย้ายวนใจ
มีเสน่ห์โดยธรรมชาติ งามล้ำบาดจิต!
เป็นกู้ปั้นจวงคนระดับบรรพจารย์จักรพรรดิจากตระกูลกู้
“กลิ่นอายบนตัวเขา ถูกข้าเฝ้าสังเกตไม่คาดสายตา ไม่ว่าจะหนีไปแห่งหนใด ข้าก็สามารถหาเขาพบได้ในทันที”
กู้ปั้นจวงรวบปอยผมดำขลับข้างหูหลวมๆ แค่การเคลื่อนไหวตามสบายอย่างหนึ่งก็มีเสน่ห์โดยธรรมชาติแล้ว ทำเอาคนตระกูลกู้ที่อยู่แถวนั้นล้วนรู้สึกร้อนผะผ่าวภายในใจ รีบก้มหน้ามองปลายจมูก ในใจกู่ร้องแทบร้องขอชีวิต
มหามรรคที่กู้ปั้นจวงแสวงหาเกี่ยวข้องกับเคล็ดความงาม ยิ่งปราณสูงพลังที่ยั่วยวนใจคนก็ยิ่งแกร่งกล้า
ในน่านฟ้าที่เจ็ด เคยมีบรรพจารย์จักรพรรดิธรรมคนหนึ่งฉายาว่า ‘จิตดั่งเหล็กกล้า กายดั่งหินผา’ หลังจากได้พบกู้ปั้นจวงก็หลงเสน่ห์หัวปักหัวปำ เกือบทำให้จิตมรรคเสียศูนย์
แค่คิดก็รู้ว่ามรรคแห่งมนต์เสน่ห์ของกู้ปั้นจวงน่าทึ่งเพียงใด
“เจ้าพวกเด็กเหลือขอ ข้าถึงขั้นข่มมรรควิถีไว้แล้ว สภาวะจิตของพวกเจ้ายังกวัดแกว่งขนาดนี้ ช่างขาดการเคี่ยวกรำอยู่จริงๆ” กู้ปั้นจวงตวัดตามองบรรดาคนตระกูลกู้ปราดหนึ่ง
จากนั้น สายตานางดูขรึมขึ้น กล่าวว่า “หลายวันก่อน ผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่เคยผ่านศึกครองสังเวียนกับหลินสวินส่งข่าวออกมา บอกว่าหลินสวินคนนี้พลังต่อสู้พลิกฟ้าหาใดเปรียบ ในสถานที่อย่างสมรภูมิทวยเทพยังสามารถใช้พลังตัวสู้ของตัวเองสังหารตาเฒ่าหนานหย่งเชียงนี่ได้”
“ถึงข้าจะมั่นใจในตัวเองว่ามีวิธีจัดการเจ้าหมอนี่ได้ แต่ต้องระวังจึงจะบังคับเรือได้หมื่นปี ในเมื่อหมายจัดการเขา ย่อมไม่อาจเคลื่อนไหวกองกำลังตระกูลกู้ของพวกเราแค่ตระกูลเดียว”
กล่าวถึงตรงนี้ นางขบริมฝีปากแดงระเรื่อดึงดูดใจเบาๆ เนตรดาราวาววับ กล่าวว่า “ดังนั้นข้าตัดสินใจว่าจะไปเชิญสองตระกูลอย่างตระกูลอวิ๋นและตระกูลลี่มาเคลื่อนไหวร่วมกับพวกเรา พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“นี่…ออกจะลงทุนเกินเหตุหรือไม่ ต่อให้หลินสวินนั่นพลังพลิกฟ้าเหลือหลายปานใด แต่ในมือพวกเราก็มีไพ่ตายไม่น้อย สามารถสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิได้ แล้วไยต้องกลัวหลินสวินนั่นอีก?”
มีคนกล่าวอย่างลังเล
กู้ปั้นจวงหัวเราะหยันขึ้นมา หน้าอกเอิบอิ่มขาวเนียนก็พลอยไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่งเช่นกัน ทำเอาหัวใจของคนในตระกูลเหล่านั้นแทบกระเด็นหลุดออกจากหน้าอก ต่างรีบเบนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว
“พวกเรามีไพ่ตาย แล้วหลินสวินจะไม่มีหรือ อย่าลืมสิ เขาเป็นถึงผู้สืบทอดแห่งดวงกมล สามารถเคลื่อนขวางมาถึงสี่สิบเก้าด่านนภาอมตะได้ตลอดทาง จะใช่พวกจัดการได้ง่ายๆ เสียที่ไหน? ตระกูลหนานหมดสภาพแล้ว ข้าไม่อยากให้ตระกูลกู้ของพวกเราผิดพลาดซ้ำรอย”
พูดถึงตอนท้าย หว่างคิ้วกู้ปั้นจวงเผยแววเคร่งขรึมขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดพิสูจน์แล้วว่าหากจะจัดการหลินสวินคนนี้ ห้ามชะล่าใจแม้แต่น้อยเด็ดขาด และยิ่งห้ามประเมินพลังที่เขามีอยู่ต่ำไป
หาไม่ บทเรียนแสนเจ็บปวดของคนตระกูลหนานก็มีให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว!
จนถึงบัดนี้ คนตระกูลกู้เหล่านั้นก็ยังไม่มีเสียงคัดค้าน
และกู้ปั้นจวงก็เริ่มเริ่มลงมือปฏิบัติ ฝ่ามือเรียวขาวเนียนดุจหยกของนางรวบเข้าหากันเบา ๆ และบดบีบป้ายยืนยันที่ใช้สำหรับสื่อสารในจังหวะแรกทันที
สวบ!
รุ้งเทพที่ก่อตัวขึ้นจากแสงมหามรรคสายหนึ่ง เหินทะยานขึ้นเวิ้งฟ้า จากนั้นแตกออกราวดอกไม้ไฟ กลายเป็นลำแสงคลายแสงเคลื่อนไหวเป็นสายๆ ก่อนอันตรธานลับไปในสี่ทิศแปดทาง
——