แดนเซียนว่างเปล่ากว้างขวางยิ่ง ไม่ต่างอะไรจากโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่ง

หลังผ่านด่านแรกศึกครองสังเวียนมา ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนเซียนว่างเปล่าจากสมรภูมิทวยเทพสี่สิบเก้าแห่งเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ มีเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น

จำนวนอาจไม่ถึงขั้นละลานตา

แต่ควรรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้พิชิตชัยเก้าศึกรวดในสมรภูมิทวยเทพ มีแต่คนที่เรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวและยักษ์ใหญ่บนเส้นทางระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น

ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิส่วนหนึ่งยิ่งเฉิดฉายดั่งเทพ!

กล่าวได้ว่าในหมู่ผู้ฝึกปราณสองพันกว่าคน ปราณต่ำที่สุดก็ยังเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด

แน่นอน คนที่สามารถใช้ปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดชิงชัยเก้าศึกรวดได้ นั่นหมายความว่าพลังต่อสู้ของเจ้าตัวต้องพลิกฟ้าและวิปริตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่นอน!

ฉะนั้นในการล่าสัตว์ครั้งนี้ ไม่เฉพาะหลินสวินเท่านั้นที่ระวังตัวและรอบคอบหาใดเปรียบ พวกที่ผาดผยอง วางตัวกร่างเผด็จการตอนอยู่โลกภายนอกเหล่านั้น แต่ละคนก็ยังเก็บงำและเคลื่อนไหวเงียบๆ

นี่ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งแดนเซียนว่างเปล่ายิ่งกดดันและอันตรายมากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะนี้หลังปล่อยยันต์สื่อสารออกไป ขบวนพวกกู้ปั้นจวงรอเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็เห็นใต้เวิ้งฟ้าที่ไกลๆ นั่นปรากฏแสงเคลื่อนไหวสว่างแสบตาเป็นสายๆ อย่างต่อเนื่อง

แสงเคลื่อนไหวเหล่านี้โฉบแล่นกลางอากาศ ความเร็วว่องไวยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงบริเวณยอดเขาที่พวกกู้ปั้นจวงซุ่มตัวอยู่

จากนั้นปรากฏเงาร่างสองกลุ่ม แบ่งออกเป็นผู้แข็งแกร่งจากตระกูลลี่และตระกูลอวิ๋น เมื่อรวมตัวกันมีจำนวนถึงสามสิบกว่าคน

หากนับรวมกับพวกกู้ปั้นจวง ลำพังแค่จำนวนคนก็มีมากเกือบห้าสิบคนแล้ว!

ในแดนเซียนว่างเปล่า ย่อมเป็นกำลังพลน่ากลัวที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามวิ่งหนีกันหมดเพียงแค่ได้ยินเสียงแล้ว

“จัดการหลินสวินแค่คนเดียว ต้องให้สามตระกูลจักรพรรดิอมตะอย่างพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันเลยหรือ”

ชายชุดดำคนหนึ่งที่เป็นผู้นำตระกูลลี่เอ่ยขึ้น เขารูปร่างตั้งตรงดุจหอก ใบหน้าดั่งหยกประดับเกี้ยว ยามกะพริบตาดุจดั่งโลกแรกกำเนิด ไอขุ่นใสไหลหลั่ง น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบได้

ข้างหลังเขาสะพายขวานยักษ์จั้งเศษ ตัวเรือนสีดำ ปลายคมสว่างจ้าแสบตา

ลี่เฮิ่นสุ่ย!

ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิจากตระกูลลี่

หากพูดถึงพลังต่อสู้ ยังเหนือกว่าพวกหนานหย่งเชียง กู้ปั้นจวงนัก

กู้ปั้นจวงเม้มปากยิ้ม ดวงตาเรียวชี้อวลเสน่ห์ เรือนกายขาวหิมะเจือความเย้ายวนยิ่งยวดอันไร้รูป เสียงพูดหวานหยด

“พี่เฮิ่นสุ่ย พวกหนานหย่งเชียงยังบรรลัยกันหมด ปราณของท่านแข็งแกร่งไม่กลัวหลินสวินนี่ แต่น้องหญิงอย่างข้ากลัวจะแย่ ช่วยไม่ได้ จึงได้แต่ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านและพี่ลั่วหงเท่านั้นแล้ว”

เสียงหวานหยดย้อยดังผะแผ่วดุจเสียงมารที่ล่อลวงจิตใจ ทำให้กลิ่นอายทั่วร่างของผู้ฝึกปราณที่เพิ่งมาถึงเหล่านั้นล้วนปั่นป่วนไปชั่วขณะ เลือดลมแล่นร้อน ปากแห้งคอเหนียว

สตรีนางนี้เป็นมหันตภัยชัดๆ!

มีเพียงคนเดียวที่ไม่ไหวติง

นั่นก็คืออวิ๋นลั่วหงที่ถูกกู้ปั้นจวงเรียกว่า ‘พี่ลั่วหง’ คนนั้น ผู้นำคนตระกูลอวิ๋น และเป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง

เขาสวมอาภรณ์สง่าสีขาวหิมะ เงาร่างสูงกำยำ นัยน์ตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายคมกริบชวนให้คนใจสะท้าน ดุจดั่งกระบี่เทพแทงทะลุชั้นเมฆ เหยียดหยันเก้าฟ้าเล่มหนึ่ง

“เจ้านั่นอยู่ไหน”

อวิ๋นลั่วหงไม่พูดพร่ำเพรื่อ เอ่ยถามตรงๆ เสียงดุจกระบี่ครวญดังชิ้ง ราวกับสามารถฉีกกระชากดวงจิตและแก้วหูของผู้คนได้

“ไม่หารือแผนรับมือกันก่อนสักหน่อยหรือ” ดวงตาสุกใสของกู้ปั้นจวงกะพริบปริบๆ

“พวกเราสามตระกูลรวมกัน สามารถกวาดล้างทั้งแดนเซียนว่างเปล่า ยังต้องใช้แผนรับมืออะไรอีก เข้าไปบดขยี้ตรงๆ ก็หมดเรื่อง” ลี่เฮิ่นสุ่ยที่สวมชุดดำสะพายขวานยักษ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ในถ้อยคำเต็มไปด้วยความเหยียดหยันและความมั่นใจในตัวเอง

แม้อวิ๋นลั่วหงจะไม่ได้เอ่ยพูด แต่สีหน้าท่าทางเรียบนิ่งเย็นชา ไร้ซึ่งความไหวหวั่น เห็นชัดว่าเขาไม่ค้านข้อเสนอของลี่เฮิ่นสุ่ย

กู้ปั้นจวงคิดเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้มที่สามารถทำให้ทุกคนล้มทั้งยืนออกมา กล่าวว่า “เช่นนั้น… ข้าก็จะฟังพวกท่าน ตามข้ามาเถอะ”

ว่าพลางนางเริ่มนำทางอยู่หน้าสุด

มองดูเงาร่างสูงเพรียวเย้ายวน อรชรชดช้อยของนางเดินไกลออกไป คนไม่น้อยล้วนลำคอแห้งผาก ลอบกลืนน้ำลายกันไปชั่วขณะ

เงาร่างสายหนึ่งเท่านั้น แต่กลับเปี่ยมเสน่ห์ที่ชวนให้คิดไปไกล

กำลังพลของพวกกู้ปั้นจวง ลี่เฮิ่นสุ่ย อวิ๋นลั่วหงยิ่งใหญ่เกรียงไกร น่าตกใจเป็นที่สุด ไม่อาจปิดซ่อนได้สักนิด เพิ่งเคลื่อนขบวนได้ไม่นานก็ทำเอาผู้ฝึกปราณรายทางบางส่วนแตกตื่น ดึงดูดความสนใจยิ่ง

“กองกำลังของสามในสี่ตระกูลตงหวงถึงกับรวมตัวกัน นี่เพื่อไปจัดการหลินสวินนั่นหรือ”

มีคนซ่อนตัวอยู่ไกลๆ ในใจสั่นสะท้าน

“ต้องเป็นเพราะหมายจะจัดการหลินสวินแน่ ก็มีแต่คนร้ายกาจยิ่งยวดระดับนั้น ถึงทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้รวมตัวเคลื่อนขบวนใหญ่โตเช่นนี้ได้ หากจัดการคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้สักนิด”

“ดูท่าการพ่ายแพ้ของตระกูลหนานจะลั่นระฆังเตือนภัย ทำให้สามตระกูลนี้นี่ไม่กล้าชะล่าใจกันแล้ว…”

“จะว่าไปหลินสวินนั่นน่ากลัวจริงๆ แค่คนผู้เดียว ถึงกับสังหารจนคนตระกูลหนานพวกนั้นได้แต่ก้มหัวในสมรภูมิทวยเทพ!”

…เสียงต่างๆ ดังขึ้น แต่ล้วนไม่กล้ารั้งอยู่นาน หลังจากรับรู้การเคลื่อนไหวของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้ ทุกคนล้วนถอยออกไปไกลๆ แต่แรก ไม่กล้าเฉียดใกล้สักนิดด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลง

ควรรู้ว่าที่นี่เป็นถึงแดนเซียนว่างเปล่า ทุกคนต่างเป็นเหยื่อ!

ถ้าเกิดถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลฆ่าตายไปด้วย เช่นนั้นก็ตายอย่างไม่คุ้มค่าเกินไปแล้ว

และพร้อมกับการจากออกไปของผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ข่าวก็ได้แพร่สะพัดออกไปด้วย เหมือนดั่งฝนคะนองหอบม้วนทั่วแดนเซียนว่างเปล่า!

ความแข็งแกร่งของหลินสวิน ฝังลึกในใจผู้คนพร้อมกับการพ่ายแพ้ยับเยินของตระกูลหนานนานแล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่อันตรายสุดขั้ว ไม่อาจวัดได้ด้วยหลักการทั่วไป

และกองกำลังของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างตระกูลลี่ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลกู้ก็ใช่ย่อยเช่นกัน หากร่วมมือกัน นั่นสามารถกวาดล้างทั้งแดนเซียนว่างเปล่า ทำให้คนแค่ได้ยินเสียงก็วิ่งหนีกระเจิง

ตอนนี้ระหว่างหลินสวินและเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลเจียนจะปะทุเคราะห์สังหารฉากหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่อยากดึงดูดความสนใจยังเป็นไปได้ยาก

ในแดนเซียนว่างเปล่า ร่องรอยเคลื่อนไหวของผู้ฝึกปราณแต่ละคนล้วนไม่ตายตัว

กล่าวอีกอย่างคือ หากคิดจะอยู่รอดในแดนเซียนว่างเปล่า แทบไม่มีใครกล้ารั้งอยู่สถานที่เดียวนานๆ

เพราะต่อให้วิชาพรางตัวแข็งแกร่งแค่ไหน ก็จะถูกคู่ต่อสู้ที่ครอบครองวิชาลับค้นหาและสัมผัสได้อยู่ดี ถึงตอนนั้นหากคิดหนีก็สายไปแล้ว

หลินสวินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ก่อนหน้านี้หลังจากสัมผัสถึงพวกกู้ปั้นจวงที่ซุ่มอยู่เขาก็หนีออกมาทันที เงาร่างพริบไหว เก็บงำกลิ่นอายทั้งตัว แอบซ่อนอยู่ในภูผาธาราเวิ้งว้าง

ทั้งหลบเคราะห์สังหารที่อาจคืบคลานเข้ามา ขณะเดียวกันก็ค้นหาเหยื่อไปด้วย

“หืม?” ไม่นานจู่ๆ หลินสวินก็ชะงักเท้า หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ สายตามองไปยังไหล่เขาของยอดเขาสูงชันลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้ง

ที่นั่นน้ำแร่ไหลหลั่ง สนแก่หยั่งราก เงียบโล่งไร้ผู้คน

แต่ในสายตาของหลินสวิน กลับมองเห็นว่าบนต้นสนเก่าแก่ต้นนั้นมีเงาร่างสายหนึ่งยืนนิ่งอยู่

เมื่อหลินสวินมองไป เงาร่างสายนั้นก็เงยขึ้นมาเช่นกัน มองเขาจากไกลๆ จากนั้นทอยิ้มบางๆ กล่าวว่า

“พี่หลิน พวกเราพบกันอีกแล้ว”

คนผู้นี้สวมชุดขาว ผมดำพลิ้วไหว ท่าทางอิสระเสรี เหนือศีรษะเขามีโลงทองแดงสีทองขนาดราวเจ็ดชุ่นใบหนึ่งลอยอยู่ เป็นชางฝูเซิงนั่นเอง!

คนร้ายกาจยิ่งยวดในรอบแปดพันปี ที่เคยมีชื่อติดประกาศจับเป็นอันดับหนึ่งก่อนที่หลินสวินจะเข้าสู่แดนใหญ่พันศึก

เขายืนมือไพล่พลังอยู่ใต้ต้นสนเขียว ทั่วร่างคละคลุ้งกลิ่นอายทระนงบีบคั้นผู้คน แฝงความอหังการที่ข้าเหนือใครอยู่กลายๆ

“จะลงมือหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม

ชางฝูเซิงส่ายหน้ากล่าวว่า “หากคิดลงมือไยต้องพูดพล่าม ข้าเพียงแค่อยากเตือนพี่หลินสักหน่อย มีเคราะห์สังหารหมายเล่นงานเจ้ามาเยือนแล้ว ลือกันว่าผู้แข็งแกร่งสามขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลลี่ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลกู้ร่วมมือกันแล้ว กำลังค้นหาร่องรอยของเจ้าในแดนเซียนว่างเปล่า…”

หลินสวินเลิกคิ้ว แฝงนัยไม่อาจเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง

ชางฝูเซิงถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าแค่ทำใจเห็นคนเช่นเจ้ามาสิ้นชีพในโบราณสถานทวยเทพแห่งนี้ไม่ได้ หวังแค่เพียง… เจ้าจะสามารถรอดชีวิตจากเคราะห์สังหารครั้งนี้ไปได้ก็เท่านั้น ขอลา”

กล่าวจบเขาก็หมุนตัวจากไป

เสมือนว่าเพียงแค่อยากมาเตือนหลินสวินโดยเฉพาะเท่านั้นจริงๆ

หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมาก”

ชางฝูเซิงโบกมือกล่าวโดยไม่หันหลังกลับ “ในแดนเซียนว่างเปล่านี้ ไม่ขาดพวกที่น่ากลัวยิ่งกว่าสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้น พี่หลินต้องระวังด้วย”

กล่าวจบเงาร่างของเขาก็เลือนหายไปในขอบฟ้า

“พวกที่น่ากลัวยิ่งกว่าสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้น…” นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง

ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมโบราณสถานทวยเทพครั้งนี้มีจำนวนมหาศาล ก่อนหลินสวินจะเข้ามาก็จดจำเพียงขุมอำนาจที่เป็นศัตรูกับตนเท่านั้น

นอกนั้นเขาไม่ได้ไปทำความเข้าใจจริงๆ จังๆ เลย ว่าตกลงแล้วพวกร้ายกาจที่เข้าร่วมโบราณสถานทวยเทพครั้งนี้มีจำนวนเท่าไหร่ และเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากแดนใดกันแน่

และเวลานี้ คำเตือนของชางฝูเซิงก็ทำให้หลินสวินเริ่มหันมามองปัญหานี้โดยตรง

ควรรู้ว่าชางฝูเซิงเคยเป็นคนร้ายกาจอันดับหนึ่งในประกาศจับ หลังจากมาเยือนเมืองจรดฟ้า เขายิ่งฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับของศิลาศึกข้ามแดนได้

สามารถทำให้คนสะท้านยุคเช่นนี้มาเอ่ยเตือนได้ แค่คิดก็รู้ว่าในแดนเซียนว่างเปล่านี้ ต้องมีคู่ต่อสู้น่ากลัวบางส่วนที่อาจถูกตนมองข้ามไปอย่างแน่นอน!

ทว่าตอนนี้หลินสวินยังไม่มีแก่ใจพิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง

เขากำลังคิดถึงเคราะห์สังหารนั้นที่ชางฝูเซิงพูดถึง

ตระกูลลี่ ตระกูลกู้ ตระกูลอวิ๋นถึงกับร่วมมือกันหรือ

ดูท่าการพ่ายแพ้ของตระกูลหนานจะทำให้พวกเขาเกิดระแวดระวังขึ้นมาแล้ว จึงปฏิบัติกับตนเหมือนเป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลขหนึ่ง…

‘เช่นนั้นก็ต้องดูว่าใครจะอยู่ใครจะตาย!’

นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ

ครู่ต่อมา กายมรรคสองร่างอย่างไม้เขียวและเพลิงแดงพุ่งทะยานไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกัน

ส่วนร่างต้นของหลินสวินกลับมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง

เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น

รุ้งเทพที่แปลงมาจากเงาร่างกลุ่มหนึ่งเหินผ่านอากาศเข้ามา ปรากฏตัวในจุดที่หลินสวินยืนอยู่ก่อนหน้านี้ คนเป็นผู้นำก็คือกู้ปั้นจวง

นัยน์ตางามของนางกวาดมองทั่วสี่ทิศแล้วขมวดคิ้วกล่าวโดยพลัน “สถานการณ์ผิดปกติ กลิ่นอายของเจ้านี่ดันพุ่งออกไปสองทาง!”

“ดูท่าเขาคงสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว มีแนวโน้มสูงว่าสิ่งที่สำแดงอาจเป็นร่างแยกสายหนึ่ง สามารถระบุได้ไหมว่าทิศไหนจึงจะเป็นทิศทางที่ร่างต้นของเขาหนีไป”

ลี่เฮิ่นสุ่ยแววตาวาบประกาย รีบเอ่ยถามทันควัน

“หากสิ่งที่เจ้านี่ใช้คือร่างแยก เช่นนั้นกลิ่นอายก็มาจากแหล่งเดียวกับร่างต้นของเขา ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้สักนิด”

กู้ปั้นจวงมั่นใจในวิชาสะกดรอยของตัวเองเป็นที่สุด ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกว่ารับมือลำบากอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

“เช่นนั้นก็แยกกันลงมือ” อวิ๋นลั่วหงที่นิ่งเงียบสงวนคำมาตลอดเอ่ยปากขึ้น

“บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเห็นพอดีก็ได้นะ หากพวกเราแยกกันเคลื่อนไหว เท่ากับถูกเขาจับแยกออกจากกันกลายๆ ต่อให้ตามร่างต้นของเขาทัน แต่ภัยคุกคามที่มีต่อเขาก็ลดลงไปกึ่งหนึ่ง”

หว่างคิ้วกู้ปั้นจวงผุดความอึมครึม

นางเดาได้แต่แรกแล้วว่าหลินสวินรับมือด้วยยาก แต่คิดไม่ถึงว่าแค่การสะกดรอยตามยังเกิดเหตุการณ์ตึงมือเช่นนี้ขึ้นได้!

……………………..