คำพูดของกู้ปั้นจวงทำให้บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาก ทุกคนต่างไม่คาดคิดว่าหลินสวินจะดันวิปริตขนาดนี้
“แต่ขณะเดียวกัน หลังใช้ร่างแยกสายหนึ่ง พลังร่างต้นของเขาต้องอ่อนแรงไปไม่น้อย ก็จะฆ่าเขาให้ตายได้ง่ายขึ้น”
ลี่เฮิ่นสุ่ยกล่าวอย่างใคร่ครวญ “จัดการตามนี้แล้วกัน ข้าจะนำคนกับพวกสหายยุทธ์ปั้นจวงเคลื่อนไหวพร้อมกัน พี่ลั่วหงพาคนมุ่งหน้าไปอีกทาง”
อวิ๋นลั่วหงไม่หือไม่อือ
แต่กู้ปั้นจวงกลับโต้แย้ง กล่าวว่า “ข้าเคลื่อนไหวพร้อมกับพวกพี่ลั่วหงดีกว่า”
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ”
ลี่เฮิ่นสุ่ยสีหน้าอึมครึมขึ้นมาบ้าง
กู้ปั้นจวงทอยิ้มละไม กล่าวด้วยเสียงนุ่มละมุน “เพราะข้าคิดว่าด้วยพลังของพี่เฮิ่นสุ่ย ย่อมสามารถรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ กลับกัน ข้ากับพี่ลั่วหงต้องร่วมมือจึงจะมั่นใจได้ว่างานสำเร็จไม่ตกหล่น”
ว่าพลางนางโยนเขาสัตว์ร้ายสีดำสนิทชิ้นหนึ่งให้ลี่เฮิ่นสุ่ย กล่าวว่า “นี่คือกระดูกชีพจากสัตว์นอเดี่ยว อาศัยสมบัตินี้ จะสามารถสัมผัสกลิ่นอายของหลินสวินได้”
ลี่เฮิ่นสุ่ยรับมาถือไว้ ก่อนโยนเล่นคราหนึ่งพลางแค่นหัวเราะกล่าว “เช่นนั้นพวกเราก็ลองดู ว่าใครจะล่าสังหารร่างต้นของเจ้าสวะนั่นได้!”
กล่าวจบเขาก็พาคนพุ่งออกไป
“พี่ลั่วหง พวกเราก็เคลื่อนไหวเหมือนกันดีไหม”
กู้ปั้นจวงเอ่ยถามอย่างอ่อนหวาน
อวิ๋นลั่วหงมองนางปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่สามารถแยกแยะกลิ่นอายร่างต้นของหลินสวินนั่นได้จริงๆ หรือ”
กู้ปั้นจวงกล่าวทอยิ้มบางๆ “ถึงแม้แยกแยะไม่ออก แต่โดยรวมแล้วก็ยังพอสันนิษฐานได้บ้าง ด้วยพลังของพวกพี่เฮิ่นสุ่ย สามารถสังหารร่างแยกของหลินสวินนั่นได้สบาย ส่วนพวกเราก็สามารถลงมือพร้อมกัน สังหารร่างต้นของเขาได้ เช่นนี้พวกเราสองตระกูลจึงจะได้รับศุภโชคบนตัวเจ้านั่น”
อวิ๋นลั่วหงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเจ้ากล้าเล่นลูกไม้กับข้า ข้าจะ…”
กู้ปั้นจวงรีบกล่าวเป็นพัลวัน “ข้ารับรองว่าไม่กล้ามีความคิดอื่นใดเด็ดขาด”
อวิ๋นลั่วหงพยักหน้า ไม่ได้พูดพล่ามอีก นำขบวนคนในตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหวโดยตรง
กู้ปั้นจวงก็รีบพาคนตามไป เพียงแต่ลอบหัวเราะในใจ
นางไม่ได้บอกอวิ๋นลั่วหง ว่าทิศทางที่พวกลี่เฮิ่นสุ่ยไล่ตามไปต่างหาก จึงจะเป็นทิศทางที่ร่างต้นของหลินสวินมีโอกาสปรากฏตัวมากที่สุด!
ที่ต้องทำเช่นนี้ สาเหตุนั้นง่ายมาก
กู้ปั้นจวงหวั่นเกรงอยู่ในใจ นางทำความเข้าใจผลงานการต่อสู้และข้อมูลมากมายของหลินสวิน มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่อันตรายสุดขั้วนานแล้ว
เดิมทีนางตั้งใจจะรวมพลังของทุกคนไปจัดการหลินสวินพร้อมกันจริงๆ
แต่หลังจากสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหลินสวินหนีไปยังสองทิศทางที่ต่างกัน กู้ปั้นจวงก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายอาจรับรู้ถึงการไล่ล่าของพวกเขาแล้วก็เป็นได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากสามารถหยิบยืมกองกำลังของพวกลี่เฮิ่นสุ่ยไปหยั่งเชิงพลังต่อสู้ของร่างต้นหลินสวิน ย่อมเป็นวิธีที่เข้าท่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
กล่าวง่ายๆ นี่ก็คือการยืมมีดฆ่าคน
ส่วนศุภโชคบนตัวหลินสวิน กู้ปั้นจวงไม่สนใจสักนิด
เพราะต่อให้ชิงศุภโชคระดับนี้มาได้ สุดท้ายก็ต้องมอบให้ตระกูลตงหวงอยู่ดี สี่ตระกูลตงหวงอย่างพวกเขาไม่มีโอกาสสอดมือด้วยซ้ำ!
ส่วนภายหน้าจะถูกลี่เฮิ่นสุ่ยหมายหัวหรือไม่ กู้ปั้นจวงก็ไม่สนใจอีกเช่นกัน นางพูดไว้แต่แรกแล้วว่าไม่สามารถระบุได้ว่าทิศทางไหนที่ร่างต้นของหลินสวินหลบหนีไป
…
“ผู้อาวุโส ท่านไม่สังเกตจริงๆ หรือว่ากู้ปั้นจวงนั่นมีแผนอื่นแอบแฝงอยู่ชัดๆ”
ระหว่างทางไล่ล่า คนตระกูลลี่คนหนึ่งก็อดเอ่ยท้วงไม่ได้
กลับเห็นลี่เฮิ่นสุ่ยหัวเราะขึ้นมา แววตาวาบวาว “ต่อให้หญิงมารยานั่นจะเล่ห์เหลี่ยมเยอะแค่ไหน ก็ไม่กล้าวางกับดักพวกเราในเรื่องนี้เด็ดขาด หากข้าเดาไม่ผิด คนที่พวกเราไล่ล่าครั้งนี้ มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นร่างแยกของหลินสวิน”
“ผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้ฆ่าร่างแยกของหลินสวินไปแล้วพวกเราก็ไม่ได้อะไรเลย นั่นจะไม่เท่ากับเสียแรงเปล่าหรือ”
คนตระกูลลี่เหล่านั้นล้วนเผยแววขุ่นเคือง
“วางใจได้ หลินสวินคนนี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายขนาดนั้น ตามความเห็นข้า เกรงว่าพวกกู้ปั้นจวงไม่มีทางฆ่าหลินสวินให้ตายภายในเวลาอันสั้นได้แน่นอน”
สีหน้าลี่เฮิ่นสุ่ยเผยแววผยองขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “แต่พวกเราไม่เหมือนกัน รอหลังจากสังหารร่างแยกของหลินสวินนั่นแล้ว ค่อยไปรวมตัวกับพวกกู้ปั้นจวงอีกทีก็ได้ หากนางกล้าฮุบผลงานไว้คนเดียวจริงๆ นั่นก็ต้องดูว่าพวกเราตระกูลลี่จะอนุญาตหรือไม่”
ทันใดนั้นทุกคนล้วนผ่อนคลายลง
วู้ม…
หนึ่งก้านธูปให้หลัง
จู่ๆ เขาสัตว์สีดำที่อยู่ในมือลี่เฮิ่นสุ่ยก็สั่นขึ้นมาอย่างประหลาดระลอกหนึ่ง เขาตื่นตัวทันควัน โบกมือคราหนึ่ง
“เตรียมต่อสู้!”
ทันใดนั้นคนทั้งขบวนพลันหยุดชะงักกลางห้วงอากาศ
ที่นี่เป็นเทือกเขาสลับเรียงรายแถบหนึ่ง หมอกเซียนลอยเอื่อยกลางฟ้าดินดุจดั่งเมฆ ทอดสายตามองออกไป แลดูกว้างใหญ่เวิ้งว้าง
อาศัยการสัมผัสของนอเดี่ยวสีดำ ทำให้ลี่เฮิ่นสุ่ยทอดสายตามองไปยังส่วนลึกของเทือกเขาตั้งแต่แรก ที่นั่นมียอดเขาเตี้ยลูกหนึ่ง ลักษณะโล่งโล้น ไม่สะดุดตาเป็นอย่างมาก
แต่ในฐานะบรรพจารย์จักรพรรดิ เวลานี้ลี่เฮิ่นสุ่ยกลับรับรู้ถึงกลิ่นอายคลื่นผนึกที่แทบจับสัมผัสไม่ได้วูบหนึ่ง!
บางเบายิ่งจนเกือบไร้รูป หากไม่ใช่เพราะมีเขาสัตว์สีดำแจ้งเตือน แม้แต่ลี่เฮิ่นสุ่ยก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองจะสามารถจับคลื่นผนึกสายนี้ได้หรือไม่
‘ทุกคนระวังกันหน่อย แม้ว่านี่จะเป็นร่างแยกของหลินสวิน แต่ห้ามดูเบาเป็นอันขาด จะให้เรือล่มในคลองตื้น[1] ไม่ได้เด็ดขาด’
ลี่เฮิ่นสุ่ยสื่อจิตเตือน
ขณะพูดเขาปลดขวานยักษ์จั้งเศษที่สะพายอยู่ข้างหลังลงมาเงียบๆ แล้วกำไว้ในมือ พลังขับเคลื่อนในตัวก็ลอบโคจรถึงขีดสุดด้วยเช่นกัน
ข้างๆ เขามีคนตระกูลลี่สิบเก้าคน แต่ละคนล้วนผ่านประสบการณ์เข่นฆ่ามานาน ผ่านการนองเลือดสารพัด ทุกคนล้วนโคจรมรรควิถีอย่างเงียบๆ โดยไม่ต้องให้เตือนสักนิด
“ไป”
ลี่เฮิ่นสุ่ยพุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขานั่นก่อนเป็นคนแรก ด้านหลังเขา คนในตระกูลทั้งหมดไล่ตามมาติดๆ ขณะที่เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ราวกับเงาตะคุ่มกลุ่มหนึ่ง ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ แม้แต่น้อย
แต่ภาพนี้กลับถูกดวงตาคู่หนึ่งมองเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด
ห่างจากตรงนี้ไปพันลี้ ส่วนลึกของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง กลางฝ่ามือหลินสวินปรากฏจานกระบวนชิ้นหนึ่ง บนจานกระบวนผุดม่านแสง กำลังฉายภาพเงาร่างของพวกลี่เฮิ่นสุ่ย
‘ดูท่า จะเก็บได้ก่อนหนึ่งหน่อ’
แววตาหลินสวินลึกล้ำ หยัดตัวขึ้นจากก้นแม่น้ำเงียบๆ
เดิมทีหลังจากชางฝูเซิงเอ่ยเตือนและรับรู้ถึงเคราะห์สังหารครั้งนี้ เขาก็ตั้งใจจะต่อสู้แบบอ้อมๆ อยู่แล้ว
เริ่มจากให้ร่างแยกมหามรรคกับร่างต้นแยกกันเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความสับสน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการแยกคู่ต่อสู้ออกจากกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถลดทอนภัยคุกคามจากอีกฝ่ายลงได้มากโข
เหมือนอย่างตอนนี้ สิ่งที่เขาวางเอาไว้ก็คือกับดักอย่างหนึ่ง
โดยการวางกระบวนค่ายกลผนึกบนยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาลึกนั้น และทิ้งกลิ่นอายเจตจำนงของตนเอาไว้ภายใน ใช้สิ่งนี้มาดึงดูดความสนใจของศัตรู
ส่วนตัวเขาก็ซ่อนอยู่ก้นแม่น้ำใหญ่ไกลออกไปพันลี้ ใช้พลังของจานกระบวนที่เชื่อมต่อกันมาสังเกตร่องรอยและจำนวนของคู่ต่อสู้
หากจำนวนคู่ต่อสู้มีมาก เขาจะถอยหนีทันที
หากกำลังพลของคู่ต่อสู้ไม่ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามร้ายแรง กับดักนี้ก็จะกลายเป็นเคราะห์สังหารของจริง มอบการโจมตีถึงชีวิตให้แก่ศัตรู!
เห็นชัดว่าจากความคิดของหลินสวินในตอนนี้ พวกลี่เฮิ่นสุ่ยทั้งขบวนแม้จะมีภัยคุกคามอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเรียกว่าร้ายแรงอะไร
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเก็บแห!
…
กระทั่งอยู่ห่างจากยอดเขาเตี้ยลูกนั้นพันจั้ง พวกลี่เฮิ่นสุ่ยก็ยืนนิ่งเงียบ กระจายตัวออกเป็นรูปใบพัด ปิดผนึกสี่ทิศแปดทางของสถานที่นี้เอาไว้
‘อีกเดี๋ยวเมื่อข้าออกคำสั่ง ให้โจมตีเขาลูกนี้ด้วยพลังทั้งหมด ได้ยินชัดหรือไม่’
ลี่เฮิ่นสุ่ยสื่อจิต นัยน์ตามีไอสังหารดุเดือดไหลเวียน
เวลานี้ในใจเขาดันเริ่มประหม่านิดๆ ตื่นเต้นหน่อยๆ และตั้งตาคอยขึ้อยู่บ้าง
แม้อาจมีแนวโน้มสูงว่าคู่ต่อสู้คนนั้นจะเป็นเพียงร่างแยกมหามรรคร่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็เป็นร่างเดียวกับหลินสวิน และหลินสวินนี่… เป็นถึงพวกร้ายกาจยิ่งยวดที่ทำให้ตระกูลหนานพ่ายแพ้ครั้งใหญ่!
บรรดาคนตระกูลลี่ต่างพยักหน้า ตั้งท่าเตรียมพร้อม
“ลงมือ!”
ลี่เฮิ่นสุ่ยสูดหายใจลึกก่อนโบกขวานยักษ์จั้งเศษในมือเต็มแรง
ตูม!
แสงขวานที่ราวกับจะแยกฟ้าสายหนึ่งพวยพุ่ง ความยาวหลายพันจั้ง ฉีกแหวกผืนนภา โอบด้วยพลังอสนีสีเขียวอันยิ่งใหญ่ ฟันไปเข้าทางยอดเขาเตี้ยลูกนั้น
ขวานนี้ยังไม่ทันร่วงลง ห้วงอากาศแห่งนั้นก็มีเสียงประหนึ่งเทพท่องคัมภีร์ผีคำรามดังออกมา ภาพประหลาดทยอยผุด แค่คิดก็รู้ว่าการโจมตีนี้น่าพรั่นพรึงปานใด
และพร้อมกันนั้น คนตระกูลลี่สิบกว่าคนที่เหลือต่างก็พร้อมใจกันลงมือ
ตูม!
ฟ้าดินแถบนี้ระเบิดปั่นป่วน จมสู่กระแสทำลายล้างยิ่งใหญ่ วิชามรรคสารพัดส่องแสงเจิดจ้า ปะปนด้วยอานุภาพล้นฟ้าของศาสตราจักรพรรดิเป็นสายๆ พุ่งจากสี่ทิศแปดทางราวธารสวรรค์ที่ไหลทะลัก
มองจากไกลๆ ฟ้าดินแถบนั้นล้วนส่องแสงเจิดจ้า!
ไม่สามารถอธิบายอานุภาพการโจมตีเต็มกำลังเช่นนี้ได้สักนิด ฟ้าดินแถบนั้นล้วนหลอมละลายหายไปในพริบตา กลายเป็นเถ้าธุลีไม่รู้สิ้น ภูผาธาราสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในสภาพแตกดับ ประหนึ่งถูกมือของนายแห่งฟ้ากวาดทิ้งอย่างรุนแรง
ตูม…!
เสียงก้องสนั่นหวั่นไหวนั่นดังสะเทือนเก้าชั้นฟ้า แผ่ขยายไปสิบทิศ กระแสพลังดั่งเขาถล่มคลื่นโหมซัดม้วนแผ่ คล้ายจะกวาดภูผาธาราไร้ขอบเขตนั่นออกไปจากผืนแผ่นดิน
เนิ่นนานกว่าฝุ่นควันคลุ้งตลบที่ปกคลุมฟ้าดินจะค่อยๆ จางหาย
“การโจมตีเช่นนี้อย่าว่าแต่ร่างแยกสายหนึ่งเลย ต่อให้เป็นบรรพจารย์มรรคก็ยังถูกสังหารในพริบตา ไม่สามารถต้านทานได้สักนิด…”
มุมปากลี่เฮิ่นสุ่ยยกเป็นเส้นโค้ง
ทว่าครู่ต่อมาเส้นโค้งนี้ก็แข็งค้าง ในจิตรับรู้ของเขา ยอดเขาเตี้ยที่ปกคลุมด้วยพลังผนึกลูกนั้นถูกระเบิดพังจริงๆ แม้แต่ผืนดินกว้างยังถูกถล่มกลายเป็นโกรกธารเหวลึกสุดหยั่ง
แต่ทว่าในนั้นกลับไม่มีร่องรอยของหลินสวินแม้แต่เสี้ยว
ต่อให้ตายก็น่าจะทิ้งร่องรอยไว้บ้าง
ทว่าตอนนี้ กลางฟ้าดินพังพินาศแถบนั้นกลับเวิ้งว้างว่างเปล่า!
“ผู้อาวุโส ดูเหมือนร่างแยกมหามรรคของหลินสวินนั่นจะไม่ได้อยู่ที่นี่” คนอื่นๆ ในตระกูลลี่ก็ตอบสนองขึ้นมาแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปมา
“แต่จุดที่เขาสัตว์สีดำชี้นำมาก็คือที่นี่ชัดๆ…”
ลี่เฮิ่นสุ่ยขมวดคิ้ว พลิกมือออก เผยให้เห็นนอเดี่ยวสีดำที่กู้ปั้นจวงมอบให้
และก็เป็นชั่วอึดใจนี้
วู้ม!
นอเดี่ยวสีดำเกิดเสียงก้องกระหึ่มรุนแรง ราวกับถูกกรีดแทง
เสียงร้องโหยหวนสายหนึ่งดังตามมาติดๆ
ก็เห็นคนตระกูลลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลคนหนึ่งเงาร่างแตกระเบิดทันควัน เลือดเนื้อพุ่งกระเด็น ทั้งกายจิตล้วนแตกดับ!
นี่เป็นถึงบรรพจารย์ขั้นเก้าขั้นบริบูรณ์ที่ประสบการณ์โชกโชนคนหนึ่ง การได้รับชัยชนะเก้าศึกรวดในด่านครองสังเวียนก็สามารถมองออกแล้วว่ามรรควิถีของเขาแข็งแกร่งปานใด ไม่ใช่คนที่มกุฎมหาจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบชั้น
กระนั้นกลับถูกสังหารดับอนาถในขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัว!
ภาพที่เกิดขึ้นปุบปับนี้กระตุ้นให้พวกลี่เฮิ่นสุ่ยล้วนขนลุกขนพอง หนังศีรษะเจียนแตกระเบิด ล้วนตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที
แต่ในที่นั้นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดอีกครั้งโดยไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง
——
[1] เรือล่มในคลองตื้น หมายถึง เกิดปัญหา หรือเรื่องผิดพลาดในจุดที่ตัวเองมั่นใจ